tag:blogger.com,1999:blog-15318896440632238762024-03-12T20:03:09.727-07:00อาชีพเสริม ทำเงิน งาน สร้างรายได้ งานประดิษฐ์ สูตรอาหารmakemoney mlm ขายตรง งาน อาชีพ by. อาชีพเสริม ลูกข้าวนึ่งAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/02696911440507271018noreply@blogger.comBlogger451125tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-46934709338758114622011-09-16T23:48:00.000-07:002011-09-16T23:52:23.573-07:00งานฝีมือ ‘เพ้นท์อูคูเลเล่’จับกระแสแปรเป็นเงิน<a href="http://2.bp.blogspot.com/-zosRQ_2283c/TnRDnl29rLI/AAAAAAAAB8Y/ETEibWn1SO4/s1600/ukulele.jpg" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 214px; height: 320px;" src="http://2.bp.blogspot.com/-zosRQ_2283c/TnRDnl29rLI/AAAAAAAAB8Y/ETEibWn1SO4/s320/ukulele.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5653217779713420466" /></a><br />ต้องยอมรับว่ากระแสเครื่องดนตรีจิ๋วชื่อต่างประเทศอย่าง “อูคูเลเล่” นั้น แรงดี...ยังไม่มีตก ซึ่งนอกจากตัวเครื่องดนตรีจะขายดิบขายดีโดยมีทั้งของที่ผลิตจากต่างประเทศและผลิตในไทยแล้ว ก็ยังมีคนต่อยอดสร้าง “ช่องทางทำกิน” ด้วยสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับเจ้าอูคูเลเล่นี้ได้อย่างน่าสนใจ อย่างเช่นบริการ “เพนท์อูคูเลเล่” เป็นต้น....<br /><br />“ชลทิพย์ จามรมาน” เริ่มงาน “เพนท์อูคูเลเล่” จากการที่เพื่อนซึ่งจำหน่ายอูคูเลเล่ขอให้ช่วยลงสีและตกแต่งอูคูเลเล่ให้ เนื่องจากสินค้าบางตัวมีรอยขูดขีดหรือมีตำหนิเล็กน้อย จึงอยากให้ช่วยเพนท์ลวดลายเพื่อตกแต่ง เพราะเห็นว่าชอบและถนัดทำงานเกี่ยวกับการเพนท์ ต่อมาลูกค้าที่ซื้ออูคูเลเล่ไปเกิดชอบ หลังจากนั้นจึงมีงานเข้ามาให้เพนท์ต่อเนื่อง โดยทำมาได้ประมาณ 2-3 เดือนแล้ว โดยไม่ต้องมีหน้าร้าน อาศัยช่องทางเฟซบุ๊ก http://facebook.com/lovelybean<br /><br />“ลูกค้ามีตั้งแต่เด็ก ๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่ ผลตอบ รับก็ถือว่าดีเกินคาด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะกระแส ความนิยมของอูคูเลเล่ที่ยังดีอยู่” ชลทิพย์กล่าว<br /><br />สำหรับบริการเพนท์นั้น เธอบอกว่า มีตั้งแต่ลูกค้าที่ต้องการให้ทางร้านช่วยออกแบบลวดลายให้ทั้งหมด กับอีกกลุ่มคือลูกค้าจะเป็นคนกำหนดแบบหรือลวดลายที่ต้องการเอง และมีทั้งการเขียนลาย-เพนท์ลายเฉพาะบางส่วนบนตัวอูคูเลเล่ กับอีกกลุ่มคือลูกค้าที่ต้องการลงลวดลายทั้งตัว โดยราคาของค่าบริการจะขึ้นอยู่กับความยากง่าย และขนาดของชิ้นงาน<br /><br />ลวดลายที่เป็นที่นิยมนั้น ชลทิพย์บอกว่า หลากหลายมาก มีทั้งที่เป็นงานลายเส้น งานกราฟิก ลายการ์ตูน ดอกไม้ และก็มีลูกค้าที่ต้องการให้ช่วยออกแบบขึ้นมาใหม่ โดยเป็นลวดลายหรือรูปแบบที่ไม่ซ้ำกับใคร เพราะลูกค้ามักจะต้องการความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งนอกจากอูคูเลเล่แล้ว เครื่องดนตรี อื่น ๆ ก็มีลูกค้านำมาให้เพนท์ลายด้วย อาทิ ไวโอลิน เป็นต้น<br /><br />ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 3,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 30% จากราคาค่าบริการ ซึ่งเริ่มต้นที่ 350 บาท ขึ้นไปจนถึง 1,300 บาท ต่อชิ้นงาน หรือขึ้นอยู่กับความยากง่ายและขนาดของชิ้นงาน นอกจากนี้ งบประมาณของลูกค้าก็เป็นตัวกำหนดราคาเช่นกัน<br /><br />อุปกรณ์ สำหรับการทำงานเพนท์นั้น เธอบอกว่า งานนี้มีเครื่องมือที่ต้องใช้ไม่มาก ประกอบด้วย ตลับหรือกระปุกผสมสีแบบมีฝาปิด, สีอะคริลิก, กระดาษทราย, พู่กัน, กระดาษกาว โดยที่ต้องมีตลับหรือกระปุกฝาปิดใส่สี เนื่องจากสีอะคริลิกที่ใช้จะแห้งเร็วมากหากสัมผัสกับอากาศ จึงต้องมีฝาปิดไว้ ส่วนกระดาษกาวนั้นไว้ใช้ปิดทับบางส่วน เพื่อป้องกันสีไปเปรอะเปื้อนในบริเวณที่ไม่ต้องการเพนท์หรือลงลวดลาย<br /><br />ขั้นตอนการทำ เริ่มจากรับแบบหรือสอบถามความต้องการของลูกค้า ในเรื่องของลวดลาย สีสัน และตำแหน่งที่ต้องการให้เพนท์บนตัวอูคูเลเล่ เมื่อรับทราบความต้องการของลูกค้าแล้วก็จะทำการร่างแบบ โดยที่ร้านของเธอจะใช้วิธีการออกแบบลวดลายในโปรแกรมโฟโต้ช็อป (Photoshop) และส่งให้ลูกค้าตัดสินใจก่อนการลงสีจริงบนอูคูเลเล่<br /><br />เมื่อลูกค้าเลือกแบบและตำแหน่งที่ต้องการให้เพนท์ได้แล้ว ก็จะเริ่มทำการปลดสายอูคูเลเล่ จากนั้นจึงร่างแบบหรือลวดลายที่ต้องการด้วยดินสอบนตัวอูคูเลเล่ แล้วจึงทำการลงสีอะคริลิกตามที่ได้ร่างหรือออกแบบไว้ ลงสีเสร็จปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ตรวจดูความเรียบร้อยเพื่อแก้ไข จากนั้นทำการประกอบสายคืนกลับ ทำความสะอาด และเตรียมส่งให้ลูกค้า เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำงานบริการ “เพนท์อูคูเลเล่”<br /><br />“ขั้นตอนมีไม่มาก แต่สิ่งสำคัญคือการดูแลและระมัดระวังของของลูกค้า เพราะบางตัวก็มีราคามาก การลงสีจึงต้องระมัดระวัง อีกทั้งควรตกลงสรุปแบบกับลูกค้าให้ชัดเจน เพราะเมื่อลงสีไปแล้วการแก้ไขหรือเพิ่มลวดลายภายหลังจะทำได้ยาก” ชลทิพย์กล่าว<br /><br />สำหรับผู้ที่ต้องการติดต่อชลทิพย์ นอกจากทางเฟซบุ๊กแล้วก็ยังติดต่อได้ที่ โทร. 08-1256-6151 ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกงานบริการรับกับกระแสนิยมที่กำลังมาแรง เป็นอีกหนึ่งการ “จับกระแสแปรเป็นเงิน” เป็นช่องทางสร้างรายได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งก็เป็นไอเดียที่น่าจะประยุกต์สร้างอาชีพกับวัสดุต่าง ๆ ได้หลากหลายเลยทีเดียว<br /><br /><br />ศิริโรจน์ ศิริแพทย์/พิชยวัฒน์ ปรุงศักดิ์<br />ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริมสร้างรายได้ เดลินิวส์<br />www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=498&contentID=162451Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-42128508556669058612010-09-27T08:51:00.000-07:002010-09-27T09:03:56.188-07:00โรตีแต้จิ๋วค้าขายร่ำรวย ร้านสมัยศิลป์ ตลาดน้ำบางน้อย<img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 351px; DISPLAY: block; HEIGHT: 215px; CURSOR: hand" border="0" alt="" src="http://www.108อาชีพ.com/wp-content/uploads/2010/09/โรตีแต้จิ๋ว.jpg" /><br /><div>ชีวิตคนกรุงที่ต้องทำงานทุกวันจันทร์ -ศุกร์ พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ทีไร ก็มักที่จะอยากขอไปพักผ่อนสมองและหาความสุขใส่ตัวแบบสนุกสนาน อย่างการออกไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ๆ กรุง ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมากโข อย่างที่ได้ใช้เวลาช่วงวันหยุดไปเที่ยวตลาดน้ำบางน้อย ที่จ.สมุทรสงคราม มาขอบอกว่าเป็นตลาดน้ำที่มีอายุอานามเก่าแก่กว่า 100 ปี ที่ถูกลืมเลือนมานานหลายสิบปี </div><div></div><div><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 353px; DISPLAY: block; HEIGHT: 236px; CURSOR: hand" border="0" alt="" src="http://www.108อาชีพ.com/wp-content/uploads/2010/09/โรตีแต้จิ๋ว3.jpg" /><br /><br />จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา ชาวบางน้อยได้ร่วมมือร่วมใจกัน ฟื้นฟูตลาดขึ้นมาและเปิดตลาดให้เป็นแหล่งท่อง เที่ยวเชิงอนุรักษ์ มีการรักษาสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ ร่วมกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของชาวบางน้อยให้คงไว้ ซึ่งวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย ทำมาค้าขายทั้งบนบกและทางน้ำ<br /><br />คุณป้าเรณู อุทัยรัตนกิจ <a href="http://คลับแอสทีเรีย.blogspot.com/">โชว์การทำโรตีแต้จิ๋ว </a><br /><br />ในทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ชาวบ้าน จะเปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวได้มาเดิน เที่ยวชมถ่ายภาพบ้านเรือนริมน้ำสวยๆ และมาเลือกซื้อหาของใช้ ของกินมากมายที่แม่ค้าพ่อค้านำมาขายกัน แล้วถ้ามาตลาดน้ำบางน้อย ก็ต้องไม่พลาดที่จะมากินของกินแสนอร่อยที่หากินยาก มากกับ”โรตีแต้จิ๋ว” ที่ร้านสมัยศิลป์<br /><br />คุณป้าเรณู อุทัยรัตนกิจ เจ้าของร้านบอกเล่าให้ฟังว่า โรตีแต้จิ๋ว หรือที่เรียกว่าหลั่วก๊วย เป็นขนมที่ทำกินกันภายในครอบครัว โดยมีคุณย่า (อาม่า) คิดขึ้นเพื่อใช้สำหรับไหว้เจ้าในพิธีส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ (ก่อนวันตรุษจีน 6 วัน) และคุณป้าก็เลยนำมาทำขายเพื่อให้คนอื่นได้กินขนมอร่อยๆ แบบนี้บ้าง และเรียกชื่อขนมให้คนจำง่ายๆ ว่าโรตีแต้จิ๋ว เพราะเป็นสูตรการทำสไตล์คนจีนแต้จิ๋ว<br /><br />โรตีแต้จิ๋วชวนกิน<br />การทำโรตีแต้จิ๋ว ประกอบด้วย แป้งข้าวเหนียวที่เอามานวดกับน้ำ แล้วปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ ก่อนที่จะเอามาตบๆ ให้เป็นแผ่นกลมๆ ไม่ใหญ่นัก แล้วก็นำลงไปทอดในกระทะให้แป้งสุก แล้วก็นำขึ้นมาห่อ ซึ่งจะใส่ถั่วลิสงที่ทางร้านอบเองแบบสดใหม่ลงไป ใส่น้ำตาลทรายแดงและงาขาวลงไป และห่อม้วนเป็นชิ้นๆ นำใส่กระทงใบตองขายในราคา 3 ชิ้น 20 บาท ชิมแล้วถูกปากตรงที่แป้งเนื้อนิ่มนุ่มเหนียว หวานหอมงาและกรุบกรอบถั่วที่อบแบบสดใหม่หอมๆ<br /><br />เอาเป็นว่าถ้าใครอยากพักผ่อนกับสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพฯ ตลาดน้ำบางน้อยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ในบรรยากาศตลาดพื้นบ้านผสมผสานไปกับความร่วมสมัยแต่พองาม ที่ใครมาเที่ยวแล้ว หากอยากลิ้มรสของกินหายากรสชาติเป็นหนึ่ง ที่ร้านสมัยศิลป์เขามีโรตีแต้จิ๋วรสอร่อยรอคอยอยู่ </div><div><br /><a href="http://คลับแอสทีเรีย.blogspot.com/"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 354px; DISPLAY: block; HEIGHT: 227px; CURSOR: hand" border="0" alt="" src="http://www.108อาชีพ.com/wp-content/uploads/2010/09/โรตีแต้จิ๋ว4.jpg" /></a>บรรยากาศโต๊ะนั่งสบายๆ<br />“โรตีแต้จิ๋ว” ร้านสมัยศิลป์ ตั้งอยู่ในตลาดน้ำบางน้อย เลขที่ 70 หมู่ 8 ต.กระดังงา อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม การเดินทางถ้ามาจากรุงเทพฯ เพียงขับรถตรงมาตามทางที่มา จ. สมุทรสาคร แต่ไม่ต้องเข้าตัวเมืองสมุทรสาคร ให้ขับตรงต่อมาที่สมุทรสงครามเข้าทางเดียวกับตลาดน้ำอัมพวา และขับตรงเข้ามาเรื่อยๆ ประมาณ 4 กม. ก็จะถึงตลาดน้ำบางน้อย สามารถจอดรถได้ที่วัดเกาะแก้ว ร้านเปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น. โทร. 0-3473-0870<br /><br />ขอบคุณข้อมูลจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์<br /><br /><strong><a href="http://คลับแอสทีเรีย.blogspot.com/">คลับแอสทีเรีย สร้างรายได้</a></strong></div>Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-88988103343024246712010-08-24T21:43:00.000-07:002010-08-26T08:47:41.749-07:00'ขนมเปี๊ยะดอกไม้' หน้าตาแปลกใหม่ น่าสน<a href="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/THSf047BDHI/AAAAAAAABTc/i5VI-pKQ8I4/s1600/ch01.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; FLOAT: left; HEIGHT: 155px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509203975162891378" border="0" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/THSf047BDHI/AAAAAAAABTc/i5VI-pKQ8I4/s200/ch01.jpg" /></a> การพลิกแพลงหน้าตาขนมนั้นเป็นเรื่องสำคัญในปัจจุบัน เพราะนอกจากเรื่องรสชาติของขนมแล้ว เรื่องหน้าตาก็เป็นส่วนสำคัญไม่น้อยในการเรียกลูกค้า ซึ่งกับ “ขนมเปี๊ยะ” นั้น เมื่อดัดแปลงหน้าตาก็จะกลายเป็นขนมที่ร่วมสมัย น่าทานและน่าซื้อในทุกโอกาสได้ อย่างเช่นที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มี<a href="http://job108.blogspot.com/">ข้อมูล</a>มาแนะนำกัน...<br /><br />อาจารย์ณนนท์ แดงสังวาล สาขาวิชาอุตสาหกรรมบริการอาหาร คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) ได้แนะนำการดัดแปลงขนมเปี๊ยะเดิม ๆ เป็น “ขนมเปี๊ยะดอกไม้” ที่ดูแปลกตาน่าทาน ไม่จำเจในแบบเดิม ๆ ซึ่งน่าจะสร้างตลาดใหม่ ๆ ให้เกิดได้ และน่าจะเป็นของฝากที่คนได้รับชอบ ซึ่งการทำขนมเปี๊ยะให้เป็นรูปดอกไม้นั้น อาจจะดูเหมือนยากกว่าทำขนมเปี๊ยะรูปกลม ๆ แต่จริง ๆ แล้วกลับง่ายกว่ามาก ๆ และที่สำคัญขนมจะสุกง่ายมาก เวลาอบจะสุกถึงไส้ขนมเลยทีเดียว<br /><br /><a href="http://job108.blogspot.com/">อุปกรณ์การทำขนมเปี๊ยะ</a>ดอกไม้ ก็เหมือนกับอุปกรณ์ทำขนมทั่วไป ซึ่งหมายรวมว่าต้องมีเครื่องตีแป้ง และตู้อบขนมเพิ่มมาด้วย ต้นทุนอุปกรณ์ตกอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป<br /><br />การทำขนมเปี๊ยะ อาจารย์ณนนท์บอกว่า จะมีการทำแป้ง 2 ส่วน และไส้ 1 ส่วน ซึ่งแป้ง 2 ส่วนนั้นคือแป้งชั้นนอกและแป้งชั้นใน โดยส่วนประกอบของแป้งชั้นนอก ตามสูตรประกอบด้วย แป้งเค้ก 500 กรัม, น้ำเย็น 250 กรัม, น้ำมันพืช 100 กรัม, เกลือป่น 5 กรัม, น้ำตาลทราย 50 กรัม, นมผง 15 กรัม, ไข่แดงไข่ไก่ (สำหรับแต่งหน้า 15 กรัม) และงาดำคั่ว (สำหรับตกแต่ง) 100 กรัม<br /><br />ส่วนแป้งชั้นใน ใช้แป้งเค้ก 300 กรัม และน้ำมันพืช 150 กรัม<br /><br />สำหรับตัวไส้ ส่วนผสม “ไส้ถั่ว” นั้น ตามสูตรจะใช้ถั่วเขียวเลาะเปลือก 500 กรัม, น้ำตาลทราย 600 กรัม, น้ำมันพืช 250 กรัม, เนยสด 50 กรัม, กลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา และนมผง 30 กรัม<br /><br />วิธีทำ เริ่มที่แป้งชั้นนอก ร่อนแป้งเค้กและนมผงเข้าด้วยกันลงอ่างผสมที่เตรียมไว้ จากนั้นผสมน้ำตาลทราย เกลือป่น และน้ำเย็นเข้าด้วยกัน คนจนส่วนผสมละลายดี เทลงในส่วนผสมแป้ง ตีจนแป้งจับตัวเป็นก้อน (ใช้ที่ตีแป้งรูปตะขอ) จากนั้นเติมน้ำมันพืช ตีแป้งต่อจนแป้งเนียน ไม่ติดมือ จึงนำแป้งออกมาแบ่งเป็นก้อน ก้อนละ 20 กรัม คลึงแป้งเป็นก้อนกลมด้วยมือ คลุมด้วยผ้าขาวบาง พักไว้ 5-10 นาที เพื่อให้แป้งคลายตัว และพองขึ้น<br /><br />แป้งชั้นใน ให้ร่อนแป้งเค้กลงในอ่างผสม เติมน้ำมันพืชลงไป และตีจนส่วนผสมจับตัวเป็นก้อน เสร็จแล้วตัดแบ่งแป้งหนักก้อนละ 10 กรัม แล้วคลึงให้เป็นก้อนกลม พักไว้<br /><br />จากนั้นนำแป้งชั้นนอกที่เตรียมไว้ก่อนหน้ามาห่อแป้งชั้นใน ปิดตะเข็บให้สนิท นำแป้งมารีดตามยาว แล้วพับทบ 3 ทบ พักไว้ 5 นาที แล้วรีดตามยาวอีกครั้ง พับทบ 3 ทบ พักไว้ 5 นาที แป้งจะเป็นชั้น ๆ พักเตรียมไว้<br /><br />ต่อไปเป็นการทำไส้ขนมเปี๊ยะที่เป็นไส้ถั่ว ซึ่งต้องทำเตรียมไว้ก่อนหน้า โดยล้างถั่วเขียวเลาะเปลือกให้สะอาด แช่ในน้ำเปล่าประมาณ 12 ชั่วโมง จากนั้นล้างให้สะอาดอีกครั้ง แล้วนึ่งถั่วจนสุก<br /><br />บดถั่ว น้ำตาลทราย น้ำมันพืช กลิ่น วานิลลา และนมผง เข้าด้วยกันด้วยเครื่อง แล้วเทลงบนกระทะทองเหลือง เปิดไฟกลางกวนจนส่วนผสมข้น และสามารถ ปั้นเป็นก้อนกลมได้ แล้วเติมเนยสด กวนต่อจนส่วนผสมเข้ากันดี ยกลงพักไว้จนถั่วเย็น แบ่งถั่วเป็นก้อน ๆ หนักก้อนละ 15-20 กรัม คลึงเป็นก้อนกลม เตรียมไว้<br /><br />ขั้นตอนการห่อไส้ รีดแป้งเป็นแผ่นบางประมาณ 14 เซนติเมตร ตัดแบ่งเป็น 2 ชิ้น ใส่ไส้ถั่วกวนระหว่างแป้ง 2 ชิ้น ประกอบปิดตะเข็บให้สนิท แล้วรีดอีกครั้งให้เป็นแผ่นหนาประมาณ 34 เซนติเมตร ใช้มือทำให้ตัวขนมเป็นรูปวงกลม จากนั้นใช้กรรไกรตัดแบ่งเป็น 12 ช่อง แล้วบิดหันกลีบให้สวยงาม วางลงบนเตาอบที่ทาด้วยเนยขาว ตกแต่งหน้าด้วยไข่แดง งาดำคั่ว<br /><br />อบขนมที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ประมาณ 30 นาที หรือกระทั่งสุก แซะออกจากถาดวางพักบนตะแกรงจนขนมเย็นสนิท แล้วนำไปอบควันเทียนประมาณ 10 นาที จนมีกลิ่นหอม จึงบรรจุภาชนะที่ปิดสนิท<br /><br />แป้งปริมาณดังกล่าวข้างต้นจะทำ “ขนมเปี๊ยะดอกไม้” ได้ประมาณ 80 ลูก หรือ 80 ชิ้น โดยมีต้นทุนต่อสูตรประมาณ 200 กว่าบาท ตั้งราคาขายที่ชิ้นละ 10 บาท หรือแล้วแต่ตลาด ซึ่งนอกจากไส้ถั่วแล้วยังสามารถทำเป็นไส้อื่น ๆ อาทิ ไส้งาดำ ไส้ถั่วแดง หรือจะทำหน้าตา-ตกแต่งเป็นรูปแบบอื่น ๆ ก็ได้ อาทิ รูปสัตว์ต่าง ๆ ตามความสามารถ และความเป็นไปได้ เช่น รูปกระต่าย เป็นต้น<br /><br />สนใจเรื่อง “ขนมเปี๊ยะดอกไม้” ต้องการติดต่อ อาจารย์ณนนท์ ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2281-9231-4 ต่อ 2106, 08-5334-3993 08-5334-3993 ซึ่งนี่ก็เป็นตัวอย่างการพลิกแพลงรูปร่างหน้าตาของขนมเดิม ๆ ให้ “แปลกใหม่”.<br /><br />สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล<br />ที่มาของบทความ เดลินิวส์ <a href="http://www.dailynews.co.th/">http://www.dailynews.co.th/</a><br /><div align="left"><br /><a href="http://www.job108.blogspot.com/"><strong><span style="font-size:130%;">www.job108.blogspot.com</span></strong></a></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-81879981155100349532010-07-08T11:55:00.000-07:002010-07-08T11:57:08.895-07:00‘โรตีสไตล์พิซซ่า’<a href="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/TDYffF6enKI/AAAAAAAABIs/L8jsRMimmRc/s1600/c1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5491611414648757410" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 126px" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/TDYffF6enKI/AAAAAAAABIs/L8jsRMimmRc/s200/c1.jpg" border="0" /></a><br /><div>สารพัดหน้า-ขายแปลก<br /><br />โรตีมีขายหลากหลาย ปรับปรุงกันไปให้ร่วมสมัยหรือให้แปลกแหวกแนว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับใครจะหาไอเดียได้เด็ดขนาดไหน อาทิ โรตีไส้แกง โรตีไส้ กะเพรา ซึ่งเป็นแบบไทย ๆ หรือจะเป็นโรตีไส้กล้วยหอมราดหน้าด้วยช็อกโก แลต หรือสตรอเบอรี่ นี่ก็มีให้เห็น ส่วนจะ ขายได้-ขายดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับทำเล ฝีมือ รวมถึงการตั้งราคา และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีโรตีอีกแบบมาให้ลองพิจารณากัน เป็น “โรตีสไตล์พิซซ่า” ที่ก็น่าสนใจ...<br /><br />วิเชียร ภูรีญาณสวัสดิ์ เจ้าของร้านโรตีพิซซ่า ย่านวัดชมภูเวก สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี เปิดขายมาระยะหนึ่งแล้ว และได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อพอสมควรทีเดียว ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า ขายมาได้ 2 เดือนกว่า ซึ่งเท่ากับปีที่แล้วซึ่งก็ขายได้เพียงแค่ 2 เดือน หลังจากนั้นไปบวชอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อสึกออกมาก็มาทำขายต่อ<br /><br />“มาเช่าบ้านในซอยวัดชมพูเวก ซึ่งด้านในเป็นชุมชนมีคนอยู่กันมาก แรก ๆ ก็ขายในบ้าน ซึ่งก็ขายดี เพราะมีคนมาซื้อตลอด ต่อมาก็ออกมาขายข้างนอกบ้าง ซึ่งก็เป็นทำเลซึ่งไม่ไกลจากบ้านมากนัก ซึ่งผลตอบรับก็ดีทีเดียว สำหรับการขายในระยะแรก ๆ เพราะเราเพิ่งมาใหม่ได้ไม่นาน” วิเชียรกล่าว<br /><br />ก่อนจะเล่าต่อไปว่า ไปดูวิธีทำโรตีมาจากร้านที่นครปฐม และนำมาประยุกต์เป็นสูตรของตนเอง โดยได้ไปจ้างอาบังที่ขายโรตีให้มาสอนวิธีสะบัดแผ่นแป้งโรตี ซึ่งกว่าจะชำนาญก็นานพอสมควร ส่วนที่พลิกแพลงทำเป็น “โรตี พิซซ่า” นั้น เพราะคิดว่าน่าจะแปลกดี ยังไม่มีแพร่หลายทั่วไปในตลาด<br /><br />อุปกรณ์ขายโรตีนั้น เบื้องต้นลงทุนประมาณ 20,000 กว่าบาทขึ้นไป ซึ่งรวมค่ารถเข็น และอุปกรณ์จิปาถะต่าง ๆ มากมายหลายอย่าง ส่วนวัตถุดิบที่ใช้หลัก ๆ จะเป็นส่วนของแป้ง ไข่ไก่ และส่วนประกอบของหน้าโรตี อาทิ ไส้กรอก ปูอัด หมูหยอง ทูน่า ข้าวโพด ถั่วลันเตาต้ม ไข่เค็ม รวมไปถึงเครื่องโรยหน้า อย่างซอสพริก ซอสมะเขือเทศ มายองเนส ออริกาโน่ และพริกป่น ส่วนนี้ก็เป็นส่วนทุนที่จะต้องลงในแต่ละวัน<br /><br />วิเชียรบอกว่า ถ้าขายโดยใช้แป้งโรตีประมาณ 100 ลูก จะใช้แป้งสาลีประมาณ 2 กก. นวดกับน้ำตาลทราย 2 ช้อนชา, เกลือ 2 ช้อนชา, นมสด 2 ช้อนโต๊ะ, ไข่ไก่ 2 ฟอง และโซดา 1 ซ้อนโต๊ะ (เพื่อให้แป้งนุ่ม) ซึ่งการนวดแป้งนั้นใช้วิธีการนวดด้วยมือให้เข้ากัน จากนั้นก็ปั้นเป็นลูก ๆ ขนาด 1 กำมือพอดี ๆ และคลุมด้วยผ้าขาวบางไว้ จะนำออกมาใช้ก็เวลาทำขายเท่านั้น ซึ่งใช้วิธีคลุมแป้งแบบนี้ก็ได้ ไม่ต้องหมักแป้งนาน ๆ ให้เสียเวลา<br /><br />ส่วนหน้าโรตีพิซซ่านั้น หลัก ๆ จะมี 5 หน้า ได้แก่ โรตีพิซซ่า, โรตีพิซซ่าไข่เค็ม, โรตีซอนญ่า, โรตีพิซซ่าทูน่า, โรตีพิซซ่าหมูหยอง ราคาขายอยู่ที่ชุดละ 25-35 บาท<br /><br />วิธีทำ เริ่มที่เตรียมกระทะ ตั้งน้ำมันพอร้อน จากนั้นนำแป้งมาสะบัดเป็นแผ่น จากนั้นนำลงทอดในกระทะ เตรียมไส้ด้วยการเตรียมภาชนะถ้วย เล็ก ๆ ถ้าเป็น โรตีพิซซ่า ธรรมดา ไส้ด้านในจะเป็นไส้กรอกและไข่ไก่ตีรวมกัน, โรตีพิซซ่าไข่เค็ม จะเหมือนกับโรตีพิซซ่า แต่ต้องบี้ไข่เค็มส่วนไข่แดง ลงไปด้วย แล้วตีรวมกัน, โรตีซอนญ่า ไส้จะเป็นส่วนผสมของถั่วลันเตาต้ม-ข้าวโพดต้ม-ปูอัด ตีผสมกับไข่ไก่ สำหรับ โรตีทูน่า มีส่วนผสมของเนื้อปลาทูน่า ถั่วลันเตาต้ม-ข้าวโพดต้ม ตีผสมกับไข่ไก่ และถ้าเป็น โรตีหมูหยอง จะเป็นการทอดแผ่นโรตีกรอบขึ้นมาก่อน เสร็จแล้ว โรยหน้าด้วยหมูหยอง และแต่งหน้าอีกครั้งด้วยซอส พริกป่น และผงออริกาโน่<br /><br />เมื่อทอดแผ่นโรตีแล้ว ให้ใส่ไส้ที่ตีรวมไว้แล้วลงไป พับปิดให้เรียบร้อย พลิกไปพลิกมาให้พอสุก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้ประมาณ 16 ชิ้น เติมน้ำมันลงทอดโรตีให้เหลืองกรอบ เสร็จแล้วนำขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน<br /><br />จากนั้นนำโรตีใส่ภาชนะขาย เรียงให้ดูเรียบร้อย ปรุงรสแต่งหน้าด้วยซอสพริก ซอสมะเขือเทศ มายองเนส ผงออริกาโน่ และพริกป่นตามลำดับ เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย ส่วนโรตีหมูหยองนั้นทำเหมือนกันเพียงแต่ไม่ต้องใส่ไส้ แต่มาโรยหน้าด้วยหมูหยองตอนท้ายก่อนที่เข้าขั้นตอนปรุงรสแต่งหน้า<br /><br />วิเชียรบอกด้วยว่า ล่าสุดเพิ่งคิดค้น โรตีแหนม อีกสูตรหนึ่ง ซึ่งวิธีทำคล้ายกับโรตีพิซซ่า แต่เปลี่ยนจากไส้กรอกเป็นแหนมแทน และเพิ่มถั่วลันเตาและข้าวโพดลงไปด้วย ส่วนวิธีทำเหมือนกันทุกอย่าง ราคาก็ 30 บาท<br /><br />ใครสนใจ “โรตีพิซซ่า” ของวิเชียร เขาขายทุกวันตั้งแต่เวลาบ่าย 3 โมงเป็นต้นไป โดยร้านอยู่ที่ปากซอยวัดชมภูเวก (ซอยนนทบุรี 33) ย่านสนามบินน้ำ นนทบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 08-5226-7124 หาร้านไม่เจอก็ลองโทรฯ ถามไถ่กันดู ซึ่งเจ้าตัวบอกมาด้วยว่า พร้อมจะสอนอาชีพนี้ให้สำหรับคนที่มีความตั้งใจจริง.<br /><br />สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน<br />ที่มา เดลินิวส์ <a href="http://www.dailynews.co.th/">http://www.dailynews.co.th/</a></div><br /><div></div>Unknownnoreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-84860218297503362422010-06-20T08:07:00.000-07:002010-06-20T08:08:59.502-07:00‘ซองใส่มือถือ’ ไอเดียกวน ๆ แต่ทำเงิน<a href="http://2.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/TB4u-bQIPLI/AAAAAAAABGM/5OpEkJ2cfVA/s1600/2.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 211px; FLOAT: left; HEIGHT: 145px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5484873046186015922" border="0" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/TB4u-bQIPLI/AAAAAAAABGM/5OpEkJ2cfVA/s200/2.jpg" /></a> ความสำเร็จของสินค้างานแฮนด์เมด นอกจากรูปแบบต้องโดดเด่นสะดุดตาแล้ว การสร้างตราสินค้า หรือสร้างแบรนด์ ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะทำให้ลูกค้าจดจำสินค้าได้ ลูกค้าเกิดความคุ้นเคย และสนใจซื้อสินค้า อย่างเช่นสินค้า “ซองหนังใส่โทรศัพท์มือถือ” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...<br /><br />“อุทิศ แก้วกาหลง” เจ้าของงานไอเดียชิ้นนี้ เล่าว่า หลังเรียนจบด้านรัฐศาสตร์ก็ไปทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศอยู่พักใหญ่ ต่อมารู้สึกว่าไม่ถนัดกับงานแบบนี้ ชอบงานอิสระ จึงตัดสินใจลาออกมาทำอาชีพค้าขายทั่วไป ก่อนจะหันมาทำโมเดลจำลองตัวการ์ตูนและหุ่นยนต์ขาย จนตอนหลังตลาดมีคู่แข่งอยู่มาก จึงคิดว่าน่าจะลองประดิษฐ์สินค้า ที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตนเองขึ้น จึงเริ่มทำพวงกุญแจตัวการ์ตูน โดยระยะแรกทดลองนำไปแจกให้กับเพื่อนฝูงและคนรู้จัก ปรากฏว่าหลายคนชอบ จึงคิดว่าน่าจะพัฒนามาเป็นสินค้าได้ จึงเริ่มทำจริงจังโดยวางจำหน่ายที่บริเวณหน้าห้างบิ๊กซี รามคำแหง ซึ่งเป็นทำเลประจำจนถึงปัจจุบัน<br /><br />หลังจากทำพวงกุญแจ ต่อมาก็พัฒนามาเป็นตุ๊กตาสำหรับห้อยกับโทรศัพท์มือถือ และ “ซองหนังใส่โทรศัพท์มือถือ” โดยรูปแบบสินค้าจะเน้นที่ “ตัวการ์ตูนหน้าตากวน ๆ สีสันสดใส” เพราะ ตนเองชอบงานในรูปแบบนี้อยู่แล้ว ต่อมาคิดว่าในตลาดสินค้าแฮนด์เมด การลอกเลียนแบบหรือก๊อบปี้มีสูง จึงคิดว่าสินค้าก็น่าจะมี “ยี่ห้อ” เพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ จึงใช้ชื่อ “แขกดอย” ซึ่งเป็นคำผวนที่เพื่อนมักชอบเรียกชื่อเล่นของตน<br /><br />“นอกจากลูกค้าจะจำสินค้าได้ ชื่อนี้ก็ใช้เป็นชื่อที่ทำให้ลูกค้าสนิทกับเราได้มากขึ้น เพราะชื่อสินค้าไปได้ดีกับรูปแบบสินค้าของเราที่เป็นตัวการ์ตูนกวน ๆ ก็ถือว่าได้ประโยชน์จากแบรนด์สองทาง” อุทิศบอก<br /><br />สำหรับรูปแบบของชิ้นงานในปัจจุบันที่ทำจำหน่ายอยู่นั้น มีอยู่ 3 ชนิดคือ ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ พวงกุญแจ และซองโทรศัพท์มือถือ โดย ชนิดหลังลูกค้าให้การตอบรับเป็นพิเศษ เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มาก ทั้งใส่โทรศัพท์มือถือ ทั้งใส่เศษสตางค์ รวมถึงใส่ของกระจุกกระจิก ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ รูปแบบชิ้นงาน จึงเน้นสีสันฉูดฉาด ส่วนตัวการ์ตูนก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยจุดเด่นอยู่ที่รอยยิ้ม<br /><br />ทุนเบื้องต้นของงานประเภทนี้ อยู่ที่ประมาณ 1,000 บาทขึ้นไป ส่วน ทุนวัสดุ อยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขาย ส่วนรายได้-ราคาขาย ต่ำสุดชิ้นละ 49 บาท ขึ้นไปจนถึงชิ้นละ 89 บาท ขึ้นกับขนาดและชนิดสินค้า<br /><br />วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำ ประกอบด้วย เข็มกับด้ายสีสันต่าง ๆ, กระดุมสีขนาดต่าง ๆ สำหรับใช้ตกแต่งตัวการ์ตูน, สแตรปเปิ้ล (เครื่องเย็บกระดาษ), ดินสอ, ไม้บรรทัด, คีม, ฝากระป๋อง สำหรับใช้เป็นแม่พิมพ์ร่างแบบ, หนังเทียม สีสันต่าง ๆ, ห่วงสำหรับทำพวงกุญแจและร้อยเชือก, เชือกฝ้ายสำหรับสะพาย และหนังยางมัดผม<br /><br />ขั้นตอนการทำ เริ่มจากร่างแบบตัวการ์ตูนที่ออกแบบไว้ลงบนกระดาษแข็ง จากนั้นทำการตัดกระดาษตามแบบที่ร่างไว้เพื่อใช้เป็นแบบในการตัดหนังเทียม เพื่อขึ้นรูปเป็นตัวการ์ตูน นำแบบที่ได้มาทาบลงบนด้านหลังของหนังเทียม จากนั้นทำการลากเส้น และตัดขึ้นรูปตามแบบ ขั้นต่อไปให้นำส่วนประกอบที่ตัดขึ้นรูปไว้มายึดติดด้วยเครื่องยิงกระดาษเพื่อให้ชิ้นงานไม่ขยับขณะทำการเย็บ นำผ้าขาวมารองพื้นตรงบริเวณด้านหลังของหนัง เพื่อปิดบังไม่ให้เห็นรอยเย็บ ทำการเย็บขึ้นรูปเป็นตัวการ์ตูนโดยใช้กระดุมหรือด้ายเย็บเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามที่ออกแบบไว้<br /><br />มีข้อแนะนำคือ ด้ายที่ใช้เย็บเป็นตัวการ์ตูนควรใช้เป็นสีเดียวกับหนังเทียมที่ขึ้นรูปเป็นส่วนลำตัว และการตัดแผ่นหนังที่จะใช้เป็นส่วนประกอบของซองโทรศัพท์ด้านหน้าและหลังนั้น ด้านหลังต้องวัดเผื่อความยาวจากด้านหน้าประมาณ 4 เซนติเมตร เพื่อที่จะพับเป็นฝาปิดซอง เมื่อได้แล้วให้ทำการกรีดหนังเทียมด้วยคัตเตอร์ที่ด้านหลังของซองโทรศัพท์ เพื่อให้เป็นที่ใส่ห่วงสำหรับร้อย<br /><br />จากนั้นทำการเย็บประกบแผ่น หนัง และร้อยเชือกสำหรับสะพาย เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ<br /><br />“รายได้ในปัจจุบัน นอกจากจะมีจากการผลิตสินค้าเพื่อวางขายที่หน้าร้านแล้ว ก็ยังมีรายได้เสริมอีกทางจากการรับผลิตงานตามแบบของลูกค้าที่สั่งทำพิเศษ เพื่อนำไปใช้เป็นของที่ระลึก ของชำร่วย ในงานแต่งงาน หรืองานอื่น ๆ อีกด้วย” เจ้าของงานกล่าว<br /><br />อุทิศมีทำเลขายชิ้นงานไอเดีย รวมถึง “ซองหนังใส่โทรศัพท์มือถือ” ที่บริเวณด้านหน้าห้างบิ๊กซี สาขารามคำแหง โดยขายประจำทุกวันเวลา 20.00-22.00 น. ใครสนใจก็ลองแวะเวียนไปดูกันได้ หรือหากต้องการติดต่อกับอุทิศก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-5159-1191 08-5159-1191 หรือที่อีเมล kake252@hotmail.com.<br /><br />ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รางาน<br /><br />ที่มา เดลินิวส์ <a href="http://www.dailynews.co.th/">http://www.dailynews.co.th/</a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-4778234821107110902010-05-24T01:58:00.000-07:002010-05-24T02:00:21.746-07:00'โคมไฟดินหอม' งานปั้น-งานหอมๆ ทำเงิน รวยไว<a href="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S_pAEN2CbuI/AAAAAAAABFg/jOWuca4hA40/s1600/2.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 244px; FLOAT: left; HEIGHT: 149px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5474758738202226402" border="0" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S_pAEN2CbuI/AAAAAAAABFg/jOWuca4hA40/s400/2.jpg" /></a><br /><div>เครื่องปั้นดินเผา สินค้าหัตถกรรมประเภทงานปั้น แม้หลายคนจะมองว่าตลาดสินค้าประเภทนี้ค่อนข้างเติบโตน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ หากรู้จักพลิกแพลง-ต่อยอด-ผสมผสาน และรู้จักสร้างเอกลักษณ์เพิ่มมูลค่าให้สินค้า อย่างเช่นงาน “โคมไฟดินหอม” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” ไปพบเจอมา...<br /><br />“พรรษา สิงโตแก้ว” เจ้าของงานดังกล่าวนี้ บอกว่า “โคมไฟดินหอม” นี้เริ่มมาจากความที่เป็นคนชอบงานปั้น เนื่องจากเติบโตมาในครอบครัวช่างปั้น ต่อมาเมื่อมาลงหลักปักฐานที่จังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่าในพื้นที่มีดินเหนียวคุณภาพดี จึงทดลองนำมาปั้นชิ้นงาน โดยแรก ๆ ตั้งใจจะทำเพื่อเป็นงานอดิเรก ต่อมาคิดว่าน่าจะส่งเสริมให้คนในพื้นที่ได้มีรายได้เสริมจากอาชีพเกษตรกรรม จึงเริ่มรวมตัวก่อตั้งกลุ่มผลิตงานปั้นเล็ก ๆ ขึ้น โดยเน้นที่ชิ้นงานปั้นรูปแบบง่าย ๆ เริ่มจากการปั้นตุ๊กตาดินเผา ก่อนจะพัฒนาแตกชนิดสินค้าเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันมีหลากหลาย อาทิ โมบายสำหรับแขวน ตะเกียงน้ำมันหอมระเหย บ้านดินเผาสำหรับนก เป็นต้น<br /><br />สำหรับโคมไฟดินหอม หรืออีกชื่อ “โคมไฟอารมณ์ดิน” นั้น เกิดขึ้นเพราะต้องการต่อยอดนำวัสดุ และส่วนประกอบที่มีอยู่แล้วจากการปั้น คือส่วนประกอบที่ปั้นเป็นลูกปัดสำหรับทำโมบายแขวน มาผสมผสานเข้ากับงานโคมไฟ และงานตะเกียงน้ำมันหอมระเหย เพื่อให้เกิดเป็นสินค้าชนิดใหม่ โดยอาศัยดวงไฟจากโคมไฟเป็นตัวทำให้เกิดความร้อนกับน้ำมันหอมระเหย ทั้งยังสามารถให้แสงสว่างในรูปแบบโคมไฟอีกด้วย<br /><br />ถือเป็นการต่อยอดสินค้าที่เพิ่มเงินลงทุนไม่มาก<br /><br />อีกจุดขายที่ใช้ “เพิ่มมูลค่า” ก็คือ “รูปแบบของงานที่ไม่ซ้ำกัน” เนื่องจากงานปั้นที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะผลิตด้วยมือทุกชิ้น ไม่มีแม่พิมพ์ ดังนั้นรูปแบบและลวดลายจึงไม่ซ้ำกัน...<br /><br />“เรามองว่าเป็นการต่อยอดโดยที่แรงงานในกลุ่มของเราไม่ต้องสร้างเนื้องานเพิ่มมาก เพราะงานปั้นลูกปัดก็ทำเพื่อผลิตเป็นโมบายอยู่แล้ว ที่จะเพิ่มเข้ามาก็คืองานส่วนโครงสร้างของโคมไฟ” เจ้าของงานกล่าวสำหรับตลาดของสินค้า พรรษาบอกว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่ บ้านคุ้มวิมานดิน ของเธอ เนื่องจากไม่ได้ขายผ่านคนกลาง แต่อาศัยเปิดร้านอยู่กับบ้าน และจำหน่ายผ่านทางหน้าเว็บไซต์ www.koomwimarndin. com เท่านั้น<br /><br />ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ เจ้าของงานบอกว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าเครื่องมือและอุปกรณ์ในงานปั้น ส่วนทุนวัตถุดิบต่อชิ้นอยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขาย โดยราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ 500 บาท ไปจนถึง 4,000 บาท ซึ่งโคมไฟจะมีทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่<br /><br />วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำโคมไฟดินหอม ประกอบด้วย เตาสำหรับเผา (สามารถใช้ได้ทั้งแบบแก๊สและไฟฟ้า), ดินเหนียว, เศษฟางและแกลบ สำหรับผสมดิน, ไม้สำเร็จรูป สำหรับทำโครงโคมไฟ, เอ็น ไนลอนหรือเชือก สำหรับร้อยลูกปัด, ตะเกียงน้ำมันหอมระเหย, ชุดหลอดไฟสำเร็จรูป และเครื่องมือสำหรับตกแต่งดินเผา อาทิ เกรียง มีดแกะสลัก พู่กัน<br /><br />ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการเตรียมดินเหนียวสำหรับปั้น โดยดินเหนียวที่ใช้จะเป็นดินที่อยู่ลึกลงไปประมาณ 50 เซนติเมตร เมื่อได้ดินเหนียวจำนวนที่ต้องการแล้วก็นำมาผึ่งแดดเพื่อให้ดินแตกตัวเป็นชิ้นเล็ก จากนั้นนำดินที่แตกตัวแล้วมาแช่น้ำทิ้งไว้ให้ดินตกตะกอน<br /><br />เมื่อดินตกตะกอนแล้วให้เทน้ำทิ้ง นำส่วนผสมสำหรับผสมดินในงานปั้นใส่ลงไป อาทิ ทราย, แกลบ, ฟาง จากนั้นคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันกับเนื้อดิน ทำการนวดดินให้เป็นเนื้อเดียวกันจนได้อาการดิน หรือมีความเหนียวพอเหมาะสำหรับการปั้น แล้วก็เริ่มลงมือปั้นเป็นลูกปัดสำหรับร้อยตามรูปแบบที่ต้องการ โดยต้องเจาะรูสำหรับร้อยเชือกและเอ็นไว้ด้วยก่อนที่จะนำเข้าเตาเผา<br /><br />จากนั้นนำส่วนประกอบต่าง ๆ เข้าเผาในเตาเผาที่ความร้อนไม่ต่ำกว่า 900 องศาเซลเซียส โดยใช้เวลาในการเผาประมาณ 10 ชั่วโมง จึงนำออกมาทิ้งไว้ให้ดินเผาเย็นตัวประมาณ 1 วัน<br /><br />เมื่อดินเผาเย็นตัวลงแล้วก็นำมาร้อยเข้าด้วยกันด้วยเอ็นไนลอนหรือเชือกสำหรับร้อยลูกปัด เมื่อร้อยได้จำนวนที่ต้องการแล้วจึงนำมาประกอบเข้ากับตัวโคมไฟที่ทำการติดตั้งชุดไฟสำเร็จรูปไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อประกอบเสร็จก็ตกแต่งตามต้องการ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำโคมไฟดินหอม<br /><br />“วิธีการไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน เรียนรู้ไม่นานก็สามารถทำได้ แต่ทุก ๆ ขั้นตอนจำเป็นต้องใช้เวลาและอาศัยฝีมือบวกกับความตั้งใจของคนปั้นเป็นสำคัญ ผลงานถึงจะออกมาสวยงาม” เจ้าของงานระบุ<br /><br />ใครสนใจชิ้นงาน “โคมไฟดินหอม” นี้ติดต่อได้ที่ คุ้มวิมานดิน เลขที่ 121/1 หมู่ 3 ต.คลองเขื่อน อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา โทร.08-2255-9807, 08-7825-1338 08-7825-1338, 08-1866-8700 08-1866-8700 หรือที่อีเมล info@koomwimarn din.com ใครที่สนใจอยากจะเรียนรู้งานปั้นดินเผาก็ลองสอบถามกันดู.<br /><br />ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน<br /><br />ที่มา เดลินิวส์ <a href="http://www.dailynews.co.th/">http://www.dailynews.co.th/</a></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-43442831630981243552010-04-20T06:46:00.000-07:002010-04-20T06:49:14.758-07:00กล่องรับซองจดหมาย สร้างอาชีพ ทำเงิน<a href="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S82wtXDnHTI/AAAAAAAABFI/WggI9eN0ToI/s1600/2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5462216216400043314" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 172px; CURSOR: hand; HEIGHT: 143px" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S82wtXDnHTI/AAAAAAAABFI/WggI9eN0ToI/s400/2.jpg" border="0" /></a><br /><div>งานกระดาษ-ทำเงินงานมงคล<br /><br />“ช่องทางทำกิน” เคยนำเสนอผลงานที่เกี่ยวกับงานกระดาษหรืองาน “เปเปอร์มาเช่” ไปหลายหน แต่ก็ยังมีคนค้นคิดและดัดแปลงผลิตภัณฑ์แนวนี้ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่างานแนวนี้ยังไม่ถึงทางตัน อย่างเช่นงาน “กล่องรับซอง” ที่มีกลุ่มลูกค้าคือผู้ที่จัดงานมงคล โดยเฉพาะงานวิวาห์...<br /><br />“ชลดิส ชุณหโสภาค” เจ้าของงานเล่าว่า เคยทำงานเป็นพนักงานประจำตลาดหลักทรัพย์ เพราะเรียนจบมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ โดยยึดอาชีพดังกล่าวมานานกว่า 12 ปีจนรู้สึกอิ่มตัว จึงวางแผนที่จะออกมาจับธุรกิจสักประเภทเพื่อรองรับชีวิตในอนาคต จังหวะที่กำลังมองหาอยู่นั้นได้มีโอกาสได้ไปเห็นงานรูปแบบ “เปเปอร์มาเช่” เข้าก็เกิดความสนใจ จึงใช้เวลาว่างจากงานประจำไปอบรมและฝึกหัดทำ<br /><br />เมื่อมีความชำนาญมากขึ้น ภายหลังจึงคิดว่าน่าจะถึงเวลาออกมาทำตามที่ตั้งใจเสียที จึงตัดสินใจออกมาผลิตงานแนวนี้เพื่อจำหน่ายตั้งแต่ปี 2544 โดยตอนแรกมีหน้าร้านวางจำหน่ายสินค้าที่สวนลุมไนท์บาซาร์ ภายหลังสัญญาเช่าสิ้นสุดลง จึงตัดสินใจไม่ทำร้าน แล้วหันมาสร้างเว็บไซต์ของตนเองขึ้น พร้อมเปลี่ยนมาผลิตงานแนวเวดดิ้ง ผลิต “กล่องรับซอง” ในงานแต่งงาน จับตลาดงานเวดดิ้ง และคู่รัก<br /><br />“ตอนแรกลูกค้าจะเป็นนักท่องเที่ยว เพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็นของที่ระลึก ตอนหลังมองว่าตลาดกลุ่มนี้มีความผันผวน มีความเสี่ยงจากปัจจัยแวดล้อมสูง และกระทบกับ ยอดขายได้ง่าย จึงมองหาตลาดใหม่ที่มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดแรก โดยมาสรุปที่ตลาดเวดดิ้งหรือลูกค้าคู่รักที่กำลังจะแต่งงาน” ชลดิสกล่าว<br /><br />ข้อดีของตลาดลูกค้ากลุ่มนี้ เขาระบุว่า ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ก็จะไม่ผันผวนตามสถานการณ์เหมือนกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มักจะมีผลกระทบขึ้นลงตามสภาพเศรษฐกิจและการเมือง ข้อดีประการต่อมาคือ โอกาสคิดงานไม่ออกหรือถึงทางตันมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนออกแบบและคิดงานให้ทำ เนื่องจากคู่รักแต่ละคู่ก็อยากจะได้สิ่งของที่ไม่เหมือนใคร หรือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ<br /><br />“ลูกค้าจะมีเรื่องราวหรือมีคอนเซปต์ที่เขาคิดมาไว้ก่อนแล้ว เรามีหน้าที่แนะนำและจัดทำสินค้าตามความคิดของเขา ขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่าง จึงพูดได้เลยว่าโอกาสตันเกิดขึ้นได้น้อยมาก” เจ้าของงานระบุ<br /><br />วัสดุ-อุปกรณ์ในการทำชิ้นงาน ประกอบด้วย ดินเหนียว (ใช้ขึ้นรูปชิ้นงาน), ปูนปลาส เตอร์ (สำหรับหล่อโมลหรือแม่พิมพ์), เกรียงปาด, กระดาษหนังสือพิมพ์เก่า, กระดาษแข็ง, แป้งข้าวเจ้า (สำหรับทำกาว), สีน้ำทาบ้าน, น้ำยาเคลือบมัน (ใช้ 2 สูตร คือสูตรน้ำกับสูตรยูริเทน) และที่เหลือก็เป็นพวกวัสดุตกแต่งตามต้องการ<br /><br />ทุนเบื้องต้นอาชีพ ลงทุนประมาณ 5,000 บาท ส่วนทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 40% จาก ราคาขาย โดยราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ชิ้นละ 600 บาท ไปจนถึงสูงสุด 4,500 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุตกแต่งที่จะต้องนำมาใช้ โดยการสั่งทำผลงานแต่ละชิ้นจะใช้เวลาในการทำประมาณ 3 สัปดาห์ หรือขึ้นอยู่กับแบบและความยากง่าย<br /><br />ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำแบบที่ต้องทำมาขึ้นรูปด้วยดินเหนียว โดยนำดินเหนียวมาปั้นขึ้นเป็นรูปทรงตามที่ได้ออกแบบไว้ เมื่อขึ้นจนเป็น รูปทรงที่ต้องการแล้ว ให้เทปูนปลาสเตอร์ที่ผสมรอไว้มาเทขึ้นรูปกับดิน เหนียวที่ปั้นไว้ จากนั้นตั้งทิ้งไว้จนแห้ง จึงกะเทาะออก ก็จะได้แม่พิมพ์สำหรับการแปะกระดาษ<br /><br />ระหว่างนั้นก็ทำการเตรียมกระดาษที่จะใช้หุ้มชิ้นงาน ด้วยการฉีกกระดาษแช่น้ำไว้<br /><br />เมื่อได้แม่พิมพ์แล้วก็ให้นำกระดาษที่เตรียมไว้มาทำการแปะและหุ้มให้รอบแม่พิมพ์ โดยการหุ้มให้เริ่มจากการหุ้มด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ก่อน จากนั้นจึงนำกระดาษแข็งสีขาวที่เตรียมไว้มาค่อย ๆ หุ้มทับอีกชั้นหนึ่ง<br /><br />สาเหตุที่ใช้กระดาษแข็งสีขาวแปะที่ชั้นนอกนั้น เจ้าของผลงาน กล่าวว่า จะช่วยทำให้พื้นผิวของชิ้นงานดูเนียนเรียบเสมอกัน และทำให้สีสันของชิ้นงานสม่ำเสมอ มีสีสันสดใส ชัดเจน ไม่เป็นรอยด่าง<br /><br />เมื่อหุ้มกระดาษจนครบสมบูรณ์แล้ว ก็นำไปตากแดดทิ้งไว้ให้แห้ง โดยใช้เวลาประมาณ 1 วัน เมื่อชิ้นงานแห้งสนิทดีแล้วก็นำมาทำการลงสี วาดลวดลายตามที่ออกแบบไว้ ปล่อยทิ้งจนสีแห้ง จากนั้นจึงทำการลงน้ำยาเคลือบผิวมัน โดยใช้สูตรน้ำก่อน แล้วถึงค่อยลงน้ำยาสูตรยูริเทน เพื่อไม่ให้เกิดกรณีน้ำยาเคลือบผิวกัดผิวชิ้นงาน เมื่อเคลือบจนเสร็จก็ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ทำการตกแต่งด้วยวัสดุตกแต่ง เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ<br /><br />“จุดเด่นของเราคือ นอกจากจะเน้นที่ตัวชิ้นงานเปเปอร์มาเช่แล้ว รอบ ๆ เราก็ยังเน้นการตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศด้วย ซึ่งกระแสตอบรับที่ได้กลับมาค่อนข้างดี นอกจากงานแต่งแล้วก็ยังมีลูกค้าประเภท อีเวนต์ที่สั่งทำชิ้นงานเพื่อนำไปตั้งโชว์เพื่อดึงดูดลูกค้า ณ จุดขายอีกด้วย” เจ้าของงานกล่าว<br /><br />สนใจ “งานกระดาษ” เปเปอร์มาเช่ ที่ทำเป็น “กล่องรับซอง” ของชลดิส ติดต่อได้ที่ โทร.08-7593-0719 หรือดูในเว็บไซต์ www.pantipmarket.com/ mall/cjhandmade ส่วนใครที่สนใจอยากจะรู้วิธีทำมากกว่านี้ ก็ลองสอบถามจากเจ้าของงานโดยตรงได้เลย !!.<br /><br />ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน<br /><br />ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ </div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-8889283643016939452010-03-04T06:10:00.000-08:002010-03-04T06:14:15.510-08:00พลิกแพลงซาลาเปา..ไส้แกง<a href="http://2.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S4_AHeNbsKI/AAAAAAAABEU/SYoyPshFbj8/s1600-h/220.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; FLOAT: left; HEIGHT: 64px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5444781709115240610" border="0" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S4_AHeNbsKI/AAAAAAAABEU/SYoyPshFbj8/s200/220.jpg" /></a> พลิกแพลงสร้างจุดขายที่ไม่เหมือนใครซาลาเปาไส้แกงจ้า<br /><br />“ซาลาเปา” ยุคนี้มีการพัฒนาพลิกแพลงให้แปลกใหม่หลากหลาย ทั้งรูปร่างหน้าตา รวมถึง “ไส้แปลก ๆ” ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็จะเสนอข้อมูลการทำอาชีพขายซาลาเปาที่มีไส้ใหม่ ๆ น่าสนใจ...<br /><br />ศิริพรรณ อตัญธี อายุ 43 ปี เจ้าของร้าน “บ้านซาลาเปา” ย่านรังสิต ซึ่งทำซาลาเปาขายมากว่า 10 ปี เล่าว่า อาชีพเดิมคือพนักงานออฟฟิศ เมื่อช่วง พ.ศ. 2543 ต้องตกงาน เพราะพิษเศรษฐกิจ ต้อง ออกจากงาน แต่โชคดีที่สามีมีอาชีพเป็นกุ๊กที่ภัตตาคารห้อยเทียนเหลา จึงได้ออกมาทำซาลาเปาขายแบบเล็ก ๆ ที่บ้าน<br /><br />ระยะแรกเริ่มต้นจาก 3 ไส้ก่อนคือ ซาลาเปาไส้หมูแดง, ซาลาเปาไส้หมูสับ, ซาลาเปาไส้ครีม ทำแล้วนำไปฝากขายตามสถานที่ต่าง ๆ จากนั้นก็พัฒนาอาชีพให้เติบโตมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันซาลาเปาที่ทำขายมีมากกว่า 10 ไส้ ประยุกต์ พัฒนา พลิกแพลงมาเรื่อย ๆ ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป<br /><br />ซาลาเปาไส้เขียวหวานไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้กะเพราไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้พะแนงหมูไข่เค็ม เป็น 3 ในกว่า 10 ไส้ที่ศิริพรรณทำขายอยู่ และได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เพราะคนไทยกินข้าวแกงประจำ จึงคิดทำ ซาลาเปาที่มีรสแกงออกมาขาย ทดลองทำอยู่ไม่นานก็ทำได้ และขายดีด้วย<br /><br />วิธีทำซาลาเปาไส้แกงต่าง ๆ ศิริพรรณอธิบายว่า ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มที่แป้ง ตามสูตรก็เตรียมแป้งสาลี 12 กก., เชื้อ 1 กก. (เชื้อนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการหมักแป้งสาลีประมาณ 2 กำมือกับน้ำพอประมาณ นวดแล้ว ทิ้งไว้ 2-3 วัน เมื่อจะนำมาขึ้นเชื้อใหม่ ให้นวดแป้งสาลีกับน้ำในปริมาณที่ต้องการใช้ แล้วนำมาผสมกับปริมาณแป้งที่จะใช้ในแต่ละวัน เชื้อแป้งนี้อย่าใช้จนหมด ต้องแบ่งบางส่วนไว้ใช้ในคราวต่อไปด้วย เพราะถ้าใช้หมดต้องเสียเวลาหมักแป้งใหม่ ซึ่งอาจทำได้ไม่เหมือนครั้งแรก หรือจะแก้ปัญหาด้วยการไปขอเชื้อจากภัตตาคารที่ขายซาลาเปาก็ได้), น้ำตาลทราย 12 กก., แอมโมเนีย 1 ช้อนชา., ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ., น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะ, นมสด 12 กระป๋อง<br /><br />ในส่วนของแป้งนี้ วิธีทำคือนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันให้เนียน โดยที่แป้งไม่ติดมือ จากนั้นใส่น้ำประมาณ 12 ถ้วย แล้วนวดจนเนียนอีก 20 นาที จากนั้นค่อย ๆ แบ่งแป้งออกเป็นก้อน ก้อนละ 40 กรัม เตรียมไว้<br /><br />สำหรับสูตรแป้งที่ว่ามานี้จะทำซาลาเปาได้ประมาณ 30-32 ลูก<br /><br />ต่อด้วยวิธีการทำ ไส้เริ่มที่ “ซาลาเปาเขียวหวานไก่ไข่เค็ม” มีส่วนผสมของไส้คือ เนื้อไก่สับ 1 กก., พริกแกงเผ็ดเขียวหวาน 2 ช้อนโต๊ะ, กะทิ 1 กล่อง, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เข้ากัน ใส่แป้งข้าวโพดลงไปพอประมาณ นวดให้เข้ากันจนเหนียว จากนั้นใส่ใบโหระพาลงไป แล้วค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง<br /><br />ถัดมา “ซาลาเปาพะแนงหมูไข่เค็ม” มีส่วนผสมคือ เนื้อหมู 1 กก., เครื่องแกงพะแนง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, ใบมะกรูดหั่นฝอย ผสมส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นจึงค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง<br /><br />ส่วน “ซาลาเปากระเพราหมูไข่เค็ม” ใช้หมูสับ 1 กก., กระเทียมสับ และพริกขี้หนูบด 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ และใบกะเพราพอประมาณ วิธีทำก็นำส่วนผสมมาคลุกผสมให้ เข้ากัน จากนั้นจึงนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง การห่อแป้งหุ้มไส้ต่าง ๆ นั้น เวลาจะห่อไส้ก็ให้แผ่แป้งออกขนาดประมาณฝ่ามือ ใส่ไส้ลงไปพอประมาณ แล้วจึงห่อแป้งหุ้มให้แน่น จับจีบด้านบนให้สวยงาม แล้ววางบนกระดาษ จากนั้นนำไปนึ่งประมาณ 12-15 นาที<br /><br />ซาลาเปาทั้ง 3 ไส้นี้ขายได้ในราคาลูกละ 15 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 60-70% ของราคา<br /><br />สนใจ “ซาลาเปาไส้แกง” ต้องการติดต่อ ศิริพรรณ อตัญธี ร้านของเธออยู่ที่ 35 ซอยบงกช 30 หมู่ 2 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 โทร.0-2901-8369, 08-9925-6312 หรือดูใน www.bansalapao.com ซึ่งเจ้าของอาชีพขายซาลาเปารายนี้ต้องถือว่าพลิกแพลงได้น่าสนใจไม่น้อย.<br /><br />สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน/ จเร รัตนราตรี : ภาพ<br />หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-58883707740208117612010-02-24T09:18:00.001-08:002010-02-24T09:21:17.965-08:00'ทอลูกปัด' งานเสริม 'ขายไอเดีย-ราคาดี' รวย<a href="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S4Vf3KELF0I/AAAAAAAABEE/OV_q6VoMcy0/s1600-h/1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5441861125946414914" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 136px" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S4Vf3KELF0I/AAAAAAAABEE/OV_q6VoMcy0/s200/1.jpg" border="0" /></a> งานประดิษฐ์หลายชิ้นต้องยอมรับว่าเมื่อได้เห็นแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ เพราะนอกจากจะสวยงามแล้วยังแสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของคนทำเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าที่ได้รับกลับมาก็เรียกได้ว่า...หายเหนื่อย อย่างเช่นงาน “ทอลูกปัด” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...<em>อาชีพเสริม<br /></em><br />มณี แถววงษ์ เจ้าของงาน “ทอลูกปัด” เล่าว่า เคยประกอบอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวมาก่อน ภายหลังแต่งงานมีครอบครัวก็เลยเปลี่ยนงาน หันมาสนใจงานประดิดประดอย อาศัยเวลาว่างไปอบรมหาความรู้เกี่ยวกับการ ประดิษฐ์งานฝีมือตลอดเวลา จนมาสะดุดใจกับงานทอลูกปัดนี้เข้า โดยได้เห็นรูปแบบมาจากงานทอลูกปัดยุคโบราณ คิดว่าสวยดี จึงหันมาศึกษาขั้นตอนการทำงานทอลูกปัดนี้อย่างจริงจัง โดยนำมาประยุกต์ให้เข้ากับจินตนาการของตนเอง จนเกิดเป็นลวดลายต่าง ๆ ขึ้น โดยปัจจุบันทำงานนี้มาได้กว่า 20 ปีแล้ว<br /><br />“รูปแบบคือการผสมผสานเทคนิคระหว่างงานทอผ้าผนวกกับงานร้อยลูกปัด โดยจะเน้นผลิตเป็นชิ้นงานหรือเป็นภาพ โดยลูกค้าสามารถซื้อแล้วนำไปประดับกับสินค้า อื่น ๆ หรือใช้เป็นของตกแต่ง”<br /><br />การทอลูกปัดนั้น มณีบอกว่า สามารถดัดแปลงให้เป็นชิ้นงานได้หลากหลาย เช่น สร้อยข้อมือ สร้อยคอ กระเป๋าใส่ของกระจุกกระจิก ฯลฯ ตามแต่จินตนาการของคนทำ โดยสินค้าของมณีและกลุ่มงานทอลูกปัด ราคาขายเริ่มต้นที่ชิ้นละ 900 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาด รูปแบบ และความยากง่ายของสินค้า<br /><br />สำหรับความแตกต่างระหว่างงานร้อยลูกปัดกับงานทอลูกปัดนั้น เจ้าของงานบอกว่า งานทอลูกปัดจะใช้เวลาและความอดทนในการทำมากกว่า เพราะแต่ละขั้นตอนจำเป็นต้องอาศัยความประณีต เหมือนกับการทอผ้า แต่แลกมาด้วยความสวยงามของลวดลายที่จะละเอียดกว่า และสามารถสร้างสรรค์ลวดลายได้มากมาย<br /><br />“ลวดลายที่ทำเริ่มจากลายง่าย ๆ เช่น ลายดอกไม้ ที่เป็นลายพื้นฐาน ไปจนถึงลายที่ยากขึ้น อย่างลายไทย ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ซื้อไปเพื่อเป็นของตกแต่งและของประดับ โดยมีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ”<br /><br />ทุนเบื้องต้น ใช้เงินลงทุนไม่มาก อยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคาขาย เพราะใช้วัสดุในการทำไม่มาก แต่ใช้เวลามาก โดยอุปกรณ์ที่จำเป็นในงานทอลูกปัด ได้แก่ เครื่องหรือกี่สำหรับทอลูกปัด, ด้าย-เข็ม สำหรับร้อยลูกปัด, ลูกปัด, กรรไกร-คัตเตอร์ และอุปกรณ์สำหรับตกแต่ง อื่น ๆ<br /><br />ขั้นตอน การทำ เริ่มจากการขึงเส้นด้าย เพื่อทอเครื่องประดับที่มีความยาวไม่มากเกิน ความยาวของเครื่องทอ เช่น จี้ เข็มกลัด หรือสร้อยข้อมือ โดยขึงเส้นด้ายวนอ้อมหมุดไปมาทั้งสองด้าน จนได้จำนวนเส้นด้ายแนวตั้งครบตามที่ต้องการ โดยหมุนแกนให้หมุดทำมุม 45 องศาทั้ง 2 ด้าน แล้วหมุนตัวล็อกเพื่อยึดให้แน่น<br /><br />จากนั้นยึดปลายเส้นด้ายด้วยสก๊อตเทปแล้วพันรอบหมุดประมาณ 3 รอบ โดยขึงเส้นด้ายไปยังหมุดอีกด้าน ให้เส้นด้ายผ่านร่องสปริงทั้ง 2 ด้านแล้วพันวกกลับ โดยอ้อมผ่านหมุดและพันพาดไปมาทีละเส้นโดยให้แต่ละเส้นขนานกัน โดยอยู่เรียงกันในร่องสปริง และถูกตรึงโดยหมุดทั้ง 2 ด้าน<br />เมื่อขึงจนครบจำนวนเส้นที่ต้องการ ให้พันปลายเส้นด้ายรอบหมุด 3 รอบ ยึดปลายด้ายด้วยสก๊อตเทป ปรับเส้นด้ายที่ขึงให้ตึง โดยหมุนตัวล็อกให้แกนไม้บิดลงเล็กน้อย<br /><br />ต่อมาเป็นขั้นตอนการทอ เริ่มจากการร้อยลูกปัดด้วยเข็มและด้าย โดยใช้สีและจำนวนตามที่แบบกำหนด ในแต่ละแถวดันให้ลูกปัดแต่ละเม็ดแทรกขึ้นมาระหว่างเส้นด้ายที่ขึงในแนวตั้ง แล้วสอดก้นเข็มผ่านรูลูกปัดทั้งแถวเพื่อให้ลูกปัดเรียงเป็นแถวตรง ทอเช่นนี้ไปทีละแถวตามแบบ จนได้ชิ้นงานที่ต้องการ<br /><br />เจ้าของผลงานบอกว่า สีของเส้นด้ายที่ใช้ขึงแนวตั้งและทอในแนวนอน ควรใช้สีเดียวกัน ซึ่งสีของเส้นด้ายที่ใช้ควรใกล้เคียงกับสีพื้นของลูกปัดในชิ้นงาน และเพื่อความแน่นหนา เมื่อร้อยด้ายย้อนผ่านรูลูกปัดในแถวแรกแล้ว ควรผูกเส้นด้ายแนวนอนกับปลายเส้นด้ายที่เหลือไว้ในตอนแรก<br /><br />“แม้จากขั้นตอนการทำที่ว่ามาจะฟังดูยาก แต่ถ้าหากได้ทดลองทำจริง ๆ ฝึกฝนจนชำนาญไประยะหนึ่ง ก็จะเริ่มเข้าใจ และจะเริ่มสนุกขึ้น อาชีพนี้ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ มีตลาดแน่นอน เพราะลูกค้ามีมากกว่าคนผลิต อีกทั้งเป็นงานฝีมือที่ในตลาดยังมีคู่แข่งขันน้อย” เจ้าของงานกล่าวทิ้งท้าย<br /><br />สนใจติดต่อ กลุ่มงานทอลูกปัด ติดต่อได้ที่เลขที่ 59/34 หมู่บ้านเสนานิเวศน์ โครงการ 2 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ โทร. 08-1269-8832 ใครสนใจอยากจะฝึกทำ ก็ลองสอบถามกันโดยตรง.<br /><br />ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน / จเร รัตนราตรี : ภาพ<br />ขอบคุณที่มา <a href="http://www.dailynews.co.th/">http://www.dailynews.co.th</a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-86556077845421365612010-02-13T06:43:00.000-08:002010-02-13T06:56:27.171-08:00ของฝากสร้างอาชีพ 'ลูกหยีกวน'<a href="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S3a9blphyAI/AAAAAAAABD0/_9IZv2vFnsk/s1600-h/y2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5437741881756862466" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 143px" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S3a9blphyAI/AAAAAAAABD0/_9IZv2vFnsk/s200/y2.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;">“ลูกหยี” เป็นหนึ่งในของฝากที่ขึ้นชื่อของปักษ์ใต้ เป็นผลไม้พื้นเมืองของภาคใต้ รับประทานได้เมื่อสุก ตอนเป็นผลดิบจะมีสีเขียว เมื่อสุกเปลือกสีดำ เนื้อในสีน้ำตาล รสหวานอมเปรี้ยว ถ้ากินสุก ๆ เพียงแกะเปลือกสีดำออกก็รับประทานได้แล้ว แต่ถ้าอยากเพิ่มความอร่อยก็นำมาปรุงรสแปรรูปในลักษณะต่าง ๆ เช่นทำเป็น “ลูกหยีกวน” ซึ่งทางทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลในเชิงอาชีพมานำเสนอให้พิจารณากัน...<br /><br />อาจารย์สาลี ชนะสิทธิ์ วัย 60 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมพัทลุงวิทยา ในฐานะทายาทผู้สืบทอดธุรกิจ “ลูกหยีแม่หนูดำ” เล่าให้ฟังถึงที่มาของธุรกิจนี้ว่า เจ้าของสูตรที่แท้จริงคือ คุณป้าหนูดำ เยาวนานนท์<br />ซึ่งเป็นป้าแท้ ๆ ที่ยึดอาชีพนี้มากว่า 50 ปี สมัยเด็ก ๆ อาจารย์จะคอยเป็นลูกมือแกะลูกหยี ทำโน่นทำนี่ให้คุณป้าเสมอ จนทำให้ซึมซับเคล็ดลับและวิธีการแปรรูปลูกหยีเรื่อยมา<br /><br />“สมัยนั้นทำกันเฉพาะในครัวเรือน วางขายหน้าบ้าน ซึ่งได้รับความนิยมมาก มีลูกค้าขาประจำทั้งในจังหวัดพัทลุงและใกล้เคียงมาอุดหนุน ทำกันเรื่อยมาจนกระทั่งท่านอายุมาก บวกกับร่างกายไม่แข็งแรง แต่อยากให้อาชีพนี้ตกทอดเป็นมรดกของคนในครอบครัว ในฐานะหลานสาวที่คลุกคลีกับการทำลูกหยีมาตลอด เรายินดีที่จะสืบถอดธุรกิจนี้ และเริ่มทำอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 จนปัจจุบัน”<br /><br />และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และรักษามาตรฐานผลิตภัณฑ์ อาจารย์สาลียังได้ต่อยอดสินค้า ด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้คุณภาพ จนผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) พัฒนาสินค้าจนได้รับเลือกเป็นสินค้าโอทอประดับ 5 ดาว เป็นสินค้าเด่นประจำจังหวัดพัทลุง อีกทั้งยังปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยเหมาะจะซื้อเป็นของฝากอีด้วย<br />เคล็ดลับความอร่อยของ “ลูกหยีกวน” อาจารย์สาลีบอกว่าอยู่ที่ประสบการณ์การปรุงรส ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งสูตรจะไม่กำหนดเป็นอัตราส่วนตายตัว เพราะลูกหยีสดที่รับซื้อมาแต่ละปีรสชาติจะต่างกัน หวานบ้างเปรี้ยวบ้าง ดังนั้น สูตรการปรุงรสจะเกิดจากความคุ้นเคย การทำทุกครั้งจะต้องชิมและปรุงรสให้ได้ที่<br /><br />วัตถุดิบ/ส่วนผสม ประกอบด้วย ลูกหยีสด, แบะแซ, น้ำผึ้งรวง, เกลือ, น้ำตาลทราย, พริกขี้หนูป่น และน้ำสะอาด ส่วนอุปกรณ์ก็มีอาทิ เครื่องกะเทาะเปลือกและเม็ดลูกหยี (หรือใช้ถุงผ้าก็ได้), กระทะ, เตาแก๊ส, ตะหลิว, ไม้พาย, ถาด, กระด้ง และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หยิบฉวยเอาได้จากในครัวเรือน<br /><br />ขั้นตอนการทำ “ลูกหยีกวน” เริ่มจากนำลูกหยีสดไปตากแดดประมาณ 2 วัน แล้วก็กะเทาะเอาเปลือกและเมล็ดออก ถ้าไม่มีเครื่องกะเทาะก็ให้นำลูกหยีที่ตากได้ที่แล้วมาใส่ในถุงผ้าที่เตรียมไว้ แล้วทำการฟาดหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เปลือกแตก เสร็จแล้วก็เทลูกหยีใส่กระด้ง ทำการร่อนเอาเปลือกออก ถ้ามีเศษเปลือกติดค้างต้องแกะให้เกลี้ยง ก่อนจะทำการแกะเมล็ดออก แล้วนำลูกหยีไปเกลี่ยในกระด้งให้ทั่ว นำออกตากแดดอีก 2 วัน แล้วนำลูกหยีที่ตากแดดแห้งดีแล้วเก็บใส่ถุงมัดปากให้ดี ตั้งพักไว้<br /><br />ต่อไปเป็นขั้นตอนการทำน้ำเชื่อม นำน้ำสะอาด น้ำผึ้งรวง แบะแซ น้ำตาลทราย เกลือ และพริกขี้หนูป่น ใส่ลงในกระทะพร้อมกัน ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวประมาณ 10 นาที จนเป็นน้ำเชื่อมเหนียวเข้มข้น<br /><br />เมื่อเคี่ยวน้ำเชื่อมได้ที่ดีแล้ว ก็นำลูกหยีที่เตรียมไว้ใส่ลงในกระทะน้ำเชื่อม ทำการคนคลุกเคล้าให้เข้ากัน ยกลง พอเริ่มอุ่น ๆ ก็นำไปปั้นเป็นเม็ดกลม ๆ พอดีคำ แล้วนำไปตากแดดอีกประมาณ 20 นาที จากนั้นห่อด้วยกระดาษ และใส่ลงบรรจุภัณฑ์ พร้อมจำหน่าย โดยสามารถเก็บไว้ได้นานถึงประมาณ 3 เดือน<br /><br />สินค้าของอาจารย์สาลีมีให้เลือก 3 ประเภทคือ ลูกหยีกวน ลูกหยีสด ลูกหยีทรงเครื่อง ราคาขายแตกต่างกันไปตามขนาด และบรรจุภัณฑ์ แต่เฉลี่ยอยู่ที่ขีดละ 40 บาท มีต้นทุนประมาณ 70%<br /><br />ร้านลูกหยีแม่หนูดำ อยู่ที่เลขที่ 52/2 ถ.ประชาบาล ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง, ที่สนามบินหาดใหญ่ และโซนโอทอป ห้างเทสโก้โลตัส สาขาพัทลุง ส่วนในกรุงเทพฯมีขายที่ร้านโครงการหลวง ใกล้โรงพยาบาลศิริราช และมีบริการส่งสินค้าทางไปรษณีย์ทั่วประเทศด้วย ใครต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ต้องการสั่งซื้อ ต้องการสั่งไปจำหน่ายต่อ ติดต่อที่ โทร.0-7462-6414 หรือ 08-6627-0867<br />เชาวลี ชุมขำ :รายงาน<br />ที่มา เดลินิวส์ <a href="http://www.dailynews.co.th/">http://www.dailynews.co.th</a></span></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-56909235600329475192010-01-14T08:08:00.000-08:002010-01-14T08:12:09.183-08:00‘ดวงอาชีพ’ คนปีเสือ-ธาตุทอง<a href="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S09CMDqxfiI/AAAAAAAABCk/eNgJqY9ztQw/s1600-h/1204978130.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5426628850915311138" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 208px" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/S09CMDqxfiI/AAAAAAAABCk/eNgJqY9ztQw/s320/1204978130.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ff0000;"><strong>นักษัตรใด...ใครชง-ใครฉลุย??</strong></span><br /><br />ปิดศักราชใหม่ ปีขาล-ปีเสือ พ.ศ.2553 “ช่องทางทำกิน” นำร่องสำหรับปีนี้ทางทีมงานจะนำเสนอ “ดวงอาชีพรายปีนักษัตร” โดยการพยากรณ์ตามหลักโหราศาสตร์จีน โดย ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย ซึ่งท่านที่เกิดปีนักษัตรใดจะเป็นปีชง เป็นปีฉลุย มาดูกัน.....<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีชวด’ ทุกรอบอายุ<br /><br />โดยส่วนใหญ่ในปี 2553 นี้จะแผ่วพลังลงไปเรื่อย ๆ การทำอาชีพ ทำธุรกิจ ถ้าจะให้เกิดความสำเร็จมักจะต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยตัวเอง ผู้หลักผู้ใหญ่ บริวารไม่ค่อยเกื้อหนุนนัก ก็ควรทำอะไรตามกำลัง อย่าไปลุยเสี่ยงอะไรที่เกินตัว เกินกำลังความสามารถมากนัก เพราะอาจไม่ได้ดั่งใจ แต่ถ้าทำพอดีตัว มีการเตรียมพร้อม ไม่ว่ากำลังคน กำลังทรัพย์ กำลังความคิด มีการเตรียมพร้อมที่จะแก้ไขปัญหา จะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาไปได้ด้วยดี สามารถก้าวสู่เป้าหมายได้ในระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ก็อาจไม่คล่องตัวเหมือนช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ยังคงมีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ก็ควรวางระบบการเงินให้ดี ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นทิ้งไป สำหรับการหวังผลในระยะยาวก็มีโอกาสสมหวังใน 2 ปีข้างหน้า ปี 2555 ซึ่งเป็นปีมะโรง แต่ก็ต้องฟันฝ่าปีหน้าที่โหดมันฮาไปให้ได้เสียก่อน<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีฉลู’ ทุกรอบอายุ<br /><br />เจอปีที่ไม่เกื้อหนุน จะประกอบธุรกิจ ทำอาชีพอะไร ต้องอดทนใจเย็นและมานะพยายามกว่าเดิมเป็นสองเท่าตัว ต้องเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดจึงจะก้าวสู่เป้าหมายได้ อย่าประมาทในทุกเรื่องเพราะมักจะมีปัญหาถาโถมให้ต้องแก้ไขอยู่ตลอด คนที่ทำงานกินเงินเดือนประจำก็จะมีพื้นฐานดวงในทำนองเดียวกัน เรื่องการเงินควรจัดระบบให้อยู่ในกรอบความพอดี ควรจัดก๊อกสำรองไว้ในยามจำเป็นฉุกเฉินด้วย จะมีค่าใช้จ่ายนอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงทางการเงินควรเบรก เพราะจะไม่คุ้มกับที่เสียไป อย่างไรก็ตาม แม้ล้มคว่ำคะมำหงาย แต่การจะลุกขึ้นสู้ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถของชาวปีฉลูที่มีความพยายามและมานะอดทนเป็นที่ตั้ง เมื่อเข้าสู่ปีหน้า 2554 ปีนักษัตรเถาะซึ่งเป็นปีที่กลาง ๆ กับดวงชะตา ก็จะเริ่มเป็นทีของชาวปีฉลูบ้าง<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีขาล’ ทุกรอบอายุ<br /><br />ปี 2553 จะรุ่งโรจน์รุ่งเรืองด้านธุรกิจ อาชีพการงาน เป็นช่วงปีทองอีกปีหนึ่ง เป็นช่วงแปรเปลี่ยนจังหวะก้าวเดินสู่ชีวิตใหม่ มีงานใหม่ ๆ เข้ามาให้ทำแบบมีความสุข เป็นช่วงปีที่มักมีคนเกื้อหนุนช่วยเหลือธุรกิจการงาน จะลงทุนอะไรก็มักมีโอกาสเป็นไปในทิศทางที่ดีเป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่เสี่ยงมากเกินไปก็ลุยได้เต็มที่ แต่อย่าบุ่มบ่ามโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ต้องเช็กข้อมูลให้ดีด้วย ปีนี้ก็ขอให้มีมานะ ขยันขันแข็งเต็มที่ พยายามลุยสุดกำลังตามความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่นอนรอราชรถมาเกย มิฉะนั้นจะมีคนวิ่งแย่งตัดหน้าทีเผลอ ผู้ที่ทำงานกินเงินเดือนประจำก็อาจมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น ส่วนสภาวการณ์ทางการเงินในปีนี้จะคล่องตัวขึ้นมากกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ควรรู้จักเก็บหอมรอมริบไว้ใช้ในยามที่จำเป็นบ้าง เพราะความไม่แน่นอนในอนาคตยังเป็นสิ่งที่แน่นอน<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีเถาะ’ ทุกรอบอายุ<br /><br />ปีนี้เสมือนคืนเดือนมืดที่ฟ้ามืดสนิท ไม่มีแสงสว่างนำทาง การทำธุรกิจอาชีพการงานต้องละเอียดรัดกุม อดทนใจเย็น ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ ปรึกษาผู้ใหญ่หรือผู้สันทัดกรณีก่อนตัดสินใจ การขยายกิจการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่เสี่ยงสูงควรชะลอไว้ก่อน หรือถ้าเริ่มไปแล้วก็รอไปลุยเต็มที่ในปี 2554 ปีเถาะที่เกื้อหนุน อย่าเพิ่งเสี่ยงในปีนี้เด็ดขาดเพราะจะได้ไม่คุ้มเสียหรือเสียมากกว่าได้ คนที่ทำงานกินเงินเดือนประจำก็มักมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้ดั่งใจหรือถูกคนตีสีใส่ไข่ ชาวปีเถาะปีนี้ขอให้ทำใจตั้งรับสภาวการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยความมีสติ หมั่นทำบุญทำทานสะเดาะเคราะห์ก็พอที่จะทำให้ทุกอย่างผ่อนหนักเป็นเบาได้ระดับหนึ่ง เรื่องเงินก็ควรรอบคอบในการใช้จ่ายให้มาก จะมีมรสุมทางการเงินถาโถมใส่อย่างคาดไม่ถึง และต้องระวังการเสียเงินจากการถูกฉ้อโกงหรือถูกโจรกรรมตีชิงวิ่งราวด้วย<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีมะโรง’ ทุกรอบอายุ<br /><br />ในปี 2553 นี้ จะมีทั้งดีและไม่ดีคละเคล้ากัน แต่ภาพรวมโดยส่วนใหญ่จะดีขึ้นกว่าปี 2552 โดยปีนี้การดำเนินธุรกิจหรือทำอาชีพการงานจะโชติช่วงชัชวาล จะย่ำอยู่กับที่ หรือจะย่ำแย่ลงไป ขึ้นอยู่กับจังหวะการตัดสินใจของตัวเองเป็นสำคัญ ประกอบกับจะมีใครมาเกื้อหนุนส่งเสริมหรือไม่ คนที่ทำงานกินเงินเดือนประจำอยู่ในปีนี้ก็มักจะเป็นไปแบบเรื่อย ๆ สบาย ๆ ส่วนทางด้านการเงินของชาวปีมะโรงในปีนี้ซึ่งเป็นปีที่เป็นกลาง ๆ กับดวงชะตา สภาพความคล่องตัวทางการเงินเริ่มดีขึ้นบ้าง การชักหน้าไม่ถึงหลังเริ่มจะหมดไป แต่ก็ยังไม่ควรเสี่ยงทางการเงิน ควรทำในสิ่งที่พอดีตัวและไม่เสี่ยงมากนัก เพราะในปีหน้า 2554 จะไปเจอปีที่ไม่เกื้อหนุน ไม่เช่นนั้นอาจต้องเกิดการชอกช้ำระกำใจ ขาดทุนเป็นหนี้เป็นสิน ควรจะสำรองเงินตราไว้ไปทุ่มเสี่ยงในขณะที่ดวงดีในอีก 2 ปีข้างหน้าจะดีกว่า<br />ผู้ที่เกิด ‘ปีมะเส็ง’ ทุกรอบอายุ<br /><br />คนที่เกิดปีนักษัตรมะเส็งในปีนี้จะเริ่มผันผวนพลิกผันถดถอยลง เรื่อย ๆ ต้องทำใจตั้งรับให้ดี อาชีพการงาน การทำธุรกิจ จะเริ่มแผ่ว ดำเนินการสิ่งใดมักไม่ค่อยราบรื่น ผู้ใหญ่ที่เคยเกื้อหนุนจะหมดอำนาจ พรรคพวกหรือลูกน้องบริวารก็มักไม่ได้ดั่งใจ ทำอะไรต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ในปี 2553 ที่ไม่เกื้อหนุนกับดวงชะตา ไม่ควรเริ่มต้น ธุรกิจหรือทำงานอะไรที่เสี่ยงสูง ที่หนักมากเกินตัว เพราะจะเจออุปสรรคตลอดและอาจต้องละทิ้งกลางคัน ปีนี้ต้องใช้ความฉลาดและความสามารถเฉพาะตัวหลบหลีกปัญหาให้ดี ไม่เช่นนั้นมีโอกาสเจ็บตัวเจ็บใจต้องแก้ไขปัญหาไปอีกยาว ด้านการเงินในปีนี้ก็จะค่อย ๆ ชะลอตัวลง ควรจะชะลอการใช้จ่ายลงทุกด้าน ซึ่งถ้ารู้จักคุมเกมการเงินให้อยู่ และเตรียมการล่วงหน้า ก็คงไม่เกินความสามารถของชาวปีมะเส็งที่จะประคองตัวให้ผ่านปีนี้ไปได้<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีมะเมีย’ ทุกรอบอายุ<br /><br />ปีเสือ 2553 นี้จะดีขึ้นเกินคาดแทบทุกด้าน จะเริ่มลุยธุรกิจการงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ ช่องทางที่เคยปิดจะมีคนมาเปิดให้และสนับสนุน มีธุรกิจการงาน ใหม่ ๆ มีช่องทางทำกินที่มีโอกาสประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ เป็นช่วงที่ทั้งเก่งและเฮง จับอะไรมักเป็นเงินเป็นทอง แต่ก็ควรเบรกธุรกิจการงานที่มีความเสี่ยง มิฉะนั้นจะกลายเป็นได้ไม่เท่าเสีย คนที่ทำงานกินเงินเดือนประจำปีนี้ก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงดีขึ้นหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เมื่อได้ดีก็อย่าลืมตัว เรื่องการเงินปีนี้ค่อย ๆ ลื่นไหลด้วยดี มีโอกาสมีรายรับหลายทาง แต่อย่าเหลิง ต้องรู้จักเก็บ และเคลียร์หนี้สินภาระเก่าให้เรียบร้อย เพราะในปี 2554 ต้องเหนื่อยด้วยตัวเอง เพราะจะเจอปีที่ไม่เกื้อหนุนดวงชะตา และต้องแบกภาระที่สุดแสนจะหนักอีก 3 ปี แล้วถึงจะไปเจอปีนักษัตรที่เป็นปีที่ดีกับดวงชะตาเหมือนเช่นปีนี้อีก 2 ปี<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีมะแม’ ทุกรอบอายุ<br /><br />ปีนี้ก็แจ่มใสขึ้นกว่าปี 2552 ซึ่งเป็นปีที่เป็นปรปักษ์หรือชงกันอย่างแรง ปีนี้พื้นฐานดวงเริ่มโล่งขึ้น ถึงแม้จะไม่ส่งเสริมเกื้อหนุนแต่ก็ถือว่าเป็นปีกลาง ๆ ก็ควรเตรียมตัวตั้งหลักเริ่มลงมือทำงาน ดำเนินธุรกิจ ขอให้เพิ่มความมานะพยายามให้มากยิ่งขึ้น ลุยให้เต็มที่เต็มกำลังความสามารถที่มีอยู่ ผลที่ได้จะทำให้เกิดความชื่นอกชื่นใจ และจะไปมีผลงานโดดเด่นให้เห็นในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้านสภาวการณ์ทางการเงินก็ถือว่าดีมีสภาพความคล่องตัวมากขึ้นกว่าเดิม มีการหมุนเวียนเป็นที่น่าพอใจ สามารถเก็บสะสมความมั่งคั่งมากขึ้นไปเรื่อย ๆ และปีหน้าก็จะเจอปีนักษัตรเถาะที่สมพงศ์กัน ก็ยิ่งลุยไปได้อย่างเต็มที่เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทำอะไรก็ต้องวิเคราะห์ความต้องการของตลาด คู่แข่งขัน ว่าเป็นอย่างไร และถ้ามีหุ้นส่วนก็ต้องดูดวงคนที่ร่วมงานร่วมธุรกิจว่าดีหรือไม่อย่างไรเป็นองค์ประกอบด้วย<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีวอก’ ทุกรอบอายุ<br /><br />ปี 2553 นี้ จากรุ่งเรืองกลายเป็นดิ่งลง มักเจอะเจอแต่สิ่งที่ไม่ดีมาก ๆ หลายด้าน ต้องฟันฝ่าอุปสรรคปัญหานานัปการ ต้องปรับตัวปรับใจตั้งรับกับสิ่งที่จะประดังเข้ามาชนิดคาดไม่ถึง เปรียบเสมือนเจอพายุนาร์กีส หรือคลื่นยักษ์สึนามิเลยทีเดียว ถ้าดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยงหรือมีการแข่งขันสูงอยู่ก็มักมีโอกาสเสียหายขาดทุน ดังนั้นถ้าดูแล้วไม่ดี ตกกระแสตลาด เลิกได้ก็ตัดใจหยุดเสียก่อนจะดีกว่าปล่อยให้ยิ่งถลำลึก อาจกลายเป็นสร้างหนี้สินพอกหางหมูสิ้นเนื้อประดาตัวได้ในที่สุด คนทำงานกินเงินเดือนประจำก็เป็นไปในทางเดียวกัน สถานภาพจะแย่ลงกว่าเดิม เช่นเดียวสภาวการณ์ทางการเงินที่เสมือนก๊อกน้ำถูกปิด ต้องหาทางประหยัดรายจ่าย เรื่องลาภลอยในปีนี้ก็มีแต่ลอยไปไม่มีลอยมา คนปีวอกก็ต้องอดทนกัดฟันสู้เพื่อรอวันที่ดีในปีสองปีข้างหน้า แล้วจะรุ่งเรืองไปอีก 2 ปีเต็ม ๆ<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีระกา’ ทุกรอบอายุ<br /><br />ช่วงต้นปีธุรกิจ อาชีพ การทำงาน การเงิน ยังคงมีผลพวง ที่ดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงช่วงกลางปี 2553 แล้วจะ แผ่วลง การทำอะไรก็ตามในปีนี้ต้องใช้ความพยายามให้มากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ปีนี้เจอปีที่เป็นกลาง ๆ ไม่ได้เกื้อหนุนกับดวงชะตา ซึ่งทุกอย่างจะดีมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่การกระทำของตัวเราเองเป็นสำคัญ อย่าหวังน้ำบ่อหน้า เพราะว่ามีโอกาสเจอบ่อที่เริ่มแห้งขอดหรือบ่อร้าง ไม่คุ้มกับที่ได้ลงทุนลงแรงไป ในปีนี้ควรถือคติ รัดกุม รอบคอบ อดทนใจเย็น คิดก่อนพูด จะเป็นการดีที่สุด เพราะปีหน้าจะต้องเจอปีชงที่สุดโหดกับตัวเอง ซึ่งตั้งแต่กลางปีไปสภาวะทางการเงินอาจจะเกิดการช็อต เพิ่มความรัดกุมรอบคอบ อย่าประมาท ควรหาคลังสำรองไว้ก่อน จะเป็นการดีที่สุด ขอย้ำว่าเมื่อมีต้องเก็บให้มากที่สุด เมื่อจะจ่ายก็ต้องจ่ายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีจอ’ ทุกรอบ อายุ<br /><br />ในปี 2553 นี้จะรุ่งเรืองโดดเด่น กระเตื้องดีขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นปีที่ดีด้านการดำเนินธุรกิจหรือการทำงาน จะมีสิ่งดี ๆ เข้ามาในวงจรชีวิตชนิด ที่ไม่คิดไม่ฝัน มีการขยับขยาย ธุรกิจการงาน จะเป็น 2 ปีทองของชาวปีจอ เพราะปีหน้าจะเจอปีที่เกื้อหนุนอีกปีหนึ่ง ก็บุกตะลุยธุรกิจการงานเลยอย่าได้รอรี น้ำขึ้นให้รีบตัก คนทำงานประจำก็เป็นช่วงที่ดีที่จะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง ด้านการเงินก็เดินสะพัดดีกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นคนละเรื่องจากที่เคยขลุกขลักติดขัด เมื่อผ่านกลางปีไปแล้วที่เคยรั่วไหลจะค่อย ๆ ลงตัวหยุดนิ่ง หนี้สินที่คิดว่าจะเป็นหนี้สูญก็มีโอกาสได้กลับคืนให้ชื่นใจ แต่เมื่อการเงินคล่องตัวขึ้นก็อย่าฟุ่มเฟือย อย่าไปเสี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก เพราะในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้า ชาวปีจอจะต้องเจอปีชงที่สุดโหดอีกปีหนึ่งเต็ม ๆ<br /><br />ผู้ที่เกิด ‘ปีกุน’ ทุกรอบอายุ<br /><br />ปีนี้จะเปรียบเสมือนปลากระดี่ได้น้ำ การดำเนินธุรกิจ อาชีพ การงาน ที่เคยต้องเหนื่อยด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะมีคนเข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือให้บรรลุเป้าหมาย เป็นปีทอง มีการก้าวกระโดดของธุรกิจการงานสู่ความรุ่งโรจน์อย่างที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง และปีหน้า 2554 ยังเจอปีนักษัตรเถาะที่สมพงศ์กันดีอีกปีหนึ่ง คนทำงานประจำก็ดีขึ้นในทางเดียวกัน เป็นช่วงที่มีผลงานโดดเด่น ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ก้าวหน้าดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อน้ำขึ้นก็ให้รีบตักตวงผลงานและความสำเร็จไว้จะได้ไม่เสียโอกาสทอง เรื่องของการเงินในช่วงปีนี้มีความคล่องตัวลื่นไหลทั้งเข้ามาและจ่ายออกไป แต่ก็มีเงินเหลือเก็บ เป็นช่วงเวลาที่จับเงินได้เงินจับทองได้ทอง แต่ก็อย่าประมาทอย่าทำอะไรสุ่มเสี่ยง เพราะจะไปเจอปีที่แย่มาก ๆ ในปีชงอีก 3 ปีข้างหน้า ควรรัดกุมรอบคอบตั้งแต่วันนี้ดีที่สุด<br /><br />.....ก็เป็นคำพยากรณ์โดยสรุปเกี่ยวกับ “ดวงอาชีพ” ของผู้ที่เกิดแต่ละปีนักษัตร ในปี 2553 ที่ ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล บอกว่าเป็น “ปีเสือ-ธาตุทอง” ซึ่งท่านที่เจอปีดี ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็ขอแสดงความยินดีด้วย ส่วนท่านที่เจอปีชง-ปีไม่ดี ก็อย่าท้อ-อย่ากังวลเกินไป เราขอเป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี !!.<br /><br />ฮวงจุ้ยดี-ดวงเด่น...เริ่มวิ่งได้ !!<br /><br />“ภาพรวมโดยทั่วไป ปีนี้จะเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อย ๆ พลิกฟื้นสถานการณ์ในหลาย ๆ ด้าน ไปในทิศทางที่ค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่ แม้จะมีบางส่วนของธุรกิจบางด้านที่ต้องเกิดการล้มหายตายจากไป ซึ่งมีทั้งที่กำลังจะตายก็ต้องปล่อยให้ตายไป อีกทั้งที่เหลืออยู่ที่ยังไม่ตายแต่ดูแล้วแคระแกร็นเลี้ยงไม่โต มีแต่ทรง ๆ ทรุด ๆ ก็ขอให้ตัดทิ้งไป อย่าไปประคองให้เสียเวลา จะเสียทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์โดยเปล่าประโยชน์<br /><br />ปี 2553 ภาพ รวมของเศรษฐกิจในมหภาคจะดูดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบางด้านจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปแบบคืบคลาน หลังจากที่ต้องนอนเดี้ยงอยู่ในห้องไอซียู แต่ธุรกิจบางด้านก็ค่อย ๆ เริ่มก้าวเดิน บางด้านก็เริ่มวิ่งไปได้อย่างฉลุย ซึ่งอยู่ที่พื้นฐานดวงชะตาและโอกาสของแต่ละบุคคล ของแต่ละองค์กรที่มีผู้นำที่มีดวงแตกต่างกันไป ประกอบกับทำเลฮวงจุ้ยของธุรกิจการค้าและบ้านที่อยู่อาศัย ว่าได้ส่งเสริมหรือฉุดดึง อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ความเก่งกับความเฮง บวกกับความตั้งใจจริงในความมานะพยายาม” ..... ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ระบุ<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ที่มา เดลินิวส์ <a href="http://www.dailynews.co.th/">http://www.dailynews.co.th/</a></div></span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-72960123703665535602009-12-28T00:04:00.000-08:002009-12-28T00:11:59.337-08:00โคมไฟขวดแก้ว สุดคลาสสิค ณ.อัมพวา<div><div><a href="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/SzhnsZ4MmQI/AAAAAAAABCM/jm2CrCLjvJM/s1600-h/5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5420196164098889986" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/SzhnsZ4MmQI/AAAAAAAABCM/jm2CrCLjvJM/s200/5.jpg" border="0" /></a><span style="font-family:arial;"><strong>โคมไฟขวดแก้ว วัสดุรีไซเคิลเพิ่มรายได้<br /></strong>หลายสัปดาห์ก่อนมีโอกาสไปเที่ยวตลาดน้ำยามเย็น ?อัมพวา? สิ่งคุ้นตาเมื่อมาถึงนอกจากร้านค้าและผู้คนที่มากมายแล้ว ที่นี่ยังมีของกินและของฝากอีกหลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น ?โคมไฟขวดแก้ว? สินค้าทำมือไอเดียของคนชอบประดิษฐ์จากร้าน ?กระรอกน้อย? <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5420196141120523906" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/SzhnrERujoI/AAAAAAAABBs/Cr_i2ehmE0U/s200/1.jpg" border="0" /><br /><br />คุณมิตรชล ถิตตยานุรักษ์ เจ้าของร้านกระรอกน้อย เล่าให้ฟังว่า เดิมทีเปิดร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้วยความที่ต้องการจะเสริมรายได้จากงานประจำที่ทำอยู่ บวกกับตลาดน้ำยามเย็นอัมพวากำลังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมามากมาย จึงคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะสร้างรายได้เพิ่ม<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5420196339612968850" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/Szhn2nuA55I/AAAAAAAABCc/6rBGQ7G091c/s200/7.jpg" border="0" /><br />จากนั้นจึงเริ่มคิดหาสินค้าที่มีความแตกต่างจากร้านค้าอื่นๆ มาวางขาย ประกอบกับเป็นคนสนใจด้านงานประดิษฐ์อยู่แล้ว จึงคิดสร้างชิ้นงานที่มีความแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร โดยวัตถุดิบที่จะนำมาทำชิ้นงานนั้นต้องเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย เพื่อความสะดวกเมื่อต้องการผลิตชิ้นงานจำนวนมาก<br /><br />เมื่อมองไปมองมาก็ไปเห็นขวดแก้วที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ประจวบกับมีโรงขวดอยู่ใกล้ ๆ จึงนำขวดมาวางตรงหน้าพร้อมกับจินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ จากขวดแก้วธรรมดาก็นำมาประดิษฐ์เป็น "แจกันกึ่งเชิงเทียน" ผลงานชิ้นแรกที่ยังไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5420196153690061634" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/SzhnrzGie0I/AAAAAAAABCE/R0fcOUFapY4/s200/4.jpg" border="0" /><br /><br />จากแนวคิดที่เน้นวัสดุใกล้ตัว คุณมิตรชลจึงนำหลอดไฟที่ขายภายในร้านมาประกอบเข้ากับขวดแก้ว โดยอาศัยเทคนิคเกี่ยวกับไฟฟ้าเล็กน้อย จนออกมาเป็นชิ้นงาน “โคมไฟขวดแก้ว” ที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน ทั้งนี้ยังมีผลงานชิ้นต่อ ๆ มาในรูปแบบต่าง ๆ ให้เลือกอีกมากมายตามความเหมาะสมกับการใช้งาน<br /><br />โคมไฟขวดแก้วจากร้านกระรอกน้อย มีสินค้าพอจำแนกได้ 5 รูปแบบ คือ 1.โคมไฟขวดสำหรับตั้งโต๊ะ ราคาชุดละ 250 บาท 2.โคมไฟขวดสำหรับแขวน ราคาชุดละ 120-140 บาท 3.โคมไฟขวดช่อ 3 ขวด ราคาชุดละ 299-320 บาท 4.โคมไฟสปอร์ตไลท์ขาหนีบ ราคา 190 บาท และ 5.โคมไฟขวดใหญ่แขวน ราคา 290 บาท<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5420196149538786210" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 113px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/SzhnrjozC6I/AAAAAAAABB8/T3rEynUF11A/s200/3.jpg" border="0" /><br />นับเป็นสินค้าที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว เพราะนอกจากจะใช้วัสดุรีไซเคิลมาทำประโยชน์แล้ว ยังช่วยลดปริมาณขยะ และลดการเผาผลาญที่ทำให้เกิดมลภาวะแก่สิ่งแวดล้อมอีกด้วย สินค้าแฮนด์เมดที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศให้กับบ้าน ร้านค้า ร้านอาหาร ซุ้มนั่งเล่น มุมพักผ่อน ที่ใช้งานได้นานและทำความสะอาดง่าย<br /><br />นอกจากนี้ วัสดุที่นำมาใช้ยังเน้นความมีคุณภาพของอุปกรณ์ เช่น ฐานหลอดไฟอย่างมาตรฐาน ทนความร้อน สายไฟฉนวน 2 ชั้น ซึ่งรับประกันความปลอดภัย เพราะคุณมิตรชลทำการทดลองมาแล้ว โดยนำมาใช้งานด้วยตนเองและวางจำหน่ายมานานกว่า 2 ปี<br />กลุ่มลูกค้าของ “โคมไฟขวดแก้ว” นั้น คุณมิตรชลบอกว่า ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวทุกเพศ ทุกวัย มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีทั้งซื้อไปใช้งานเอง ซื้อไปขายต่อ และซื้อไปเป็นของขวัญ-ของฝาก ซึ่งทางร้านมีบริการทั้งราคาขายปลีกและขายส่ง พร้อมบริการจัดส่งทางไปรษณีย์ โดยคิดค่าจัดส่งตามน้ำหนักของสินค้า (กิโลกรัมแรก 20 บาท กิโลกรัมต่อมา 15 บาท) <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5420196147157976866" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/SzhnraxKxyI/AAAAAAAABB0/z7RPBJ_6Myo/s200/2.jpg" border="0" />สำหรับคนที่คิดอยากทำธุรกิจส่วนตัว คุณมิตรชลแนะนำว่า “การจะเริ่มทำธุรกิจใด ๆ ก็ตาม ต้องมองหาความถนัดของตัวเองให้เจอก่อน และต้องมีใจทุ่มเทให้กับงานนั้น ๆ แล้วเราจะทำงานนั้นอย่างมีความสุข และงานที่ออกมาก็จะมีคุณภาพ<br />ผมเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัว เพียงแต่ต้องค้นหาให้เจอ การทำธุรกิจย่อมมีการแข่งขัน อาจต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ ต้องเริ่มทำธุรกิจตามแนวคิดและความถนัดของตนเอง น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการก้าวเดินต่อไปอย่างราบรื่น” <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5420196334573479506" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/Szhn2U8gZlI/AAAAAAAABCU/DhVpqlC0oZ0/s200/6.jpg" border="0" /><br /><br />ผู้ที่สนใจสามารถแวะเวียนไปเยี่ยมชมสินค้า “โคมไฟขวดแก้ว” จากร้าน “กระรอกน้อย” ได้ที่ตลาดน้ำยามเย็นอัมพวา หรือสนใจสินค้าสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณมิตรชล ถิตตยานุรักษ์ โทร.081-986-7923<br /><br /><br />ผู้เขียน : อินทกานต์<br />ช่างภาพ : ป.วรัตม์<br />คอลัมน์ :<br />ขอบคุณที่มาของบทความ <a href="http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=90716154922">http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=90716154922</a></span></div></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-22256284295039431832009-08-07T10:23:00.000-07:002009-08-07T10:27:04.722-07:00ขายติ่มซำ สร้างรายได้<a href="http://3.bp.blogspot.com/_t0voXvklPoE/SeHs8FdL75I/AAAAAAAAAqU/azXIrWtq8JM/s320/800px-Dimsum-shanghai.JPG"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 198px; CURSOR: hand; HEIGHT: 151px" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_t0voXvklPoE/SeHs8FdL75I/AAAAAAAAAqU/azXIrWtq8JM/s320/800px-Dimsum-shanghai.JPG" border="0" /></a> <span style="font-family:arial;">ติ่มซำ<br />จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br />ติ่มซำ (จีน: 點心 แปลว่า ตามใจ, ตามสั่ง) เป็นอาหารว่างของจีน นิยมรับประทานกับน้ำชา เป็นคำเรียกรวมอาหารหลายอย่าง มักเป็นอาหารจำพวกปรุงด้วยการนึ่ง เช่น ขนมจีบ ซาลาเปา ฮะเก๋า เป็นต้น บรรจุในภาชนะขนาดเล็ก เช่น เข่งไม้ไผ่ หรือจานใบเล็ก ในร้านอาหารจีนบางร้านนึ่งติ่มซำไว้บนเตารอลูกค้าสั่ง บางร้านใส่รถเข็นหรือใส่ตะกร้าคล้องคอ ให้พนักงานนำไปเสนอลูกค้าในร้าน ขณะที่กำลังรออาหารอื่น<br /><br />workdeena ต้องบอกเพื่อนๆ จริงๆ ว่า ติ่มซำนั้น มันรวมไปด้วยอาหารหลายอย่างจริงๆ workdeena คงต้องขอเอามาเพียงบางอย่างเท่านั้น (เพราะไม่เช่นนั้นคงต้องเขียนกันทั้งคืนแน่ๆ) เช่น<br /><br />ฮะเก๋า<br />ส่วนผสม<br /><br />เนื้อกุ้ง 1/2 กิโล<br />มันหมูหั่น 2 ขีด<br />มันหมูเจียว 1/2 ขีด<br />ไข่ขาว 1 ฟอง<br />แป้งข้าวโพด 10 กรัม<br />เกลือ 0.5 กรัม<br />อาโรมาต 7.5 กรัม<br />น้ำตาล 10 กรัม<br />พริกไทย 5 กรัม<br />น้ำมันงา (นิดหน่อย)<br /><br />วิธีทำ<br />นำเนื้อกุ้ง ล้างให้สะอาด ปล่อยให้สะเด็ดน้ำผสมเกลือ แป้งข้าวโพดแล้วนำไปตีจนเนื้อกุ้งแตก ใส่ไข่ขาว ตีให้เข้ากัน แล้วนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ ตีให้เข้ากันอีกครั้งและใส่น้ำมันงา แช่ตู้เย็น เย็นจัด ประมาณ 1/2 ชั่วโมง<br /><br />ส่วนผสมแป้งห่อ<br /><br />แป้งตั่งหมิ่น 120 กรัม<br />แป้งมันฮ่องกง 60 กรัม<br /><br />วิธีทำแป้ง<br />ตั้งน้ำให้เดือด<br />นำแป้งใส่ภาชนะ แบ่งแป้งมันฮ่องกงเป็น 2 ส่วนเท่าๆกัน ใส่รวมกับแป้งตั่งหมิ่นไปครึ่งหนึ่ง<br />เมื่อน้ำเดือดแล้ว ใส่น้ำเดือดลงที่แป้ง (แป้งที่มีแป้งตั่งหมิ่นกับแป้งฮ่องกง) ใส่น้ำร้อนผสมแป้งให้สุกได้ที่ ไม่แฉะ<br />นำแป้งมันฮ่องกงที่เหลือมานวดให้เข้ากัน ใส่น้ำมันพืชลงผสมนิดหน่อย<br /><br />- เมื่อได้แป้งและไส้เรียบร้อยแล้ว ให้แบ่งแป้งที่จะปั้นและแผ่ให้เป็นแผ่นบาง ใส่ไส้ลงให้พอเหมาะ แล้วนำไปนึ่ง 5-7 นาทีเป็นอันเสร็จ<br /><br />ยังมีอาหารอีกมากมายที่สามารถนำมาทำ ติ่มซำขายได้ </span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;">ขอบคุณที่มา <a href="http://workdeena.blogspot.com/">http://workdeena.blogspot.com</a></span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-47393401992288743382009-06-21T09:30:00.001-07:002009-06-21T09:32:27.998-07:00รับสมัคร พนักงาน(ใจถึง)เงินเดือน 1,000,000 บ.<a href="http://1.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/Sj5gTMHMjvI/AAAAAAAAA3g/1Wm3mpMoBO4/s1600-h/6031_i.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5349819290147917554" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 471px; CURSOR: hand; HEIGHT: 365px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/Sj5gTMHMjvI/AAAAAAAAA3g/1Wm3mpMoBO4/s400/6031_i.jpg" border="0" /></a> คนเดิม อยู่ในท้องสิงโต ไปแย้วจ้า!!!! <br /><br />ที่มา<a href="http://www.rcthai.net/forum/showthread.php?t=269827">http://www.rcthai.net/forum/showthread.php?t=269827</a><br /><div></div>Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-82342444675541505162009-06-21T09:22:00.000-07:002009-06-21T09:24:54.614-07:00อาชีพ ที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม<a href="http://2.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/Sj5eucJgfsI/AAAAAAAAA3Y/xJlYSEsUJKM/s1600-h/medium_Pluie.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5349817559285792450" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 236px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/Sj5eucJgfsI/AAAAAAAAA3Y/xJlYSEsUJKM/s320/medium_Pluie.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">อาชีพต้องห้ามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติห้ามเอาไว้ ได้แก่<br /><br />๑.ค้าสุรา<br /><br />๒.ค้ามนุษย์<br /><br />๓.ค้ายาพิษ<br /><br />๔.ค้าอาวุธ<br /><br />๕.ค้าสัตว์มีชีวิต<br /><br /><br />.... ใครที่ค้าอาชีพพวกนี้ บาป ล้าน % แน่นอนครับ เพราะฉะนั้นหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดครับ ...<br /><br />ส่วนอาชีพอื่นๆ ยึดความสุจริตเป็นดีที่สุดครับ เอาธรรมะดำเนินชีวิต อะไรที่คิดว่าทำแล้วบาป<br /><br />ต้องรีบหลีกเลี่ยงนะครับ อย่าไปยุ่งกับอะไรก็ตามที่เป็น " สีดำ " เรามายุ่งกับ " สีใสขาว " ดีกว่าครับ<br /><br />เพศฆราวาสก็ทำแต่ " ทาน ศีล ภาวนา " ใครเป็นชายแท้มีอกาส " บวช " ได้ก็ต้องทำนะครับ<br /><br />ส่วนที่ไม่ใช่ชายแท้ก็เป็น " กัลยาณมิตร " ได้ครับ ฝึกปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิทุกวัน สู้ๆนะครับ </span></div><div><span style="font-family:Arial;font-size:130%;"></span> </div><div><span style="font-family:Arial;font-size:130%;">ทีมา <a href="http://board.palungjit.com/f6/อาชีพต้องห้าม-193125.html">http://board.palungjit.com/f6/อาชีพต้องห้าม-193125.html</a></span></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-59342973949995973612009-06-18T10:07:00.000-07:002009-06-18T10:09:51.298-07:00ไอเดียแปลก ไอศครีมทุเรียน 100%<a href="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/Sjp01uGFzHI/AAAAAAAAA3Q/OTFZKzJyEvs/s1600-h/99999.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5348715973711350898" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 238px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/Sjp01uGFzHI/AAAAAAAAA3Q/OTFZKzJyEvs/s320/99999.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;">ไอศกรีมทุเรียน 100% ทรงไข่ กลยุทธ์การตลาด สู้ภาวะผลไม้ล้น<br /><br />ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ<br /><br /><br />งานแสดงอาหารใหญ่ประจำปี "Thaifex-World of food ASIA 2009" ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก ร่วมกับหอการค้าไทย และโคโลญ เมสเซส ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี มีบริษัท ผู้ประกอบการ ด้านอุตสาหกรรมอาหารเข้าร่วมมากมาย<br /><br />บู๊ธแสดงสินค้าบู๊ธหนึ่งที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากจากผู้เข้าร่วมชมงาน ได้แก่ บู๊ธที่วางแสดงสินค้าหน้าตาคล้ายไข่เป็ด ไข่ไก่ แถมยังอยู่ในแผงพลาสติคที่ใส่ไข่เป็ด ไข่ไก่ซะด้วย แต่เมื่อเหลือบมองเข้าไปภายในบู๊ธ กลับมีผลไม้จากภาคตะวันออก ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ นำมาจัดแสดงด้วย<br /><br />ถามเจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ ได้ความว่า นี่ไม่ใช่ไข่เป็ด ไข่ไก่ แต่เป็นไอศกรีมทุเรียน มะพร้าว และมะม่วง อ้าว!...เป็นงั้นไป<br /><br />เมื่อได้ความดังนั้น จึงมีคำถามตามมาอีกมากมาย หนึ่งในคำถามนั้นคือ แล้วจะกินอย่างไร ต้องผ่าออกมาหรือเปล่า มีไอศกรีมอยู่ข้างในใช่หรือไม่<br /><br />เจ้าหน้าที่จึงตอบคำถามพร้อมสาธิตให้ดูว่า เพียงแต่ใช้ไม้จิ้มไปที่ไข่ เยื่อพลาสติคบางใสและลอกออกมา กลายเป็นไอศกรีมผลไม้ล้วนๆ และไอศกรีมที่ว่านี้เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีส่วนผสมอื่นใด มีแต่เนื้อผลไม้เท่านั้น<br /><br />เจ้าของไอเดีย และเจ้าของธุรกิจ คุณมรุต ชโลธร เผยว่า เขาและเครือญาติมีสวนผลไม้อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ ปกติขายทั้งในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ รวมทั้งผลิตผลไม้แปรรูปด้วย<br /><br />"การแปรรูปก็ทำแบบผลไม้แปรรูปทั่วไป บางส่วนก็แช่แข็ง เพราะในแต่ละปีมีผลไม้ออกมามาก ที่นี้ เราก็มองว่าเราจะครีเอท แวลู่ หรือจะสร้างสรรค์ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไร เพราะปัจจุบันนี้ เพียงแต่แอดแวลู่อย่างเดียวไม่พอแล้ว เราก็เริ่มมองไปที่ตัวสินค้าก่อน คำว่า ไอศกรีม เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ และเป็นของหวานที่ทุกคนชื่นชอบ ขณะเดียวกัน ก็มีด้านลบต่อสุขภาพ คือน้ำตาลมาก และมีส่วนผสมหลายอย่างที่เป็นสารสังเคราะห์ สรุปก็คือไม่ใช่สินค้าในกลุ่มเพื่อสุขภาพแน่นอน เราก็เลยมองว่า จะทำอย่างไรให้ผลไม้มาอยู่ในรูปของไอศกรีมที่เน้นความเป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์"<br /><br />และนี่คือที่มาของไอศกรีมผลไม้ ที่ทางผู้ประกอบการเน้นว่า เป็นธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยในช่วงต้น ทำออกมา 3 รสชาติ ได้แก่ ทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน<br /><br /><br /><br />ผลไม้ล้นตลาดทุกปี<br /><br />แค่แช่แข็ง ส่งออก คงไม่พอ<br /><br />"เราพัฒนาทั้ง 3 ตัวนี้มา ก็เป็นเนื้อผลไม้ล้วนๆ นั่นหมายความว่า เราได้ปฏิวัติวงการไอศกรีมให้เป็นธรรมชาติล้วน"<br /><br />คุณมรุต บอกอีกว่า ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ<br /><br />"เราอยู่เมืองจันท์ เราก็อยากจะช่วย แต่คงต้องหาอะไรที่ใหม่ที่สุด สิ่งที่เราได้แล้วคือ ตัวเนื้อไอศกรีมที่ใหม่ เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าจะมาใส่แพ็กเกจจิ้งเก่าๆ มันก็ไม่เป็นจุดขาย ถ้าคนที่จะทานไอศกรีม จะนึกแค่ อยู่ในโคน ถ้วย หรือตัดกิน หรือทำซอร์ฟเสิร์ฟ เรากลับมองว่าเอ๊ะ ทำอย่างอื่นได้มั้ย จากนั้นก็สร้างกิมมิกว่า ถ้ามันเป็นไข่ล่ะ จะเป็นอย่างไร"<br /><br />ดังนั้น ไอศกรีมผลไม้ รสทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน ในรูปไข่เป็ด ไข่ไก่ จึงออกมาด้วยประการฉะนี้ (ถ้าเป็นรสมะม่วงมีสีเหลือง จะคล้ายไข่ไก่มาก)<br /><br />คุณมรุต เล่าอีกว่า " สำหรับผู้บริโภคเองเดินผ่านมา ก็จะถามว่า อะไรน่ะ ไข่หรือเปล่า บางคนนึกไปถึงไข่ข้าวหรือไข่ที่ผ่านการผสมแล้ว บางคนเดินผ่านไปแล้ววกกลับมา เรียกเพื่อนมาดูด้วยว่าเป็นอะไร ยิ่งถ้าเราบอกว่าเป็นทุเรียน เป็นไอศกรีมทุเรียนร้อยเปอร์เซ็นต์ เค้าก็จะบอกว่า เอ้ย! จริงเหรอ...ไม่น่าเชื่อ...นี่คือกิมมิกทางการตลาดที่เราคิดขึ้นมา นั่นคือ เราจะสร้างประสบการณ์ใหม่ เป็นลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร ดังที่เราให้สโลแกนไว้ว่า More than just ice-cream With a unique eating experience"<br /><br />เมื่อจะรับประทานไอศกรีมที่ว่านี้ เพียงแต่เอาไม้จิ้มไปที่ตัวไข่ เยื่อพลาสติคใสก็จะหลุดออกโดยง่าย เจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ อธิบายว่า เป็นอีลาสติก รับเบอร์ (หรือยางที่มีความยืดหยุ่น) เมื่อพลาสติคใสหลุดออกไปแล้ว สิ่งที่ได้คือ ไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์<br /><br />"อีลาสติก รับเบอร์นี้ เป็นฟู้ดเกรด คือรับประกันว่าห่อหุ้มอาหารได้ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ผู้บริโภคกังวลว่าจะมีอันตรายมั้ย แต่เราส่งตรวจเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ระดับมาตรฐานสากลว่าปลอดภัย" คุณมรุต เผย และบอกอีกว่า<br /><br />"โปรเจ็คต์นี้เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ใช้เวลาปีกว่าๆ ในการวิจัยและพัฒนา ขณะนี้ ตอนนี้อยู่ในช่วงทำกลยุทธ์ทางการตลาด เรากำลังหาลู่ทางเพื่อส่งออก และดูว่าในประเทศเราจะกระจายสินค้าอย่างไร"<br /><br />แล้วเล็งไปที่ไหนบ้าง นั่นเป็นคำถามที่ถามออกไป ผู้ประกอบการรายนี้ ตอบว่า "จริงๆ ตอนนี้มีหลายทางเลือก เรายังไม่ได้สรุป ที่มาออกงาน Thaifex ครั้งนี้ แค่ต้องการดูผลตอบรับ ก็ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีมาก เรามีบู๊ธเล็กๆ แต่ทุกคนที่เดินผ่านไป ก็จะเดินย้อนกลับมาด้วยความสะดุดตา สะดุดใจ"<br /><br /><br /><br />ทำทุเรียนให้กลิ่นอ่อนลง<br /><br />จับกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น<br /><br />สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาตินั้น เขาว่า มีผู้ซื้อชาวต่างชาติติดต่อเข้ามาเยอะมาก จากหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ชื่นชอบทุเรียนเป็นหลัก เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน จีน สิงคโปร์ ส่วนชาติตะวันตก จะมีภาพติดลบกับทุเรียนเป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นได้จาก ป้ายห้ามนำทุเรียนเข้าไปในสถานที่ต่างๆ ทั้งรถเมล์ รถไฟ สนามบิน โรงแรม ฯลฯ เรียกว่า ในส่วนที่เป็นห้องปรับอากาศทั้งหมด เป็นส่วนต้องห้ามของผลไม้นาม "ทุเรียน"<br /><br />"พอจบโปรเจ็คต์นี้ เรากำลังจะมีโปรเจ็คต์หน้าคือ Soft aroma durian คือเราจะพัฒนาว่า จะทำให้กลิ่นทุเรียน อ่อนลงได้อย่างไร เพื่อต้องการเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ชอบในกลิ่น แต่อยากลองในรสชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรากำลังอยู่ในขั้นวิจัยและพัฒนา"<br /><br />ทุเรียนย่อมมีกลิ่นแรงเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น การพัฒนาในครั้งนี้จะเป็นการฝืนธรรมชาติหรือไม่นั้น คุณมรุตว่า<br /><br />"จริงๆ แล้ว ความต้องการนี้มาจากผู้บริโภค ถามว่าจะฝืนธรรมชาติมั้ย ผมขอเรียนอย่างนี้ว่า ปรากฏการณ์ของคนที่กินทุเรียน เรียกว่า ทุเรียนเอฟเฟ็กต์ คือจะรักหรือจะเกลียดทุเรียนมาจากการได้กลิ่นในครั้งแรก หมายความว่า คนที่ชอบ เมื่อทานปุ๊บแล้วชอบเลย อร่อย ส่วนที่ไม่ชอบคือ กินแล้วก็ไม่ชอบ ถึงขั้นเกลียด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทางด้านการตลาดนี่ชัดเจน ดังนั้น ทุเรียนจึงเป็นสินค้าตัวแรกที่เราเลือกขึ้นมาเป็นจุดขาย นั่นหมายความว่า คนที่ เป็นทุเรียนเลิฟเวอร์ หรือหลงรักรสชาติทุเรียน นี่จะกระโดดเข้าใส่เลย อย่างคนจีนที่ชอบมาก บางคนมาซื้อลูกเดียวไม่พอ"<br /><br />"ในทางกลับกัน เรามองว่า เราพัฒนาทุเรียนเป็นตัวแรก ด้วยความที่ได้สินค้าแปลกใหม่ ก็โอเค แต่พอไปเจอเรื่องกลิ่น ก็เป็นปัญหา จึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาเข้ามาช่วยในส่วนที่ช่วยได้ อย่างที่ ทำให้เป็นซอร์ฟอโรมา คำว่า ซอร์ฟอโรมา ไม่ได้หมายความว่า ทำให้ทุเรียนไม่มีกลิ่น แต่ทำให้กลิ่นเบาลง อ่อนลง"<br /><br />ปกติคนที่ชอบรับประทานทุเรียน จะมี 3 พวกใหญ่ๆ คือชอบทุเรียนห่ามๆ กรอบ กลุ่มนี้จะไม่ได้รสหวาน ไม่ได้กลิ่น พวกที่สอง คือพวกที่ชอบระดับกลางๆ จะได้ครบทั้งรสชาติและกลิ่น ส่วนพวกที่สาม คือชอบแบบสุก จะได้ทุเรียนรสหวานจัด กลิ่นฉุน ในระดับที่เรียกทุเรียนผลนั้นว่า "เป็นปลาร้าแล้วนะจ๊ะ"<br /><br />"จะมีอีกพวกหนึ่งคือ อยากจะลิ้มรสความหวาน แต่สู้กลิ่นไม่ไหว เราอยากให้เค้าได้ลิ้มรสสักนิดหนึ่ง ทุเรียนนี่เป็นคิงออฟฟรุตนะครับ ถ้าเป็นเราไปเจอราชาแห่งผลไม้ที่ประเทศไหน เราก็อยากลอง แต่ถ้าต้องบีบจมูกกิน มันก็ไม่ควรเป็นอย่างนั้น"<br /><br />การวิจัยและพัฒนาในครั้งนี้ คุณมรุต เผยว่า ได้ร่วมพัฒนาเครื่องต้นแบบ กับบริษัทเล็กๆ จากประเทศญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นเอสเอ็มอีเหมือนกัน<br /><br />ดูเหมือนว่า ในส่วนตัวผู้ประกอบการเอง ออกจะได้เปรียบในเรื่องการประสานเทคโนโลยีกับประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากประเทศญี่ปุ่น<br /><br />"ผมไม่ได้เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร แต่มาทำตรงนี้ บางคนถามว่า ไม่ได้เรียนมา แล้วทำได้ด้วยเหรอ ผมตอบว่า ที่ผมทำได้เพราะไม่ได้เรียนมา เพราะผมคิดว่า การที่ผมเรียนมาทางวิศวกรรม ไม่มีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร ทำให้ผมกล้าคิดนอกกรอบ คือถ้าจบทางด้านอาหารมาโดยตรง อาจจะมองแค่ในกรอบ การมองนอกกรอบ เราอาจจะต้องถอยออกมาแล้วมองเข้าไป ฉะนั้น ผมคือคนนอก ไม่ได้อยู่ในวงการ เป็นแค่ลูกชาวสวนผลไม้ที่ต้องการกลับไปพัฒนาให้กับชาวสวนเมืองจันท์"<br /><br />สำหรับไอศกรีมผลไม้ ทั้ง 3 รสชาติในรูปไข่ คุณมรุตวางราคาขายส่งหน้าโรงงานไว้ที่ ลูกละ 15 บาท แต่ถ้าขายปลีกทั่วไป น่าจะอยู่ที่ลูกละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล<br /><br />"ตัวไอศกรีมผลไม้รูปไข่ ใช้เวลาวิจัยและพัฒนา ปีเศษๆ ตอนนี้อยู่ในช่วงเช็คผลตอบรับ ซึ่งก็มีผู้ประกอบการหลายเจ้าที่ต้องการเป็นตัวแทนจำหน่ายซึ่งเราอยู่ในระหว่างการพิจารณา"<br /><br />และนี่เป็นอีกหนึ่งการให้ไอเดีย สร้างคุณค่าให้กับสินค้า ถ้าบอกว่าเป็นไอศกรีมรสทุเรียน คงจะดูเป็นสินค้าพื้นๆ ธรรมดาๆ ที่ไม่น่าตื่นเต้นอะไร แม้กระทั่งจะบอกว่า เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็เชื่อว่ามีผู้ประกอบการรายอื่นทำออกมาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในบรรจุภัณฑ์รูปทรงไข่ แถมยังวางไข่ ในรังไข่พลาสติคที่ดูยังไงก็เป็นไข่ แต่ไม่ใช่ไข่<br /><br />การสร้างความสนใจ ความประทับใจเมื่อแรกเห็นนี้เอง ที่ทำให้ผู้บริโภคหันมามอง หันมาพิจารณา กระทั่งต้องการชิม และนำไปสู่การค้าขายต่อไป<br /><br />มีสินค้าธรรมดาๆ พื้นๆ อีกมากมาย ที่รอให้ผู้สร้างสรรค์งานเข้าไปพัฒนา เข้าไปจับมาแต่งตัวใหม่ เพื่อให้ต่อสู้ในทางการตลาดได้มากขึ้น และไม่แน่ว่า ผู้สร้างสรรค์งานรายต่อไป อาจเป็นคุณ!!!<br /><br />สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท อินโนเวทีฟ ฟู้ด แพ็คเกจจิ้ง จำกัด เลขที่ 65 ถนนเพชรเกษม วัดท่าพระ บางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ 10600 โทร. (02) 467-4214-5<br /><br /><br /><br />การลงทุนขายไอศกรีมผลไม้รูปไข่<br /><br />1. รูปแบบซื้อมา ขายไป ราคาขายส่งหน้าโรงงาน ชิ้นละ 15 บาท สามารถนำไปขายได้ราคาชิ้นละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล<br /><br />2. นำไปขายเสริมในร้านอาหาร ซึ่งอาจจะมีตู้แช่อยู่แล้ว<br /><br />3. ซื้อตู้แช่เพื่อขายไอศกรีม ราคาตู้แช่ ประมาณ 20,000 บาท<br /><br />4. ลงทุนกับทางบริษัท 20,000 บาท สิ่งที่จะได้คือ ตู้แช่ และคีออส โดยใช้พื้นที่ขายประมาณ 2 ตารางเมตร (ทางคุณมรุตให้ข้อมูลว่า จริงๆ แล้ว ตัวเลขการลงทุนลักษณะนี้ประมาณ 30,000 บาท แต่ทางบริษัทต้องการช่วยผู้ประกอบการ 10,000 บาท จึงตั้งตัวเลขการลงทุนไว้ที่ 20,000 บาท)<br /><br />5. สั่งซื้อสินค้ากับทางบริษัท ตั้งแต่ 1,000-1,500 บาท ทางบริษัทจัดส่งให้ฟรี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล<br /><br />6. ทำเลที่น่าสนใจมากที่สุด ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นประจำ ได้แก่ พัทยา สมุย ภูเก็ต กระบี่ ตรัง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ฯลฯ และทำเลที่น่าสนใจรองลงไปได้แก่ ใกล้สถาบันการศึกษา รวมทั้งแหล่งชุมชน<br /></span></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-23180382379387902302009-06-18T10:03:00.000-07:002009-06-18T10:05:58.963-07:00ก้าวแรกเศรษฐี-ขนมครก<a href="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/Sjpz2TxJDpI/AAAAAAAAA3I/5OVYjuYQ93M/s1600-h/65464.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5348714884312403602" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 269px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_Nvw-_lA1pS0/Sjpz2TxJDpI/AAAAAAAAA3I/5OVYjuYQ93M/s320/65464.jpg" border="0" /></a><span style="font-family:arial;">ดวงกมล โลหศรีสกุล<br /><br />ขนมครกชาววัง ทำกินเพลิน ทำขายรวย<br /><br />"ลงทุนครั้งหนึ่ง ประมาณ 300 บาท ซื้อแป้งสำเร็จรูป 1 กิโลกรัม มาผสมกับ น้ำกะทิ น้ำสะอาด น้ำปูนใส น้ำตาลโตนด เกลือ จะได้แป้งสำหรับหยอดขนมครก 3 กิโลกรัม แป้งจำนวนนี้สามารถหยอดขนมครก ขนาด 15 เบ้า ได้ 24 กระทะ หากแคะไม่เสีย จะได้ขนมครก ทั้งหมด 360 ชิ้น จำหน่ายชิ้นละ 2 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 720 บาท หลังหักค่าใช้จ่าย ได้กำไรเกินครึ่ง"<br /><br /><br /><br />ย่านชุมชนตอนเช้าตรู่ หรือช่วงเย็นที่เป็นเวลาเปิดของตลาดนัด มักมีหนึ่งเมนูขนมไทยวางขาย นั่นคือ "ขนมครก" ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า หัวกะทิ แล้วโรยด้วยหน้าต่างๆ ซึ่งรสชาติออกหวาน เค็ม มัน จึงไม่น่าแปลกใจ ที่หลายคนนิยมรับประทาน<br /><br />ก้าวแรกเศรษฐีฉบับนี้ นำเสนอข้อมูล ช่องทางการลงทุน และสถานที่จำหน่ายอุปกรณ์ขนมครก ขนมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขนมไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมไม่ได้มีพัฒนาการเหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะตามหลักขนมไทย ใช้เพียงข้าวเจ้าไปโม่ให้เป็นแป้ง เจือกับน้ำตาล และมะพร้าวเท่านั้น แต่ปัจจุบัน ถูกนำมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย สร้างรสชาติให้โดดเด่นไม่ซ้ำใคร<br /><br /><br />ขนมครกชาววัง<br /><br />จุดเด่น ชิ้นใหญ่ กรอบอร่อย<br /><br />อาจารย์จินดามาศ ทินกร วิทยากรศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน ผู้เชี่ยวชาญขนมครก กล่าวว่า จำหน่ายขนมเมนูนี้ มากว่า 40 ปี สูตรที่ใช้เป็นสูตรโบราณตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่ปัจจุบัน เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย นำส่วนผสมมาดัดแปลงเล็กน้อย ทว่ารสชาติ และรูปลักษณ์ยังคงเดิม "ขนมครกเมื่อก่อน สูตรดั้งเดิมนำข้าวสาร มาผสมข้าวสุกค้างคืนแล้วโม่ เพื่อให้มีความนิ่ม แต่ข้อเสียคือ ทำให้เสียไว ปัจจุบัน สะดวกสบาย เนื่องจากมีแป้งสำเร็จรูปจำหน่าย ช่วยลดความยากลงไปได้พอสมควร ส่วนหน้าที่ใช้โรยก็มีความหลากหลายมากขึ้น"<br /><br />วัตถุดิบสำคัญของขนมครก ที่วิทยากรพูดถึงคือ แป้ง มีด้วยกัน 2 รูปแบบคือ แป้งสด และแป้งแห้ง ถามผู้เชี่ยวชาญได้ใจความว่า แป้งสดคือ แป้งที่ต้องทำเองไม่มีวางจำหน่าย อันมีส่วนผสมของข้าวสารเก่า ข้าวสวยกลางปีสุกค้างคืน ถั่วทอง หรือถั่วเขียวเลาะเปลือก นำมาโม่ด้วยเครื่อง วิธีการ นำข้าวสารเก่าแช่น้ำค้างคืน ไปโม่พร้อมข้าวสุกและถั่วทอง เหตุที่ไม่ใช้ข้าวใหม่ เพราะแป้งจะเหนียว เวลาแคะออกจากเบ้าจะไม่ค่อยล่อน ส่วนแป้งแห้งคือ แป้งสำเร็จรูปที่ขายทั่วไปตามท้องตลาด โดยความแตกต่างของแป้งทั้งสองนี้คือ แป้งสด เนื้อขนมจะละเอียดและหอม แต่แป้งแห้งจะให้ความสะดวกมากกว่า<br /><br />นอกจากแป้งจะเป็นส่วนประกอบสำคัญของขนมครก ยังมีกะทิที่ใช้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกซื้อมะพร้าวสำหรับทำขนมมาขูด แล้วคั้นเพื่อให้ได้น้ำกะทิที่สดใหม่ จากนั้นผสมเกลือป่นเล็กน้อย การทำเช่นนี้จะทำให้ได้กะทิที่หอม นอกจากนั้น ยังมีความเข้มข้นมากกว่ากะทิกล่อง แต่หากเลี่ยงไม่ได้ แนะนำให้ใช้ยี่ห้ออร่อยดี เนื่องจากกลิ่นจะหอมแบบธรรมชาติ<br /><br />อีกสิ่งที่จะช่วยเพิ่มรสชาติ ให้ขนมครกกรอบอร่อย นั่นคือ ขนาด วิทยากร เผยว่า ควรเลือกใช้เบ้าขนมครกที่มีขนาด 15 เบ้า เฉลี่ยหลุมละประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร เวลาเทแป้ง ให้เท 3/4 ของเบ้า จากนั้นใช้กระบวยหน้ากว้าง 5 เซนติเมตร กดให้แป้งล้นขึ้นมา ประมาณ 1 เซนติเมตร เติมหางกะทิ ตามด้วยหัวกะทิ บริเวณที่ล้นเรียกว่าขอบ ซึ่งจะมีความกรอบ และแลดูชิ้นใหญ่ ลักษณะนี้รวมเรียกขนมครกชาววัง "เบ้าขนมครกที่วางขายทั่วไป มีตั้งแต่ขนาด 15 เบ้า 22 เบ้า และ 28 เบ้า อยากให้เลือกใช้ขนาด 15 เบ้า เนื่องจากชิ้นใหญ่ทำออกมาเฉลี่ยชิ้นละประมาณ 7 เซนติเมตร ซึ่งผู้บริโภคจะรู้สึกคุ้มค่า ต่างจากขนาดเล็กประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เซนติเมตร"<br /><br />ลำดับต่อมา ด้านรสชาติ อาจารย์จินดามาศ เผยว่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ไม่นิยมรับประทานหวาน ดังนั้น อยากให้ผู้ประกอบการ ทำรสชาติแบบกลมกล่อม ไม่หวานจัด หรือเลี่ยนเกินไป ส่วนหน้าที่โรยยอดนิยม ได้แก่ ต้นหอม ผักชี ข้าวโพด เผือก ลูกตาล ถ้ายังไงสามารถนำไปดัดแปลงเพิ่มเติมได้<br /><br /><br /><br />ลงทุน 3,000 บาท<br /><br />ขายดีทุกวัน ไม่มีวันหยุด<br /><br />ถึงตรงนี้ ถามผู้เชี่ยวชาญ ถึงจำนวนเงินลงทุน ได้ความว่า เงินที่ใช้ลงทุนขายขนมครกต่ำสุด เฉลี่ยใช้เงินประมาณ 3,000 บาท แบ่งเป็นค่าอุปกรณ์ 2,500 บาท ได้แก่ เตาไฟ 2 หัว เป็นเตาเหล็ก 1,500 บาท เบ้าขนมครก 1 ใบ ราคา 600 บาท กาหยอดขนมครก 60-100 บาท เตาแก๊ส 300 บาท ค่าวัตถุดิบ อาทิ แป้ง กะทิ น้ำตาลโตนด เกลือ จานกระดาษไว้ใส่ขนม ทั้งสิ้น 300 บาท แถมเหลือเป็นเงินหมุนเวียนจำนวนหนึ่ง "3,000 บาท หลักๆ ได้อุปกรณ์การขายและวัตถุดิบจำนวนหนึ่ง แต่จะไม่รวมอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ อาทิ กะละมังผสมแป้ง ทัพพี ช้อน ของจุกจิกในครัว เนื่องจากแต่ละบ้านมักมีอยู่แล้ว"<br /><br />เมื่อทราบว่าต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ ต่อมาถึงรูปแบบการขาย วิทยากร ระบุว่า สามารถวางจำหน่ายได้ทั้งรถเข็น และตั้งโต๊ะ ขึ้นอยู่กับเงินทุน ถ้าเป็นรถเข็น คันละประมาณ 5,000 บาท ถ้าเลือกตั้งโต๊ะ สามารถเลือกวัสดุได้ตามกำลัง เลือกขนาดโต๊ะให้กว้าง 3 ฟุต ขึ้นไป ส่วนทำเลที่แนะนำ ยังคงอยู่ย่านตลาดสด ตลาดนัด งานวัด งานประจำปี ชุมชน หอพัก บริษัทห้างร้าน ป้ายรถประจำทาง หน้าร้านสะดวกซื้อ โรงพยาบาล หมู่บ้านจัดสรร สถานศึกษา หรือหากใครมีร้านอาหารอยู่แล้ว นำไปเสริมเป็นของหวานได้ ส่วนวัน และช่วงเวลาขาย ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ขายได้ทุกวัน ตั้งแต่เช้า ไปจนค่ำมืด<br /><br />คล้ายว่าขั้นตอนขนมครกไม่มากมายนัก ทว่าสิ่งใดที่ยากที่สุด อาจารย์จินดามาศ เผย อยู่ที่เทคนิคการหยอด บรรดามือใหม่ ควรใช้ช้อนหรือกระบวย ไม่ควรใช้กาหยอด เนื่องจากน้ำหนักมือยังไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้กะปริมาณไม่ถูก อีกทั้งเวลาแคะ เพื่อไม่ให้เสียของ ต้องใจเย็นรอจนกว่าขนมจะสุก "ลงทุนครั้งหนึ่ง ประมาณ 300 บาท ซื้อแป้งสำเร็จรูป 1 กิโลกรัม มาผสมกับ น้ำกะทิ น้ำสะอาด น้ำปูนใส น้ำตาลโตนด เกลือ จะได้แป้งสำหรับหยอดขนมครก 3 กิโลกรัม แป้งจำนวนนี้สามารถหยอดขนมครก ขนาด 15 เบ้า ได้ 24 กระทะ หากแคะไม่เสีย จะได้ขนมครก ทั้งหมด 360 ชิ้น จำหน่ายชิ้นละ 2 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 720 บาท หลังหักค่าใช้จ่าย ได้กำไรเกินครึ่ง"<br /><br />นอกจากขนมครกจะลงทุนต่ำ ขายได้กำไรดีแล้ว ข้อได้เปรียบอีกอย่างคือ วัตถุดิบหาซื้อได้ง่าย ส่วนผสมทุกอย่าง ซื้อได้ที่ตลาดสด ร้านขายของชำ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าทั่วไป ไม่เหมือนกับอาชีพบางชนิด ที่ต้องมีร้านประจำ เช่น ขายอาหาร หรือผลไม้<br /><br />อีกเทคนิคการขายที่อาจารย์จินดามาศ แนะนำ คือรสชาติต้องคงที่ วัตถุดิบสดใหม่ สถานที่จำหน่ายสะอาด มีหลากหลายไส้ให้เลือกรับประทาน พูดจาไพเราะกับลูกค้า ตั้งใจขาย ไม่หยุดบ่อย จะทำให้ได้ลูกค้าประจำ จากนั้นจะเกิดการบอกปากต่อปาก<br /><br />ก่อนยุติเนื้อหา อาจารย์จินดามาศนำสูตรการทำขนมครกชาววัง มาให้ทดลองทำ และย้ำว่า โอกาสในการขายขนมชนิดนี้ ยังมีพื้นที่อีกมาก เนื่องจากปัจจุบัน คนยังนิยมบริโภคขนมชนิดนี้อยู่ สนใจสอบถามเนื้อหา หรือเข้ารับการอบรม ติดต่อ ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน โทรศัพท์ (02) 589-2222, (02) 589-0492 และ (02) 954-4999 ต่อ 2100, 2101, 2102 และ 2103<br /><br /><br />วัตถุดิบตัวแป้งขนมครก<br /><br />ส่วนผสม<br /><br />1. แป้งข้าวเจ้าอย่างดี ตราดอกไม้ 1 กิโลกรัม<br /><br />2. น้ำกะทิ 4 ถ้วยตวง<br /><br />3. น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง<br /><br />4. น้ำปูนใส 2 ถ้วยตวง<br /><br />5. น้ำตาลโตนด 1 ช้อนโต๊ะ<br /><br />6. เกลือ 1 ช้อนชา<br /><br />7. โรยหน้าตามใจชอบ อาทิ ต้มหอม ข้าวโพด เผือก ฯลฯ<br /><br />วิธีผสมแป้ง<br /><br />ค่อยๆ เทแป้งข้าวเจ้า ลงผสมกับน้ำสะอาด น้ำปูนใส คนจนกว่าจะเข้ากัน จากนั้นเติมกะทิ น้ำตาลโตนด เกลือป่น แล้วคนให้เข้ากันดี<br /><br /><br /><br />กะทิหน้าขนมครก<br /><br />ส่วนผสม<br /><br />1. หัวกะทิ 6 ถ้วยตวง<br /><br />2. หางกะทิ 2 ถ้วยตวง<br /><br />3. น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย<br /><br />4. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ<br /><br />วิธีทำกะทิสำหรับหยอดหน้า<br /><br />ผสม หัวกะทิ หางกะทิ เกลือป่น น้ำตาลทราย เข้าด้วยกัน นำไปตั้งไฟ คนให้น้ำตาลและเกลือละลาย จากนั้นยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น ใส่ภาชนะเตรียมหยอดหน้าขนมครก<br /><br />วิธีทำขนมครก<br /><br />1. ตั้งกระทะขนมครก ใช้ไฟอ่อนปานกลาง รอจนเตาร้อนเต็มที่<br /><br />2. นำลูกประคบ ทำด้วยกากมะพร้าวห่อด้วยผ้าขาว แตะน้ำมันพืช เช็ดที่เบ้าขนมครกให้ครบทุกเบ้า<br /><br />3. ตักหรือใช้กาหยอดแป้งขนมครก ลงในเบ้าปริมาณ 3/4 นำกระบวยกดให้ล้นขึ้นมาด้านข้าง ประมาณ 1 เซนติเมตร ปิดฝาทิ้งไว้ราว 2-3 นาที<br /><br />4. หยอดหางกะทิ ตามด้วยหัวกะทิ ประมาณ 1 ช้อนชา ต่อ 1 เบ้า โรยหน้าตามใจชอบ ปิดฝาทิ้งไว้ รอจนขอบแป้งเหลือง ใช้ช้อนแซะขึ้นใส่ภาชนะ<br /><br />วิธีทำหน้าไข่เค็ม นำไข่เค็มต้มสุก มาแกะเปลือกออก นำไปขูดให้เป็นเส้นฝอยๆ ใช้โรยหน้าขนมครก เพิ่มความอร่อยด้วยพริกชี้ฟ้าหั่นฝอย และผักชี (เฉพาะใบ)<br /><br />วิธีทำหน้ากุ้ง ใช้กุ้งสด มะพร้าวทึนทึก ในปริมาณที่เท่ากัน สับให้ละเอียด นำไปรวน ใส่พริกไทย เกลือป่น ชิมให้ออกรสเค็มนิดๆ โรยบนหน้าขนมครก แต่งด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย พริกเหลืองซอย ใบผักชีเด็ดเป็นใบๆ<br /><br /><br /><br />อุปกรณ์สำหรับทำขนมครก<br /><br />1. เครื่องโม่แป้ง (ในกรณีทำแป้งสด)<br /><br />2. เบ้าขนมครก<br /><br />3. กาสำหรับหยอดแป้ง<br /><br />4. ลูกประคบ (ทำด้วยกากมะพร้าวห่อด้วยผ้าขาว)<br /><br />5. ช้อนสำหรับแคะขนมครก<br /><br /><br /><br />เคล็ดลับความอร่อย<br /><br />1. น้ำมันพืชที่ใช้เช็ดเบ้าขนมครก ควรเป็นน้ำมันมะพร้าว จะทำให้ขนมครกมีกลิ่นหอม ชวนให้น่ารับประทาน นอกจากนั้น ยังทำให้ผิวขนมครกมีสีสวย<br /><br />2. ภาชนะใส่ขนมครก ไม่ควรใช้โฟม เนื่องจากมีสารเมลามีน ก่อให้เกิดมะเร็ง ควรเป็นจานกระดาษ หรือรองด้วยใบตอง หรือหากจำเป็นต้องเรียงซ้อนกัน ก็ควรมีใบตองวางทับไว้ด้วย เพื่อไม่ให้ขนมครกติดกัน<br /><br />3. เบ้าขนมครก มีทั้งที่ผลิตจากเหล็ก และสเตนเลส ขึ้นอยู่กับเงินลงทุน ส่งผลด้านความสวยงาม แต่ไม่ส่งผลต่อรสชาติแต่อย่างใด<br /><br /><br /><br />ร้านจำหน่ายวัตถุดิบทำขนมครก<br /><br />1. ตลาดสดใกล้บ้าน/ห้างสรรพสินค้า<br /><br />2. ร้านแสงอรุณ ตั้งอยู่บริเวณหน้าตลาดจังหวัดนนทบุรี จำหน่ายวัตถุดิบทำขนมไทยทุกประเภท ภาชนะบรรจุ และอุปกรณ์จำเป็นทั้งหมดสำหรับทำขนม โทรศัพท์ (02) 525-0504<br /><br />3. ร้านตั้งจิบเซ้ง ที่อยู่ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 222-1721, (02) 221-3809, (02) 221-2280, (02) 221-1693<br /><br /><br /><br />ร้านขายกล่องบรรจุและเบ้าขนมครก<br /><br />1. ร้านตั้งจิบเซ้ง ที่อยู่ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 222-1721<br /><br />2. ร้านขจรศักดิ์ เครื่องครัว ที่อยู่ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 221-0572 โทรสาร (02) 221-7796<br /><br />3. ห้างแม็คโคร ทุกสาขา<br /><br />4. ร้านกิตติเครื่องครัว ที่อยู่ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 271-0634<br /><br />5. บริษัท วีรสุ รีเทล จำกัด สาขาถนนวิทยุ ที่อยู่ 83/7 ถนนวิทยุ ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 254-8100-8 โทรสาร (02) 254-8109 เปิดทุกวันเวลา 09.00-19.00 น.<br /><br />6. บริษัท วีรสุ จำกัด สาขาเยาวราช ที่อยู่ 436 ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 226-5365-7, (02) 224-2240, (02) 224-2179 โทรสาร (02) 226-5364 เปิดทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น. ยกเว้นวันอาทิตย์<br /><br />7. บริษัท วีรสุ จำกัด สาขาลาดพร้าว ที่อยู่ 3456 /1 ถนนลาดพร้าว บางกะปิ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 375-6284-7, (02) 734-1040-5 โทรสาร (02) 734-1049 เปิดทุกวัน เวลา 09.00-19.00 น.<br /><br />8. บริษัท วีรสุ รีเทล จำกัด สาขาแจ้งวัฒนะ ที่อยู่ 104/19-21 ถนนแจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 982-4435-7 โทรสาร (02) 982-4439 เปิดทุกวัน เวลา 10.00-19.00 น.<br /><br />9. วีรสุคอร์เนอร์ สาขาเสรีเซ็นเตอร์ ถนนศรีนครินทร์ โทรศัพท์ (02) 746-0171 เปิดวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 11.00-21.00 น. วันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 10.00-21.00 น.<br /><br />10. วีรสุคอร์เนอร์ The Mall งามวงศ์วาน ชั้น 4 บริเวณแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ (02) 550-0609 เปิดวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 10.30-22.00 น. วันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 10.00-22.00 น.<br /><br />11. วีรสุคอร์เนอร์ ห้างอิเซตัน ชั้น 5 บริเวณหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต โทรศัพท์ (02) 255-9816 เปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.00 น.<br /><br />12. วีรสุคอร์เนอร์ The Mall บางกะปิ ชั้น 3 บริเวณแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ (02) 363-3076 เปิดวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 10.30-22.00 น. วันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 10.00-22.00 น.<br /><br />13. วีรสุคอร์เนอร์ The Mall ท่าพระ ชั้น 4 บริเวณแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ (02) 477-7200 เปิดวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 10.30-22.00 น. วันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 10.00-22.00 น.<br /><br />14. ห้างแม็คโคร<br /><br />15. ร้านดี-เบสท์ โกรเซอรี่ จำกัด เลขที่ 148/6-7 หมู่ 2 ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ (02) 960-6924-5 โทรสาร (02) 960-6934<br /><br />16. ร้านกล้วยน้ำไทการช่าง 1 ที่อยู่ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 617-6310-2 โทรสาร (02) 617-7785<br /><br />17. ร้านกล้วยน้ำไทการช่าง 1 ร้านสาขาคลองเตย กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 381-7956<br /><br />18. ร้านกล้วยน้ำไทการช่าง สาขาพระโขนง กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 249-4732-35 โทรสาร (02) 249-5620<br /><br />19. บริษัท ดี เค เบเกอรี่มาร์ทเทรดดิ้ง จำกัด ที่อยู่ แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 881-0619-21 โทรสาร (02) 881-0622<br /><br />20. ร้านกล้วยน้ำไทการช่าง 2 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 02) 391-2093<br /><br />21. บริษัท คิงส์แมชชีนส์กล้วยน้ำไทการช่าง จำกัด ที่อยู่ แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 249-4732, (02) 249-5235, (02) 249-5620, (02) 671-6844-5 โทรสาร (02) 672-8700<br /><br />22. บริษัท จักรวาล เซ็นเตอร์ จำกัด ที่อยู่ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ (02) 526-8115, (02) 968-3041-8 โทรสาร (02) 526-7918, (02) 968-4989<br /><br />23. ร้านจิรวัฒน์ อุปกรณ์เบเกอรี่ ที่อยู่ แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 455-9453, (02) 801-0204<br /><br />24.บริษัท ไทยวาชิโนอิเล็คตริค จำกัด 4264 หมู่ 11 ซอยแบริ่ง ถนนสุขุมวิท 107 อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ โทรศัพท์ (02) 758-4819 (084) 071-4748<br /></span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-44762246197228384002009-06-18T09:57:00.000-07:002009-06-18T10:02:18.226-07:00เหยือกทองคำ แท้ๆ<a href="http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2009/06/ecb04180652p1.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 216px" alt="" src="http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2009/06/ecb04180652p1.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><span style="font-family:arial;">นางแบบสาวรายหนึ่งกำลังรินเบียร์ใส่เหยือกเบียร์ทองคำบริสุทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นสินค้าประจำฤดูร้อนนี้ของร้านเครื่องประดับทานากะ คิคินโซกุ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 17 มิถุนายน โดยเหยือกเบียร์ทำจากทองคำนี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เซนติเมตร สูง 13.5 เซนติเมตร หนัก 850 กรัม จำหน่ายในราคา 50,000 ดอลลาร์ (ราว 1,700,000 บาท) (เอเอฟพี)<br /></span></div><br /><br /><br /><p></p><br /><br /><p></p><strong><span style="font-size:130%;"> ที่มา</span></strong><br /><p align="center"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 162px; CURSOR: hand; HEIGHT: 60px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://www.matichon.co.th/matichon/images/mtc1.jpg" border="0" /></p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-5909939423831937122009-06-18T09:54:00.001-07:002009-06-18T09:54:58.605-07:00ร้านก๋วยเตี๋ยว ของคุณเจ๊เหนอ<a href="http://1.bp.blogspot.com/_t0voXvklPoE/SbHB1drIbfI/AAAAAAAAAX0/7JmetF2kbnA/s200/DSC02094.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/_t0voXvklPoE/SbHB1drIbfI/AAAAAAAAAX0/7JmetF2kbnA/s200/DSC02094.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;">workdeena จะพามารู้จักกับการทำร้านก๋วยเตี๋ยว เพราะอาชีพอิสระอาชีพนี้เป็นอาชีพที่เกิดขึ้นมากมายในประเทศไทย แล้วทุกคนก็นิยมทาน และนิยมทำ เป็นอาชีพอิสระกันอีกด้วย และร้านก๋วยเตี๋ยวที่ทาง workdeena จะให้เพื่อนๆ ได้รู้จัก คื่อ "ร้านก๋วยเตี๋ยวแม่ตูน" เจ้าของร้านชื่อ "เจ๊เหนอ"(ตูน เป็นชื่อของลูกเจ๊)<br /><br />workdeena:- สวัสดี... เจ๊เหนอ วันนี้คนเต็มร้านเลยนะ เอาก๋วยเตี๋ยวไก่ เล็กแห้ ไม่งอก พิเศษลูกชิ้น น้ำซุป 1 ถ้วย นะจ๊ะ แล้วเดี๋ยวขอสัมภาษณ์ เจ๊เหนอนิดนึงนะจ๊ะ จะให้เจ๊เหนอเป็นดาราหน้าเว็บเสียหน่อย ได้ไหม<br /><br /><br />เจ๊เหนอ:- ได้เลยๆ... แต่เจ๊ขอทำให้ลูกค้าก่อนนะ ทำไมไม่บอกไวก่อนว่าจะขอถ่ายรูปด้วย วันนี้เจ๊ เลยแต่ตัวแต่หน้าไม่สวยเลย<br /><br />workdeena:- ขอบคุณมาก เจ๊เหนอ ทาง workdeena อยากจะถามเจ๊เหนอว่า เจ๊เหนอทำอาชีพ ขายก๋วยเตี๋ยวมานานหรือยัง<br /><br /><br />เจ๊เหนอ:- จริงๆ แล้วเจ๊ ไม่ได้ทำอาชีพนี้มาก่อน อาชีพจริงๆ ของเจ๊ก็คือ ทำสวนผัก และผักที่ใช้ทำก๋วยเตี๋ยวทั้งหมดก็เอามาจากสวนเจ๊ทั้งนั้น ที่ว่าทำไมเจ๊ถึงมาขายก๋วยเตี๋ยวตอนกลางคืน เพราะเมื่อก่อนตรงร้านนี้มีคนอื่นเขาขายอยู่ก่อนแล้ว แต่เขามีความจำเป็นที่จะต้องกลับบ้านเขาที่ต่างจังหวัด แล้วเขาไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกหรือเปล่า เขาเลยขายต่อให้ เจ๊เห็นว่ากลางคืนว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยเอาทำต่อจากเขา แต่ตอนนั้นก็มีแต่ก๋วยเตี๋ยวเนื้ออย่างเดียวนะ เจ๊ก็เลยมาเพิ่ม เป็น ก๋วยเตี๋ยวไก่ ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก ก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำตก แล้วก็ยังมีอีกหลายอย่าง จะได้มีทางเลือกให้กับลูกค้า เพราะคนเรากินไม่เหมือนกัน<br /><br />workdeena:- แล้วต่อวันเจ๊เหนอ ต้องลงทุนเท่าไร และได้กำไรเท่าไร ไม่ทราบว่าเจ๊พอจะบอกให้เป็นความรู้ได้ไหม เพื่อว่าถ้าใครได้เข้ามาอ่าน แล้วคิดอยากทำก๋วยเตี๋ยวขายบ้างจะได้รู้ว่าควรเตียมต้นทุนเท่าไร<br /><br /><br />เจ๊เหนอ:- บอกได้ๆ ไม่รู้จะปิดบังกันไปทำไม เจ๊ใช้ต้นทุนต่อวันประมาณ 2,000 - 3,000 บาท เมื่อก่อนใช้ไม่ถึงหรอก แต่เดี๋ยวนี้ลูกค้ามากขึ้นก็ต้องใช้ทุนเพิ่มขึ้น กำไรต่อวันก็ประมาณ 1,000 - 1,500 บาท กำไรก็เหมือนกันเมื่อก่อนได้ไม่มากเท่านี้ ถ้าหนูๆ คนไหนได้เข้ามาอ่านนะ หนูไม่ต้องกลัวว่าทำร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วจะขายไม่ได้ ใครๆ ก็ชอบก๋วยเตี๋ยว แค่หนูดูทำเลดีๆ และต้องมีความขยัน ความมานะ และความอดทน แค่นี้เราก็ทำได้แล้ว ถึงจะไม่รวยแต่ก็ไม่อดตายนะ<br /><br />วันนี้ workdeena ต้องขอบคุณ เจ๊เหนอมาก ที่ยอมเสียเวลามาให้สัมภาษณ์ และยังให้ข้อคิดดีๆ กับพวกเราอีก ดังนั้นการที่เราจะทำอาชีพอิสระ อะไรก็ตาม สิ่งสำคัญเราต้องมี ความขยัน มานะ และอดทน เหมือนเช่นที่เจ๊เหนอบอกเอาไว้ แล้วเจอกันใหม่ กับ อาชีพอิสระ อาชีพต่อไปนะ </span></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-86216662995634983892009-06-18T09:51:00.000-07:002009-06-18T09:53:14.023-07:00มอเตอร์ไซขายไอติมของ คุณทิดโม<a href="http://4.bp.blogspot.com/_t0voXvklPoE/SaOJ8YvhOcI/AAAAAAAAAM8/EU3OJtprpXo/s320/DSC01987.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 225px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_t0voXvklPoE/SaOJ8YvhOcI/AAAAAAAAAM8/EU3OJtprpXo/s320/DSC01987.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><div><span style="font-family:arial;">วันนี้เรามาเจอกันอีกแล้ว พร้อมกับอากาศที่ร้อนเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้ ทาง workdeena เลยขอนำเอาอาชีพอิสระ ที่อาจจะทำให้เพื่อนๆ ทุกคนรู้สึกเย็นกันขึ้นมาบ้างนะ นั้นคืออาชีพ "ขายไอศครีม" ของ "ทิดโม" (ทิดโม คือเจ้าของกิจการ) การทำธุรกิจนี้ไม่อยากเลย แต่ต้องทำไอศครีมเป็นนะ<br /><br />workdeena;- สวัสดีพี่ทิดโม ก่อนที่จะคุยกันขอซื้อไอศครีมสักแท่งนะพี่ ก่อนที่พี่จะมาทำอาชีพอิสระตัวนี้พี่ทำอะไรมาก่อน แล้วทำไม่ถึงคิดทำอาชิพนี้<br /><br />เจ้าของธุรกิจ;- เมื่อก่อนก็เป็นลูกจ้างตามโรงงานในประเทศไทยก็หลายแห่ง และก็ไปทำงานเก็บผลไม้ที่ประเทศฟินแลน แต่ถึงจะได้เงินมาก็อยากลำบากเหลือเกิน ก็เป็นลูกจ้างเขาเนอะ พอกลับมาเมื่องไทยก็มาคิดว่าจะทำอะไรดี ที่จะสามารถเป็นอาชีพอิสระและเลี้ยงตัวเองได้แบบไม่ลำบากเกินไป ก็มาเจอพ่อค้าไอติม ก็เลยคุยกันก็เห็นว่าดี เลยขอซื้อสูตรจากเขา 5,000บาท (แต่จริงๆ แล้วสูตรทำไอติน หาอ่านได้จากหนังสือที่เกี่ยวกับการทำอาหาร แต่ตอนนั้นผมไม่รู้) และซื้อเครื่องปั่นไอติมอีก 15,000บาท แล้วก็เริ่มทำมานี่ก็ เข้าปีที่ 4 แล้ว<br /><br />workdeena;-แล้วการทำไอศครีม 1 ถังต้องใช้ทุนเยอะไหม และมีกำไรเท่าไร/วัน แล้วขายที่ไหน เพื่อให้เป็นข้อมูลแก่เพื่อนๆ ที่อย่างมีอาชีพอิสระ และสนใจอยากทำ<br /><br /><br />เจ้าของธุรกิจ;- การทำไอติม 1 ถังใช้ทุนก็ประมาณ 300 - 400 บาท ถ้าขายหมดถัง ก็ได้กำไรประมาณ 800 - 900 บาทหลังหักต้นทุนแล้ว ถ้าถามถึงว่าขายที่ไหน ผมก็ออกขายทั่วไปตามหมู่บ้าน และตามพวกก่อสร้างบ้าง ผมบอกเลยนะว่าถ้าใครอยากทำ มัีนทำไม่ยากหรอก แต่ต้องไม่อายที่จะขับรถเล่ขายไอติมนะ ผมเคยได้ยินคนเขาบอกว่า "อย่าอายทำกิน" คำนี้มันจริงๆ เลยนะ<br /><br /><br />ต้องขอบคุณพี่ ทิดโม มากๆ เลยที่ยอมเสียเวลาให้ทาง workdeena ได้พูดคุยกัน (พี่แก่บอกว่าแค่นี้ก่อนนะเพราะเดี๋ยวไม่ทันลูกค้า) และถ้าใครอยากมีอาชีอิสระแบบ พี่เขาก็ลุยเลย ถ้าได้ผลอย่างไงก็เขียนมาคุยกันบางนะ </span></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-66928274263661387752009-06-18T09:46:00.000-07:002009-06-18T09:50:52.998-07:00คุณตุ๊กตา-อาชีพ ข้าวกล่อง 10บาท<a href="http://3.bp.blogspot.com/_t0voXvklPoE/SZgMZn8WztI/AAAAAAAAALA/f1I67luP5MM/s320/DSC01963.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 225px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_t0voXvklPoE/SZgMZn8WztI/AAAAAAAAALA/f1I67luP5MM/s320/DSC01963.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;">วันนี้เป็นอีกวันนึ่งที่ทาง workdeena ได้นำอาชีพอิสระที่ง่าย ๆ ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ เพียงแค่คุณมีเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย แต่สามารถทำกำไรให้คุณ/วัน ดีทีเดียว อาชีพอิสระที่ว่า ก็คือ "การขายข้าวกล่อง 10บาท" คุณอย่าคิดว่าได้แค่ กล่องละ 10บาทเองนะ แต่ให้คุณลองคิดดูว่าถ้าวันนึ่งคุณขายได้ 100กล่อง ก็ 1,000บาทเชียวนะ ตอนที่เราไปคุยกับ พี่ตุ๊กตาเจ้าของร้าน ทาง workdeena ต้องรอนานมากกว่าจะได้พูดคุยกัน เพราะร้านพี่เขามีลูกค้าเต็มไปหมด และเราก็ได้ถามและพูดคุยกับพี่ตุ๊กตา เกี่ยวกับการทำอาชีพขายข้าวกล่อง<br /><br />workdeena;- พี่ตุ๊กตาขายมานานหรือยัง ทำไมมีลูกค้าเยอะมาก<br /><br /><br />เจ้าของอาชีพ;- พี่ขายมาประมาณ 2-3 ปี แลัว แต่เมื่อก่อนนี้พี่ก็เป็นลูกจ้างทำงานในบริษัทเหมือนกัน ที่ออกมา ก็เพราะเบื่องานเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยลองมาทำข้าวกล่องขายดู เพราะแถวบ้านยังไม่มีใครขายเลย แลัวที่ถามว่าทำไมลูกค้าเยอะ พี่ว่าไม่เยอะนะ จะมีลูกค้ามากก็เฉพาะตอนช่วง 7-8โมงเช้า เท่านั้น เพราะลูกค้าต้องรีบไปทำงาน ไม่มีเวลาทำอาหารให้ลูก-และครอบครัว ก็เลยต้องมาซื้อ<br /><br /><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_t0voXvklPoE/SZgN0qKaEnI/AAAAAAAAALI/dWJ795YRsdA/s200/DSC01962.jpg" border="0" />workdeena;- แล้วพี่ตุ๊กตาขายทั้งวันไหม หรือขายเฉพาะช่วงเช้า<br /><br /><br />เจ้าของอาชีพ;- อ๋อ...พี่ไม่ได้ขายทั้งวันหลอก พี่ขายเฉพาะช่วงเช้าและช่วงเย็นเท่านั้น ถ้าเป็นช่วงเช้าก็ตั้งแต่ 6โมงเช้า - 8โมงครึ่ง แต่ถ้าเป็นช่วงเย็นก็ตั้งแต่ 4โมงเย็น - 1ทุ่ม<br /><br /><br />workdeena;- ทางเราอยากจะให้พี่ตุ๊กตา บอกงบประมาณในการลงทุนให้กับเพื่อน ๆ ที่อยากทำอาชีพนี้บ้างได้ไหม ไม่ทราบว่าพี่ตุ๊กตาสามารถบอกได้หรือเปล่า<br /><br /><br />เจ้าของอาชีพ;- ได้เลย ๆ...ก็ถ้าใครอยากทำจริง ๆ นะ พี่ก็จะแนะนำให้ แค่เรามี กระทะ แก๊สปิคนิค กล่องโฟม<br />แค่นี้ก็พอ นอกนั้นก็เป็น เครื่องปรุง และของสด พวกนี้เป็นต้นทุนอีกส่วนนึงนะ ถ้าลงทุนครั้งแรกเลย แบบไม่มีอะไรเลยก็ประมาณ 1,000 - 2,000 บาทไม่เกินนี้ ที่เราต้องลงทุนทุกวันคือของสดก็ประมาณ 400-500บาท/วัน แต่ถ้าใครจะทำต้อง พัดกระเพา เป็นนะ ถ้าใส่ไข่ดาวอย่าลืมคิดเพิ่มเป็น 15บาทด้วยนะ<br /><br />วันนี้ต้องขอบพี่ตุ๊กตาเป็นอย่างมากที่สละเวลาตอบให้ เพราะพี่เขาคุยไปด้วยและพัดกระเพาไปด้วย เออ..เกือบลืมไป พี่ตุ๊กตาได้บอกเคล็ดลับมาว่า ต้องพัดไปขายไปตรงนั้นเลย เพราะลูกค้าชอบความสดใหม่ และกลิ่นของอาหารยังเรียกลูกค้าได้อีก อ๋อ..ก็เพราะแบบนี้เองร้านพี่เขาถึงได้มีลูกค้ามาก ถ้าใครอยากทำก็ลองนำเอาเคล็ดลับอันนี้ไปใช้ดูนะ ถ้าได้ผลดีอย่างไร ก็บอกกันบ้างแล้วกันนะ </span></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-34558037956903865372009-05-25T23:49:00.000-07:002009-05-25T23:53:31.112-07:00"มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ"<span style="font-family:Arial;"></span><a href="http://kc.hri.tu.ac.th/images/b/be/SalaryMen300px.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 126px; CURSOR: hand; HEIGHT: 167px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://kc.hri.tu.ac.th/images/b/be/SalaryMen300px.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;">อ่านพบข้อเตือนใจสำหรับ "มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ" ซึ่งเตือนใจไว้หลายประเด็นต่างๆ แต่ผมพยายามเลือกตัดตอนออกมาเพียง 30 ข้อ (ที่ผมสนใจ)เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ </span></div><span style="font-family:arial;"><br /><div><br />1. มีสังคมกว้าง ทันโลกทันเหตุการณ์<br />2.จงภูมิใจกับสิ่งที่ท่านเป็นอยู่ มีอยู่ ได้อยู่มากกว่าถามหาสิ่งที่ยังไม่เป็น ยังไม่มี หรือยังไม่ได้<br />3. ต้องปรับอารมณ์ให้เข้ากับบทบาทของงานในตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย<br />4. ต้องคิดว่า "ทุกครั้งที่ทำเต็มที่ เราได้มากกว่าองค์กร"<br />5.ต้องไม่เอาผลตอบแทนเป็นตัวนำ เพราะจะทำให้บทบาทการแสดงเปลี่ยนไป<br />6. เรียนลัดจากคนเก่าและเอกสาร<br />7.อย่าคบคนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียว<br />8. เข้าร่วมกิจกรรมให้มากที่สุด<br />9.อย่าเพิ่งแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ<br />10. คิดเข้าข้างตัวเอง<br />11.คิดถึงสิ่งที่แย่กว่า<br />12.การคิดบวกถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับคนที่อยากจะเป็น "มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ" คนคิดลบเปรียบเสมือนถังขยะที่เก็บแต่สิ่ง ที่ไร้ค่าในขณะที่ …คนคิดบวกเปรียบเสมือนคลังสมบัติที่เก็บแต่สิ่งที่ล้ำค่า จงทำงานให้มากกว่าเงินเดือน<br />13. ทำมาก...ได้ประสบการณ์มาก ทำมาก... ได้สร้างผลงานให้ปรากฏ ทำมาก…มีโอกาสเป็นบุคคลสำคัญขององค์กรมาก ทำมาก...สบายในภายหลัง<br />14. ปัจจัยภายใน คือความพร้อมของตัวเราเอง<br />15. คิดและเตรียมสิ่งใหม่ๆ ไว้ล่วงหน้า<br />16.มองไปข้างหน้าให้มากกว่ายึดอยู่กับอดีตและติดอยู่กับปัจจุบัน<br />17. คิดเสียว่าไม่มีใครอยู่กับเราตลอดชีวิต<br />18.ความเจ็บปวดช่วยสร้างคุณค่าของการมีชีวิตเป็นปกติฉันใดการขัดแย้งกันบ้าง จะช่วยสร้างคุณค่าของความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันฉันนั้น<br />19.ลด ละ เลิก ค่านิยม "ใช้ก่อนผ่อนทีหลัง"<br />20.วางแผนการเก็บเงิน โดยใช้เทคนิคง่ายๆ คือ "หลัก 3 บัญชี" คือให้เปิดบัญชี 3 บัญชี ดังนี้ ****<br />บัญชีที่ 1 คือบัญชีที่เงินเดือนเข้าไว้กดเอทีเอ็มสำหรับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน<br />บัญชีที่ 2 คือบัญชีเงินออมเพื่อฉุกเฉิน เร่งด่วน(อาจจะเป็นออมทรัพย์ก็ได้)<br />บัญชีที่ 3 คือบัญชีเงินออมเพื่อออกจากงานหรือออมเพื่ออนาคต </div><br /><div><br />21.ไม่มีความทุกข์ใดจะหนักและหนาเท่ากับการผ่อนหนี้ที่ก่อขึ้นมาจากความโลภและไม่ประมาณตนเอง<br />22. จงพอใจในผลประโยชน์ที่ได้รับ<br />23. จงคิดว่าถ้าบริษัทเป็นของเรา เราจะทำหรือไม่<br />24.จงชมตัวเองทุกครั้งที่รักษาจรรยาบรรณไว้ได้<br />25. จงสอนตัวเองโดยผ่านการสอนคนอื่น<br />26.อย่าเห็นแก่ประโยชน์แม้เพียงเล็กน้อย<br />27.อย่าทำเพราะคนอื่นเขาทำกัน<br />28.อย่าคิดว่าทำแล้วไม่มีใครรู้ใครเห็น<br />29. เปลี่ยนปัญหาให้เป็นความท้าทาย<br />30.อย่าเปิดช่องว่างให้ความเบื่อเข้ามาแทรก อย่าระบายอารมณ์ลงที่งานและคนอื่น<br /><br />ขอเพิ่มเติมข้อเตือนใจพิเศษสำหรับคนวัยใกล้เกษียณอย่างผม ที่เขามีข้อเตือนใจว่า<br />จำนวนวันทั้งหมด ตั้งแต่อายุ 56 (หลังเกษียณ) ถึง 80=25 ปีคูณ 365 วัน = 9,125 วัน<br />ดังนั้นเงินที่จำเป็น ต้องใช้เพื่อประทังชีวิตอยู่ขั้นต่ำเท่ากับ 9,125 คูณ 170 = 1,551,250 บาท เงินจำนวนนี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายที่สำคัญอื่นๆ เช่น ค่ารถ ค่าซ่อมรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าซ่อมบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื้อผ้า ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดคือ ค่ารักษาพยาบาลสำหรับตัวเอง<br /><br /><br /><br /><br /></div></span>Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-38727881443520850652009-05-22T08:22:00.000-07:002009-05-22T08:27:34.595-07:00วิธีการ หาเงิน ผ่านเน็ต แบบถูกต้อง - Make Money Online<span style="font-family:arial;">ทำไมต้องหาเงินผ่านเน็ต หาได้จริงหรือ?ใช่ Work At Home หรือไม่<br /><br />คลิกป้ายโฆษณา หรือ อ่านเมล์เพื่อเอาตังก์ใช่หรือเปล่า ขายตรงหรือเปล่า<br /><br />มันมีวิธีการที่หาเงินได้จริง ๆ โดยไม่ถูกหลอกลวงด้วยหรือ? เรื่องจริงของการหาเงินผ่านอินเทอร์เน็ต<br /><br />สร้างเว็บไซต์ขึ้นมา โปรโมตให้ดัง<br /><br />ทำเว็บ E-Commerce ขายของ<br /><br />ขายของใน Ebay<br /><br />เป็นนายหน้าขายของให้ผู้อื่น (Affiliate Program)<br /><br />ติดโฆษณาในเว็บไซต์ของเรา เพื่อหาเงินจากค่าโฆษณา (Publisher Program)<br /><br />ขายชื่อโดเมนสวย ๆ<br /><br />ทำ Parking Domain หาตังก์จากคนหลงเข้าไป<br /><br />เขียน Ebook หรือ หนังสือขาย Online หรือขาย Software<br /><br />มีอีกนับไม่ถ้วนแต่ส่วนใหญ่แล้ว จะทำกันอยู่แค่นี้แหละครับ<br /><br />สร้างเว็บไซต์ขึ้นมา โปรโมตให้ดัง<br /><br />www.sanook.com<br /><br />www.metacafe.com<br /><br />www.myspace.com<br /><br /><br />ทำเว็บ E-Commerce ขายของ<br /><br />www.buy.com<br /><br />www.shop.com<br /><br />www.tigerdirect.com<br /><br />www.amazon.com<br /><br />www.tarad.com<br /><br />www.thaisecondhand.com<br /><br />www.2home.com<br /><br /><br />ขายของใน Ebay<br /><br />มีสินค้าเป็นของตัวเอง หรือ รับมาอีกต่อหนึ่ง<br /><br />เอาไปประกาศขายบน Ebay ให้คนประมูล<br /><br />ส่งของ + รับเงิน<br /><br />ได้กำไร<br /><br />เป็นนายหน้าขายของให้ผู้อื่น (Affiliate Program)<br /><br />www.cj.com<br /><br />www.clickbank.com<br /><br />www.linkshare.com<br /><br />www.come2shop.com<br /><br />www.smart-review.com<br /><br />www.googlerich.net<br /><br />ติดโฆษณาในเว็บไซต์ของเรา เพื่อหาเงินจากค่าโฆษณา (Publisher Program)<br /><br />www.google.com/adsense<br /><br />www.adbrite.com<br /><br />www.auctionads.com<br /><br />www.overture.com<br /><br />www.infomadesimple.com<br /><br />ขายชื่อโดเมนสวย ๆ<br /><br />www.parked.com<br /><br />www.godaddy.com<br /><br /><br />เขียน Ebook หรือ หนังสือขาย Online หรือขาย Software<br /><br />www.clickbank.com<br /><br />สรุป<br /><br />การหาเงินทาง Internet มีได้หลายวิธี<br /><br />ยากง่ายแตกต่างกันไป<br /><br />ที่นิยมกันมี 2 วิธีคือ Affiliate Marketing กับ Publisher Program<br /></span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-37634192816605237152009-05-20T09:13:00.000-07:002009-05-20T09:51:19.380-07:00ประวัติ charice ความกตัญญู เป็นบ่อเกิดของความสำเร็จ<span style="font-family:arial;">สาวน้อย Charice ดังมากในเมืองนอก ด้วยเสียงที่สุดยอดมาก ที่สามารถร้องกับ Celine Dion ได้อย่างสบายมาก ไปชมความสามารถในการร้องเพลงของเธอกัน คนนี้ต้องยกนิ้วให้จริงๆ</span><br /><br /><p align="center"><embed src="http://www.youtube.com/v/WnozxukH9QE&color1=" width="425" height="344" type="application/x-shockwave-flash" color2="0xcfcfcf&hl=" feature="player_embedded&fs=" allowfullscreen="true"></embed></p><br /><strong><span style="font-size:180%;color:#ff0000;">ประวัติ</span></strong> <span style="font-size:180%;color:#ff0000;"><strong>Charice</strong></span><br />Charice Pempengco สาวน้อยมหัศจรรย์แห่งเมืองตากาล็อค<br /><br /><br /><p align="center"><embed src="http://www.youtube.com/v/pCE795Atfq8&color1=" width="425" height="344" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" feature="player_embedded&fs=" color2="0x4e9e00&hl="></embed></p><br />ครั้งแรกที่ได้ดูคลิปนี้นี่ถึงกับขนลุกเลยครับ ทำไมเด็กคนนี้มันเทพขนาดนี้เนี่ย ตัวเล็กกะปิ๊ดเดียวแต่เสียงอย่างกับนักร้องระดับ Diva อย่างเจ๊มาลัย ป้าวิทนี่ย์ เวอร์ชั่นโหลดเตี้ยเลยทีเดียว พอได้ดูคลิปนี้ก็เลยเกิดความสนใจน้องคนนี้ขึ้นมาครับ ก็เลยลองเสิร์ชหาประวัติดูว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน แล้วก็ได้พบเรื่องที่น่าทึ่งอีกครั้งครับ<br /><br />สาวน้อยเสียงเทพคนนี้ชื่อ Charice Pempengco (ชารีส เปมเปงโก) สาวน้อยจากประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเราที่มีชื่อเสียงทางด้าน นักมวย และ นักร้อง อยู่แล้ว แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ ถึงแม้ว่าเธอจะตัวเล็กเหมือนเด็กอายุไม่เกิน 13 แต่จริงๆ แล้วตอนนี้เธออายุ 17 ปีแล้วครับ<br /><br />ชารีสเริ่มร้องเพลงตั้งแต่อายุได้สี่ขวบจากการฟังเพลงจากสถานีวิทยุที่แม่เปิดทิ้งไว้เวลาทำงานบ้านแล้วก็ร้องตามวิทยุ และจากเพลงจากสถานีวิทยุนั้นเองที่ทำให้แม่ของชารีสพบว่า ลูกสาวของตัวเองมีพรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลงที่พระเจ้ามอบให้มา<br /><br />แต่ชีวิตของชารีสไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างเจ้าหญิงในนิยาย เพราะครอบครัวของชาีรีสมีฐานะยากจน และพ่อของเธอก็เป็นโรคติดเหล้าอย่างรุนแรงจนกระทั่งวันหนึ่งที่เกิดอาการคลุ้มคลั่งจนเกือบจะฆ่าแม่ของเธอในบ้านต่อหน้าชารีส แต่โชคยังดีที่เพื่อนบ้านเข้ามาช่วยไว้ได้ทันและนับตั้งแต่วันนั้น พ่อและแม่ของชารีสก็แยกทางกันทันที โดยแม่ของชารีสต้องเลี้ยงดูเธอและน้องด้วยตัวคนเดียว<br /><br />ด้วยความที่ครอบครัวมีฐานะค่อนข้างลำบาก แม่ของเธอต้องทำงานในโรงงานซักอบรีดวันละไม่ต่ำกว่าสิบสองชั่วโมงเพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูลูก ชารีสจึงเริ่มช่วยแม่หารายได้มาเจือจุนครอบครัวด้วยการเริ่มประกวดร้องเพลงชิงรางวัลตั้งแต่อายุ 8 ขวบ (จำได้ไม่ชัวร์ แต่น่าจะราวๆ นี้แหละครับ)<br /><br />ด้วยพรสวรรค์ในการร้องเพลงที่ไม่ได้รับการฝึกสอนอย่างจริงจังทำให้ทุกคนต่างทึ่งในความสามารถของเธอ และในวันหนึ่งก็มีคนนำคลิปวิดีโอที่ถ่ายตอนชารีสร้องเพลงไปโพสต์บนเว็บยูทูป และจากจุดนั้นเองทำให้ชีวิตของสาวน้อยแห่งเมืองตากาล็อคเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ<br /><br />จากจำนวนผู้เข้าชมคลิปวิดีโอที่เธอร้องเพลงเป็นจำนวนกว่าสิบล้านคนในเวลาอันรวดเร็วนั้น ทำให้รายการสตาร์คิงของประเทศเกาหลีสนใจนำเธอไปออกรายการดังคลิปข้างบนที่เอามาแปะให้ดู ก็ยิ่งทำให้ชารีสเป็นที่รู้จักมากขึ้น จนในที่สุด ดวงมหาเฮงของแม่สาวตัวก็เปี๊ยกนี่ก็ประทับร่าง เมื่อเจ้าแม่ทอล์กโชว์ของเมืองลุงแซมอย่าง โอปราห์ วินฟรีย์ ได้ดูคลิปวิดีโอนั้น แล้วนำเธอมาออกรายการเมื่อปีที่แล้วตามคลิปนี้ครับ<br /><br /><br />เรื่องราวอาจจะเหมือนแค่ฝันเพียงชั่วข้ามคืนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป แต่ดูเหมือนกับจะไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อโอปราห์เห็นความสามารถที่ชาีรีสแสดงในรายการของตน และคิดว่าคงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าหากว่าเพชรเม็ดนี้จะไม่ได้รับการเจียรไน โอปราห์จึงแนะนำให้ชาีรีสได้พบกับ เดวิด ฟอสเตอร์ นักร้อง นักดนตรี และโปรดิวเซอร์ชื่อดังระดับโลก ผู้ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ วิทนี่ย์ ฮุสตัน, ซิลีน ดิออน, และไมเคิล บูเบล ซึ่งเดวิด ฟอสเตอร์เองพอได้เห็นพรสวรรค์ของชารีสก็ถึงกับเอ่ยปากชวนให้เธอมาร่วมงานกับเขา<br /><br />แต่เรื่องราวดีๆ ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อความฝันอันสูงสุดของชารีส ซึ่งก็คือ การได้ร่วมร้องเพลงกับดีว่าระดับเทพอย่าง ซิลีน ดิออน นั้นเป็นจริงขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของโอปราห์ (โห ป้าจะน้ำใจมหาสมุทรไปไหนเนี่ย) ซึ่งได้โทรศัพท์ไปพูดคุยและเล่าเรื่องราวความกตัญญูและความมหัศจรรย์ของชารีสให้กับซิลีนฟัง ซิลีนจึงได้ชวนให้ชารีสไปร่วมร้องเพลงกับเธอในคอนเสิร์ตที่เมดิสันสแควร์การ์เด้นท์ ในเพลง Because you love me ที่เป็นเพลงที่ชารีสตั้งใจร้องให้กับแม่ของเธอ<br /><br /><p align="center"><embed src="http://www.youtube.com/v/WilGCuT8LlM&color1=" width="425" height="344" type="application/x-shockwave-flash" color2="0x4e9e00&hl=" feature="player_embedded&fs=" allowfullscreen="true"></embed></p><br /><br />หลังจากคอนเสิร์ตในครั้งนั้น ก็ทำให้ชารีสเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศอเมริกาและทั่วโลกครับ และตอนนี้ก็มีอัลบั้มเดี่ยวออกมาแล้วด้วย จากเรื่องราวทั้งหมดทำให้ตัวเองได้ข้อคิดมาว่า คนที่...<strong><span style="font-size:130%;color:#ff6600;">กตัญญู</span>ต่อพ่อแม่</strong>หรือผู้มีพระคุณนั้นมักจะเจริญทุกคน และคนที่ไม่ยอมท้อถอยต่ออุปสรรคก็จะประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่ชารีสเป็นนี่แหละครับUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1531889644063223876.post-57257451447342599942009-05-07T11:03:00.000-07:002009-05-07T11:07:01.179-07:0016 อาชีพชายหนุ่มที่หญิงสาวไม่ควรแต่งงานด้วย*<a href="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/main/1_43.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 287px; CURSOR: hand; HEIGHT: 252px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/main/1_43.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;">1. หมอ<br />เพราะหมอชอบบอกให้คนไข้หายใจแรงๆ และร้องอา...ห์ยาวๆ ตลอดทั้งวัน ฟังแล้วโรคจิตพิกล<br /><br /><br />2. ทหาร<br />เพราะทหารตัวใหญ่ แข็งแรง อึด แล้วก้ชอบบอกว่า ยก...ก อาวุธ! แบกอาวุธ! แล้วก้เล็งอาวุธ! เป็นบางทีมันก้ดีอยู่หรอก แต่บ่อยๆ ห้องนอนมันจะกลายเป็นสนามรบเอา<br /><br /><br />3. นักกีฬา<br />เพราะนักกีฬาจ้องแต่จะทำลายสถิติ อยู่บ้านเฉยๆ ก้สะกิดแล้วสะกิดอีก "หมู่นี้สถิติตกไปนะเธอ มาทำลายสถิติกันเถอะ"<br /><br /><br />4. นักร้อง<br />เพราะนักร้องบางคน ชอบมีไมค์ส่วนตัวหลายอัน<br /><br /><br />5. คนขับแท๊กซี่<br />เพราะชอบฝ่าไฟแดง แถมยังปาดซ้ายปาดขวาไปมา<br /><br /><br />6. กระเป๋ารถเมล์<br />เพราะแค่เริ่มเดินเครื่อง ก้ตะโกนสั่ง ชิดในทันที!<br /><br /><br />7. ผู้กำกับการสดง<br />เพราะผู้กำกับใหญ่ๆ เอะอะอะไรก้สั่ง "เอาอีกเทคๆ"<br /><br /><br />8. ดารา<br />เพราะดาราชอบร้องไห้ ร้องทั้งวันทั้งคืน ก้หมดอารมณ์อ่าดิ<br /><br /><br />9. นักเล่นหุ้น<br />เพราะเด๋ยวเกิดอารมณ์ขึ้นๆลงๆตามหุ้น วันไหนไม่พอใจก้อาจขายทิ้งซะงั้น<br /><br /><br />10. นักเล่นกล้าม<br />เพราะนักเนกล้ามหน้าอกใหญ่กว่าของสาวๆ จะกลายเป็นปมด้อยของสาวๆแทน<br /><br /><br />11. พ่อครัวเบเกอร์รี่<br />เพราะถึงแม้จะน่าติดใจในรสชาติของขนม แต่สาวๆก้ควรคำนึงว่า วันๆพ่อครัว"ตีไข่"ไปไม่รุ้กี่รอบทั้งวัน<br /><br /><br />12.ทนาย<br />เพราะเอะอะอะไร ทนายก้จะพูดแทนเราทุกอย่าง<br /><br /><br />13. ครู<br />เพราะพกวนี้จะชอบสั่งสอนเป็นวิสัย และพอสอนเสร็จก้จะถามว่าเข้าใจไหม และถ้าตอบว่าเข้าใจ ก้จะให้"การบ้าน"ไปทำอีก และชอบบอกว่าเก่งมากๆ เอาอีก เอาอีก<br /><br /><br />14. พนักงานแคชเชียร์<br />เพราะพวกนี้เวลากำลังยุ่งทีไร ชอบบอกว่า "เข้าช่องถัดไปได้ไหมครับ?"<br /><br /><br />15. พนักงานรถไฟ<br />เพราะรถไฟของพวกเขาชอบร้องว่า "ถึงก้ช่าง ไม่ถึงก้ช่าง"<br /><br /><br />16. นักสนุ๊กเกอร์<br />เพราะพวกนี้เล็งตั้งนาน แต่แทงทีเดียว ลงหลุมเลย<br /><br />ปล. ดีน่ะ ที่ยังเหลือหนุ่มติสเอาไว้ให้ กร๊ากกกกก~</span></div>Unknownnoreply@blogger.com0