วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

โรตีแต้จิ๋วค้าขายร่ำรวย ร้านสมัยศิลป์ ตลาดน้ำบางน้อย


ชีวิตคนกรุงที่ต้องทำงานทุกวันจันทร์ -ศุกร์ พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ทีไร ก็มักที่จะอยากขอไปพักผ่อนสมองและหาความสุขใส่ตัวแบบสนุกสนาน อย่างการออกไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ๆ กรุง ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมากโข อย่างที่ได้ใช้เวลาช่วงวันหยุดไปเที่ยวตลาดน้ำบางน้อย ที่จ.สมุทรสงคราม มาขอบอกว่าเป็นตลาดน้ำที่มีอายุอานามเก่าแก่กว่า 100 ปี ที่ถูกลืมเลือนมานานหลายสิบปี


จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา ชาวบางน้อยได้ร่วมมือร่วมใจกัน ฟื้นฟูตลาดขึ้นมาและเปิดตลาดให้เป็นแหล่งท่อง เที่ยวเชิงอนุรักษ์ มีการรักษาสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ ร่วมกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของชาวบางน้อยให้คงไว้ ซึ่งวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย ทำมาค้าขายทั้งบนบกและทางน้ำ

คุณป้าเรณู อุทัยรัตนกิจ โชว์การทำโรตีแต้จิ๋ว

ในทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ชาวบ้าน จะเปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวได้มาเดิน เที่ยวชมถ่ายภาพบ้านเรือนริมน้ำสวยๆ และมาเลือกซื้อหาของใช้ ของกินมากมายที่แม่ค้าพ่อค้านำมาขายกัน แล้วถ้ามาตลาดน้ำบางน้อย ก็ต้องไม่พลาดที่จะมากินของกินแสนอร่อยที่หากินยาก มากกับ”โรตีแต้จิ๋ว” ที่ร้านสมัยศิลป์

คุณป้าเรณู อุทัยรัตนกิจ เจ้าของร้านบอกเล่าให้ฟังว่า โรตีแต้จิ๋ว หรือที่เรียกว่าหลั่วก๊วย เป็นขนมที่ทำกินกันภายในครอบครัว โดยมีคุณย่า (อาม่า) คิดขึ้นเพื่อใช้สำหรับไหว้เจ้าในพิธีส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ (ก่อนวันตรุษจีน 6 วัน) และคุณป้าก็เลยนำมาทำขายเพื่อให้คนอื่นได้กินขนมอร่อยๆ แบบนี้บ้าง และเรียกชื่อขนมให้คนจำง่ายๆ ว่าโรตีแต้จิ๋ว เพราะเป็นสูตรการทำสไตล์คนจีนแต้จิ๋ว

โรตีแต้จิ๋วชวนกิน
การทำโรตีแต้จิ๋ว ประกอบด้วย แป้งข้าวเหนียวที่เอามานวดกับน้ำ แล้วปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ ก่อนที่จะเอามาตบๆ ให้เป็นแผ่นกลมๆ ไม่ใหญ่นัก แล้วก็นำลงไปทอดในกระทะให้แป้งสุก แล้วก็นำขึ้นมาห่อ ซึ่งจะใส่ถั่วลิสงที่ทางร้านอบเองแบบสดใหม่ลงไป ใส่น้ำตาลทรายแดงและงาขาวลงไป และห่อม้วนเป็นชิ้นๆ นำใส่กระทงใบตองขายในราคา 3 ชิ้น 20 บาท ชิมแล้วถูกปากตรงที่แป้งเนื้อนิ่มนุ่มเหนียว หวานหอมงาและกรุบกรอบถั่วที่อบแบบสดใหม่หอมๆ

เอาเป็นว่าถ้าใครอยากพักผ่อนกับสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพฯ ตลาดน้ำบางน้อยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ในบรรยากาศตลาดพื้นบ้านผสมผสานไปกับความร่วมสมัยแต่พองาม ที่ใครมาเที่ยวแล้ว หากอยากลิ้มรสของกินหายากรสชาติเป็นหนึ่ง ที่ร้านสมัยศิลป์เขามีโรตีแต้จิ๋วรสอร่อยรอคอยอยู่

บรรยากาศโต๊ะนั่งสบายๆ
“โรตีแต้จิ๋ว” ร้านสมัยศิลป์ ตั้งอยู่ในตลาดน้ำบางน้อย เลขที่ 70 หมู่ 8 ต.กระดังงา อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม การเดินทางถ้ามาจากรุงเทพฯ เพียงขับรถตรงมาตามทางที่มา จ. สมุทรสาคร แต่ไม่ต้องเข้าตัวเมืองสมุทรสาคร ให้ขับตรงต่อมาที่สมุทรสงครามเข้าทางเดียวกับตลาดน้ำอัมพวา และขับตรงเข้ามาเรื่อยๆ ประมาณ 4 กม. ก็จะถึงตลาดน้ำบางน้อย สามารถจอดรถได้ที่วัดเกาะแก้ว ร้านเปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น. โทร. 0-3473-0870

ขอบคุณข้อมูลจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์

คลับแอสทีเรีย สร้างรายได้

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

'ขนมเปี๊ยะดอกไม้' หน้าตาแปลกใหม่ น่าสน

การพลิกแพลงหน้าตาขนมนั้นเป็นเรื่องสำคัญในปัจจุบัน เพราะนอกจากเรื่องรสชาติของขนมแล้ว เรื่องหน้าตาก็เป็นส่วนสำคัญไม่น้อยในการเรียกลูกค้า ซึ่งกับ “ขนมเปี๊ยะ” นั้น เมื่อดัดแปลงหน้าตาก็จะกลายเป็นขนมที่ร่วมสมัย น่าทานและน่าซื้อในทุกโอกาสได้ อย่างเช่นที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมาแนะนำกัน...

อาจารย์ณนนท์ แดงสังวาล สาขาวิชาอุตสาหกรรมบริการอาหาร คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) ได้แนะนำการดัดแปลงขนมเปี๊ยะเดิม ๆ เป็น “ขนมเปี๊ยะดอกไม้” ที่ดูแปลกตาน่าทาน ไม่จำเจในแบบเดิม ๆ ซึ่งน่าจะสร้างตลาดใหม่ ๆ ให้เกิดได้ และน่าจะเป็นของฝากที่คนได้รับชอบ ซึ่งการทำขนมเปี๊ยะให้เป็นรูปดอกไม้นั้น อาจจะดูเหมือนยากกว่าทำขนมเปี๊ยะรูปกลม ๆ แต่จริง ๆ แล้วกลับง่ายกว่ามาก ๆ และที่สำคัญขนมจะสุกง่ายมาก เวลาอบจะสุกถึงไส้ขนมเลยทีเดียว

อุปกรณ์การทำขนมเปี๊ยะดอกไม้ ก็เหมือนกับอุปกรณ์ทำขนมทั่วไป ซึ่งหมายรวมว่าต้องมีเครื่องตีแป้ง และตู้อบขนมเพิ่มมาด้วย ต้นทุนอุปกรณ์ตกอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป

การทำขนมเปี๊ยะ อาจารย์ณนนท์บอกว่า จะมีการทำแป้ง 2 ส่วน และไส้ 1 ส่วน ซึ่งแป้ง 2 ส่วนนั้นคือแป้งชั้นนอกและแป้งชั้นใน โดยส่วนประกอบของแป้งชั้นนอก ตามสูตรประกอบด้วย แป้งเค้ก 500 กรัม, น้ำเย็น 250 กรัม, น้ำมันพืช 100 กรัม, เกลือป่น 5 กรัม, น้ำตาลทราย 50 กรัม, นมผง 15 กรัม, ไข่แดงไข่ไก่ (สำหรับแต่งหน้า 15 กรัม) และงาดำคั่ว (สำหรับตกแต่ง) 100 กรัม

ส่วนแป้งชั้นใน ใช้แป้งเค้ก 300 กรัม และน้ำมันพืช 150 กรัม

สำหรับตัวไส้ ส่วนผสม “ไส้ถั่ว” นั้น ตามสูตรจะใช้ถั่วเขียวเลาะเปลือก 500 กรัม, น้ำตาลทราย 600 กรัม, น้ำมันพืช 250 กรัม, เนยสด 50 กรัม, กลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา และนมผง 30 กรัม

วิธีทำ เริ่มที่แป้งชั้นนอก ร่อนแป้งเค้กและนมผงเข้าด้วยกันลงอ่างผสมที่เตรียมไว้ จากนั้นผสมน้ำตาลทราย เกลือป่น และน้ำเย็นเข้าด้วยกัน คนจนส่วนผสมละลายดี เทลงในส่วนผสมแป้ง ตีจนแป้งจับตัวเป็นก้อน (ใช้ที่ตีแป้งรูปตะขอ) จากนั้นเติมน้ำมันพืช ตีแป้งต่อจนแป้งเนียน ไม่ติดมือ จึงนำแป้งออกมาแบ่งเป็นก้อน ก้อนละ 20 กรัม คลึงแป้งเป็นก้อนกลมด้วยมือ คลุมด้วยผ้าขาวบาง พักไว้ 5-10 นาที เพื่อให้แป้งคลายตัว และพองขึ้น

แป้งชั้นใน ให้ร่อนแป้งเค้กลงในอ่างผสม เติมน้ำมันพืชลงไป และตีจนส่วนผสมจับตัวเป็นก้อน เสร็จแล้วตัดแบ่งแป้งหนักก้อนละ 10 กรัม แล้วคลึงให้เป็นก้อนกลม พักไว้

จากนั้นนำแป้งชั้นนอกที่เตรียมไว้ก่อนหน้ามาห่อแป้งชั้นใน ปิดตะเข็บให้สนิท นำแป้งมารีดตามยาว แล้วพับทบ 3 ทบ พักไว้ 5 นาที แล้วรีดตามยาวอีกครั้ง พับทบ 3 ทบ พักไว้ 5 นาที แป้งจะเป็นชั้น ๆ พักเตรียมไว้

ต่อไปเป็นการทำไส้ขนมเปี๊ยะที่เป็นไส้ถั่ว ซึ่งต้องทำเตรียมไว้ก่อนหน้า โดยล้างถั่วเขียวเลาะเปลือกให้สะอาด แช่ในน้ำเปล่าประมาณ 12 ชั่วโมง จากนั้นล้างให้สะอาดอีกครั้ง แล้วนึ่งถั่วจนสุก

บดถั่ว น้ำตาลทราย น้ำมันพืช กลิ่น วานิลลา และนมผง เข้าด้วยกันด้วยเครื่อง แล้วเทลงบนกระทะทองเหลือง เปิดไฟกลางกวนจนส่วนผสมข้น และสามารถ ปั้นเป็นก้อนกลมได้ แล้วเติมเนยสด กวนต่อจนส่วนผสมเข้ากันดี ยกลงพักไว้จนถั่วเย็น แบ่งถั่วเป็นก้อน ๆ หนักก้อนละ 15-20 กรัม คลึงเป็นก้อนกลม เตรียมไว้

ขั้นตอนการห่อไส้ รีดแป้งเป็นแผ่นบางประมาณ 14 เซนติเมตร ตัดแบ่งเป็น 2 ชิ้น ใส่ไส้ถั่วกวนระหว่างแป้ง 2 ชิ้น ประกอบปิดตะเข็บให้สนิท แล้วรีดอีกครั้งให้เป็นแผ่นหนาประมาณ 34 เซนติเมตร ใช้มือทำให้ตัวขนมเป็นรูปวงกลม จากนั้นใช้กรรไกรตัดแบ่งเป็น 12 ช่อง แล้วบิดหันกลีบให้สวยงาม วางลงบนเตาอบที่ทาด้วยเนยขาว ตกแต่งหน้าด้วยไข่แดง งาดำคั่ว

อบขนมที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ประมาณ 30 นาที หรือกระทั่งสุก แซะออกจากถาดวางพักบนตะแกรงจนขนมเย็นสนิท แล้วนำไปอบควันเทียนประมาณ 10 นาที จนมีกลิ่นหอม จึงบรรจุภาชนะที่ปิดสนิท

แป้งปริมาณดังกล่าวข้างต้นจะทำ “ขนมเปี๊ยะดอกไม้” ได้ประมาณ 80 ลูก หรือ 80 ชิ้น โดยมีต้นทุนต่อสูตรประมาณ 200 กว่าบาท ตั้งราคาขายที่ชิ้นละ 10 บาท หรือแล้วแต่ตลาด ซึ่งนอกจากไส้ถั่วแล้วยังสามารถทำเป็นไส้อื่น ๆ อาทิ ไส้งาดำ ไส้ถั่วแดง หรือจะทำหน้าตา-ตกแต่งเป็นรูปแบบอื่น ๆ ก็ได้ อาทิ รูปสัตว์ต่าง ๆ ตามความสามารถ และความเป็นไปได้ เช่น รูปกระต่าย เป็นต้น

สนใจเรื่อง “ขนมเปี๊ยะดอกไม้” ต้องการติดต่อ อาจารย์ณนนท์ ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2281-9231-4 ต่อ 2106, 08-5334-3993 08-5334-3993 ซึ่งนี่ก็เป็นตัวอย่างการพลิกแพลงรูปร่างหน้าตาของขนมเดิม ๆ ให้ “แปลกใหม่”.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล
ที่มาของบทความ เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

‘โรตีสไตล์พิซซ่า’


สารพัดหน้า-ขายแปลก

โรตีมีขายหลากหลาย ปรับปรุงกันไปให้ร่วมสมัยหรือให้แปลกแหวกแนว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับใครจะหาไอเดียได้เด็ดขนาดไหน อาทิ โรตีไส้แกง โรตีไส้ กะเพรา ซึ่งเป็นแบบไทย ๆ หรือจะเป็นโรตีไส้กล้วยหอมราดหน้าด้วยช็อกโก แลต หรือสตรอเบอรี่ นี่ก็มีให้เห็น ส่วนจะ ขายได้-ขายดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับทำเล ฝีมือ รวมถึงการตั้งราคา และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีโรตีอีกแบบมาให้ลองพิจารณากัน เป็น “โรตีสไตล์พิซซ่า” ที่ก็น่าสนใจ...

วิเชียร ภูรีญาณสวัสดิ์ เจ้าของร้านโรตีพิซซ่า ย่านวัดชมภูเวก สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี เปิดขายมาระยะหนึ่งแล้ว และได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อพอสมควรทีเดียว ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า ขายมาได้ 2 เดือนกว่า ซึ่งเท่ากับปีที่แล้วซึ่งก็ขายได้เพียงแค่ 2 เดือน หลังจากนั้นไปบวชอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อสึกออกมาก็มาทำขายต่อ

“มาเช่าบ้านในซอยวัดชมพูเวก ซึ่งด้านในเป็นชุมชนมีคนอยู่กันมาก แรก ๆ ก็ขายในบ้าน ซึ่งก็ขายดี เพราะมีคนมาซื้อตลอด ต่อมาก็ออกมาขายข้างนอกบ้าง ซึ่งก็เป็นทำเลซึ่งไม่ไกลจากบ้านมากนัก ซึ่งผลตอบรับก็ดีทีเดียว สำหรับการขายในระยะแรก ๆ เพราะเราเพิ่งมาใหม่ได้ไม่นาน” วิเชียรกล่าว

ก่อนจะเล่าต่อไปว่า ไปดูวิธีทำโรตีมาจากร้านที่นครปฐม และนำมาประยุกต์เป็นสูตรของตนเอง โดยได้ไปจ้างอาบังที่ขายโรตีให้มาสอนวิธีสะบัดแผ่นแป้งโรตี ซึ่งกว่าจะชำนาญก็นานพอสมควร ส่วนที่พลิกแพลงทำเป็น “โรตี พิซซ่า” นั้น เพราะคิดว่าน่าจะแปลกดี ยังไม่มีแพร่หลายทั่วไปในตลาด

อุปกรณ์ขายโรตีนั้น เบื้องต้นลงทุนประมาณ 20,000 กว่าบาทขึ้นไป ซึ่งรวมค่ารถเข็น และอุปกรณ์จิปาถะต่าง ๆ มากมายหลายอย่าง ส่วนวัตถุดิบที่ใช้หลัก ๆ จะเป็นส่วนของแป้ง ไข่ไก่ และส่วนประกอบของหน้าโรตี อาทิ ไส้กรอก ปูอัด หมูหยอง ทูน่า ข้าวโพด ถั่วลันเตาต้ม ไข่เค็ม รวมไปถึงเครื่องโรยหน้า อย่างซอสพริก ซอสมะเขือเทศ มายองเนส ออริกาโน่ และพริกป่น ส่วนนี้ก็เป็นส่วนทุนที่จะต้องลงในแต่ละวัน

วิเชียรบอกว่า ถ้าขายโดยใช้แป้งโรตีประมาณ 100 ลูก จะใช้แป้งสาลีประมาณ 2 กก. นวดกับน้ำตาลทราย 2 ช้อนชา, เกลือ 2 ช้อนชา, นมสด 2 ช้อนโต๊ะ, ไข่ไก่ 2 ฟอง และโซดา 1 ซ้อนโต๊ะ (เพื่อให้แป้งนุ่ม) ซึ่งการนวดแป้งนั้นใช้วิธีการนวดด้วยมือให้เข้ากัน จากนั้นก็ปั้นเป็นลูก ๆ ขนาด 1 กำมือพอดี ๆ และคลุมด้วยผ้าขาวบางไว้ จะนำออกมาใช้ก็เวลาทำขายเท่านั้น ซึ่งใช้วิธีคลุมแป้งแบบนี้ก็ได้ ไม่ต้องหมักแป้งนาน ๆ ให้เสียเวลา

ส่วนหน้าโรตีพิซซ่านั้น หลัก ๆ จะมี 5 หน้า ได้แก่ โรตีพิซซ่า, โรตีพิซซ่าไข่เค็ม, โรตีซอนญ่า, โรตีพิซซ่าทูน่า, โรตีพิซซ่าหมูหยอง ราคาขายอยู่ที่ชุดละ 25-35 บาท

วิธีทำ เริ่มที่เตรียมกระทะ ตั้งน้ำมันพอร้อน จากนั้นนำแป้งมาสะบัดเป็นแผ่น จากนั้นนำลงทอดในกระทะ เตรียมไส้ด้วยการเตรียมภาชนะถ้วย เล็ก ๆ ถ้าเป็น โรตีพิซซ่า ธรรมดา ไส้ด้านในจะเป็นไส้กรอกและไข่ไก่ตีรวมกัน, โรตีพิซซ่าไข่เค็ม จะเหมือนกับโรตีพิซซ่า แต่ต้องบี้ไข่เค็มส่วนไข่แดง ลงไปด้วย แล้วตีรวมกัน, โรตีซอนญ่า ไส้จะเป็นส่วนผสมของถั่วลันเตาต้ม-ข้าวโพดต้ม-ปูอัด ตีผสมกับไข่ไก่ สำหรับ โรตีทูน่า มีส่วนผสมของเนื้อปลาทูน่า ถั่วลันเตาต้ม-ข้าวโพดต้ม ตีผสมกับไข่ไก่ และถ้าเป็น โรตีหมูหยอง จะเป็นการทอดแผ่นโรตีกรอบขึ้นมาก่อน เสร็จแล้ว โรยหน้าด้วยหมูหยอง และแต่งหน้าอีกครั้งด้วยซอส พริกป่น และผงออริกาโน่

เมื่อทอดแผ่นโรตีแล้ว ให้ใส่ไส้ที่ตีรวมไว้แล้วลงไป พับปิดให้เรียบร้อย พลิกไปพลิกมาให้พอสุก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้ประมาณ 16 ชิ้น เติมน้ำมันลงทอดโรตีให้เหลืองกรอบ เสร็จแล้วนำขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

จากนั้นนำโรตีใส่ภาชนะขาย เรียงให้ดูเรียบร้อย ปรุงรสแต่งหน้าด้วยซอสพริก ซอสมะเขือเทศ มายองเนส ผงออริกาโน่ และพริกป่นตามลำดับ เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย ส่วนโรตีหมูหยองนั้นทำเหมือนกันเพียงแต่ไม่ต้องใส่ไส้ แต่มาโรยหน้าด้วยหมูหยองตอนท้ายก่อนที่เข้าขั้นตอนปรุงรสแต่งหน้า

วิเชียรบอกด้วยว่า ล่าสุดเพิ่งคิดค้น โรตีแหนม อีกสูตรหนึ่ง ซึ่งวิธีทำคล้ายกับโรตีพิซซ่า แต่เปลี่ยนจากไส้กรอกเป็นแหนมแทน และเพิ่มถั่วลันเตาและข้าวโพดลงไปด้วย ส่วนวิธีทำเหมือนกันทุกอย่าง ราคาก็ 30 บาท

ใครสนใจ “โรตีพิซซ่า” ของวิเชียร เขาขายทุกวันตั้งแต่เวลาบ่าย 3 โมงเป็นต้นไป โดยร้านอยู่ที่ปากซอยวัดชมภูเวก (ซอยนนทบุรี 33) ย่านสนามบินน้ำ นนทบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 08-5226-7124 หาร้านไม่เจอก็ลองโทรฯ ถามไถ่กันดู ซึ่งเจ้าตัวบอกมาด้วยว่า พร้อมจะสอนอาชีพนี้ให้สำหรับคนที่มีความตั้งใจจริง.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

‘ซองใส่มือถือ’ ไอเดียกวน ๆ แต่ทำเงิน

ความสำเร็จของสินค้างานแฮนด์เมด นอกจากรูปแบบต้องโดดเด่นสะดุดตาแล้ว การสร้างตราสินค้า หรือสร้างแบรนด์ ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะทำให้ลูกค้าจดจำสินค้าได้ ลูกค้าเกิดความคุ้นเคย และสนใจซื้อสินค้า อย่างเช่นสินค้า “ซองหนังใส่โทรศัพท์มือถือ” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...

“อุทิศ แก้วกาหลง” เจ้าของงานไอเดียชิ้นนี้ เล่าว่า หลังเรียนจบด้านรัฐศาสตร์ก็ไปทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศอยู่พักใหญ่ ต่อมารู้สึกว่าไม่ถนัดกับงานแบบนี้ ชอบงานอิสระ จึงตัดสินใจลาออกมาทำอาชีพค้าขายทั่วไป ก่อนจะหันมาทำโมเดลจำลองตัวการ์ตูนและหุ่นยนต์ขาย จนตอนหลังตลาดมีคู่แข่งอยู่มาก จึงคิดว่าน่าจะลองประดิษฐ์สินค้า ที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตนเองขึ้น จึงเริ่มทำพวงกุญแจตัวการ์ตูน โดยระยะแรกทดลองนำไปแจกให้กับเพื่อนฝูงและคนรู้จัก ปรากฏว่าหลายคนชอบ จึงคิดว่าน่าจะพัฒนามาเป็นสินค้าได้ จึงเริ่มทำจริงจังโดยวางจำหน่ายที่บริเวณหน้าห้างบิ๊กซี รามคำแหง ซึ่งเป็นทำเลประจำจนถึงปัจจุบัน

หลังจากทำพวงกุญแจ ต่อมาก็พัฒนามาเป็นตุ๊กตาสำหรับห้อยกับโทรศัพท์มือถือ และ “ซองหนังใส่โทรศัพท์มือถือ” โดยรูปแบบสินค้าจะเน้นที่ “ตัวการ์ตูนหน้าตากวน ๆ สีสันสดใส” เพราะ ตนเองชอบงานในรูปแบบนี้อยู่แล้ว ต่อมาคิดว่าในตลาดสินค้าแฮนด์เมด การลอกเลียนแบบหรือก๊อบปี้มีสูง จึงคิดว่าสินค้าก็น่าจะมี “ยี่ห้อ” เพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ จึงใช้ชื่อ “แขกดอย” ซึ่งเป็นคำผวนที่เพื่อนมักชอบเรียกชื่อเล่นของตน

“นอกจากลูกค้าจะจำสินค้าได้ ชื่อนี้ก็ใช้เป็นชื่อที่ทำให้ลูกค้าสนิทกับเราได้มากขึ้น เพราะชื่อสินค้าไปได้ดีกับรูปแบบสินค้าของเราที่เป็นตัวการ์ตูนกวน ๆ ก็ถือว่าได้ประโยชน์จากแบรนด์สองทาง” อุทิศบอก

สำหรับรูปแบบของชิ้นงานในปัจจุบันที่ทำจำหน่ายอยู่นั้น มีอยู่ 3 ชนิดคือ ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ พวงกุญแจ และซองโทรศัพท์มือถือ โดย ชนิดหลังลูกค้าให้การตอบรับเป็นพิเศษ เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มาก ทั้งใส่โทรศัพท์มือถือ ทั้งใส่เศษสตางค์ รวมถึงใส่ของกระจุกกระจิก ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ รูปแบบชิ้นงาน จึงเน้นสีสันฉูดฉาด ส่วนตัวการ์ตูนก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยจุดเด่นอยู่ที่รอยยิ้ม

ทุนเบื้องต้นของงานประเภทนี้ อยู่ที่ประมาณ 1,000 บาทขึ้นไป ส่วน ทุนวัสดุ อยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขาย ส่วนรายได้-ราคาขาย ต่ำสุดชิ้นละ 49 บาท ขึ้นไปจนถึงชิ้นละ 89 บาท ขึ้นกับขนาดและชนิดสินค้า

วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำ ประกอบด้วย เข็มกับด้ายสีสันต่าง ๆ, กระดุมสีขนาดต่าง ๆ สำหรับใช้ตกแต่งตัวการ์ตูน, สแตรปเปิ้ล (เครื่องเย็บกระดาษ), ดินสอ, ไม้บรรทัด, คีม, ฝากระป๋อง สำหรับใช้เป็นแม่พิมพ์ร่างแบบ, หนังเทียม สีสันต่าง ๆ, ห่วงสำหรับทำพวงกุญแจและร้อยเชือก, เชือกฝ้ายสำหรับสะพาย และหนังยางมัดผม

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากร่างแบบตัวการ์ตูนที่ออกแบบไว้ลงบนกระดาษแข็ง จากนั้นทำการตัดกระดาษตามแบบที่ร่างไว้เพื่อใช้เป็นแบบในการตัดหนังเทียม เพื่อขึ้นรูปเป็นตัวการ์ตูน นำแบบที่ได้มาทาบลงบนด้านหลังของหนังเทียม จากนั้นทำการลากเส้น และตัดขึ้นรูปตามแบบ ขั้นต่อไปให้นำส่วนประกอบที่ตัดขึ้นรูปไว้มายึดติดด้วยเครื่องยิงกระดาษเพื่อให้ชิ้นงานไม่ขยับขณะทำการเย็บ นำผ้าขาวมารองพื้นตรงบริเวณด้านหลังของหนัง เพื่อปิดบังไม่ให้เห็นรอยเย็บ ทำการเย็บขึ้นรูปเป็นตัวการ์ตูนโดยใช้กระดุมหรือด้ายเย็บเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามที่ออกแบบไว้

มีข้อแนะนำคือ ด้ายที่ใช้เย็บเป็นตัวการ์ตูนควรใช้เป็นสีเดียวกับหนังเทียมที่ขึ้นรูปเป็นส่วนลำตัว และการตัดแผ่นหนังที่จะใช้เป็นส่วนประกอบของซองโทรศัพท์ด้านหน้าและหลังนั้น ด้านหลังต้องวัดเผื่อความยาวจากด้านหน้าประมาณ 4 เซนติเมตร เพื่อที่จะพับเป็นฝาปิดซอง เมื่อได้แล้วให้ทำการกรีดหนังเทียมด้วยคัตเตอร์ที่ด้านหลังของซองโทรศัพท์ เพื่อให้เป็นที่ใส่ห่วงสำหรับร้อย

จากนั้นทำการเย็บประกบแผ่น หนัง และร้อยเชือกสำหรับสะพาย เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“รายได้ในปัจจุบัน นอกจากจะมีจากการผลิตสินค้าเพื่อวางขายที่หน้าร้านแล้ว ก็ยังมีรายได้เสริมอีกทางจากการรับผลิตงานตามแบบของลูกค้าที่สั่งทำพิเศษ เพื่อนำไปใช้เป็นของที่ระลึก ของชำร่วย ในงานแต่งงาน หรืองานอื่น ๆ อีกด้วย” เจ้าของงานกล่าว

อุทิศมีทำเลขายชิ้นงานไอเดีย รวมถึง “ซองหนังใส่โทรศัพท์มือถือ” ที่บริเวณด้านหน้าห้างบิ๊กซี สาขารามคำแหง โดยขายประจำทุกวันเวลา 20.00-22.00 น. ใครสนใจก็ลองแวะเวียนไปดูกันได้ หรือหากต้องการติดต่อกับอุทิศก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-5159-1191 08-5159-1191 หรือที่อีเมล kake252@hotmail.com.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รางาน

ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

'โคมไฟดินหอม' งานปั้น-งานหอมๆ ทำเงิน รวยไว


เครื่องปั้นดินเผา สินค้าหัตถกรรมประเภทงานปั้น แม้หลายคนจะมองว่าตลาดสินค้าประเภทนี้ค่อนข้างเติบโตน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ หากรู้จักพลิกแพลง-ต่อยอด-ผสมผสาน และรู้จักสร้างเอกลักษณ์เพิ่มมูลค่าให้สินค้า อย่างเช่นงาน “โคมไฟดินหอม” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” ไปพบเจอมา...

“พรรษา สิงโตแก้ว” เจ้าของงานดังกล่าวนี้ บอกว่า “โคมไฟดินหอม” นี้เริ่มมาจากความที่เป็นคนชอบงานปั้น เนื่องจากเติบโตมาในครอบครัวช่างปั้น ต่อมาเมื่อมาลงหลักปักฐานที่จังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่าในพื้นที่มีดินเหนียวคุณภาพดี จึงทดลองนำมาปั้นชิ้นงาน โดยแรก ๆ ตั้งใจจะทำเพื่อเป็นงานอดิเรก ต่อมาคิดว่าน่าจะส่งเสริมให้คนในพื้นที่ได้มีรายได้เสริมจากอาชีพเกษตรกรรม จึงเริ่มรวมตัวก่อตั้งกลุ่มผลิตงานปั้นเล็ก ๆ ขึ้น โดยเน้นที่ชิ้นงานปั้นรูปแบบง่าย ๆ เริ่มจากการปั้นตุ๊กตาดินเผา ก่อนจะพัฒนาแตกชนิดสินค้าเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันมีหลากหลาย อาทิ โมบายสำหรับแขวน ตะเกียงน้ำมันหอมระเหย บ้านดินเผาสำหรับนก เป็นต้น

สำหรับโคมไฟดินหอม หรืออีกชื่อ “โคมไฟอารมณ์ดิน” นั้น เกิดขึ้นเพราะต้องการต่อยอดนำวัสดุ และส่วนประกอบที่มีอยู่แล้วจากการปั้น คือส่วนประกอบที่ปั้นเป็นลูกปัดสำหรับทำโมบายแขวน มาผสมผสานเข้ากับงานโคมไฟ และงานตะเกียงน้ำมันหอมระเหย เพื่อให้เกิดเป็นสินค้าชนิดใหม่ โดยอาศัยดวงไฟจากโคมไฟเป็นตัวทำให้เกิดความร้อนกับน้ำมันหอมระเหย ทั้งยังสามารถให้แสงสว่างในรูปแบบโคมไฟอีกด้วย

ถือเป็นการต่อยอดสินค้าที่เพิ่มเงินลงทุนไม่มาก

อีกจุดขายที่ใช้ “เพิ่มมูลค่า” ก็คือ “รูปแบบของงานที่ไม่ซ้ำกัน” เนื่องจากงานปั้นที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะผลิตด้วยมือทุกชิ้น ไม่มีแม่พิมพ์ ดังนั้นรูปแบบและลวดลายจึงไม่ซ้ำกัน...

“เรามองว่าเป็นการต่อยอดโดยที่แรงงานในกลุ่มของเราไม่ต้องสร้างเนื้องานเพิ่มมาก เพราะงานปั้นลูกปัดก็ทำเพื่อผลิตเป็นโมบายอยู่แล้ว ที่จะเพิ่มเข้ามาก็คืองานส่วนโครงสร้างของโคมไฟ” เจ้าของงานกล่าวสำหรับตลาดของสินค้า พรรษาบอกว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่ บ้านคุ้มวิมานดิน ของเธอ เนื่องจากไม่ได้ขายผ่านคนกลาง แต่อาศัยเปิดร้านอยู่กับบ้าน และจำหน่ายผ่านทางหน้าเว็บไซต์ www.koomwimarndin. com เท่านั้น

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ เจ้าของงานบอกว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าเครื่องมือและอุปกรณ์ในงานปั้น ส่วนทุนวัตถุดิบต่อชิ้นอยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขาย โดยราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ 500 บาท ไปจนถึง 4,000 บาท ซึ่งโคมไฟจะมีทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำโคมไฟดินหอม ประกอบด้วย เตาสำหรับเผา (สามารถใช้ได้ทั้งแบบแก๊สและไฟฟ้า), ดินเหนียว, เศษฟางและแกลบ สำหรับผสมดิน, ไม้สำเร็จรูป สำหรับทำโครงโคมไฟ, เอ็น ไนลอนหรือเชือก สำหรับร้อยลูกปัด, ตะเกียงน้ำมันหอมระเหย, ชุดหลอดไฟสำเร็จรูป และเครื่องมือสำหรับตกแต่งดินเผา อาทิ เกรียง มีดแกะสลัก พู่กัน

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการเตรียมดินเหนียวสำหรับปั้น โดยดินเหนียวที่ใช้จะเป็นดินที่อยู่ลึกลงไปประมาณ 50 เซนติเมตร เมื่อได้ดินเหนียวจำนวนที่ต้องการแล้วก็นำมาผึ่งแดดเพื่อให้ดินแตกตัวเป็นชิ้นเล็ก จากนั้นนำดินที่แตกตัวแล้วมาแช่น้ำทิ้งไว้ให้ดินตกตะกอน

เมื่อดินตกตะกอนแล้วให้เทน้ำทิ้ง นำส่วนผสมสำหรับผสมดินในงานปั้นใส่ลงไป อาทิ ทราย, แกลบ, ฟาง จากนั้นคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันกับเนื้อดิน ทำการนวดดินให้เป็นเนื้อเดียวกันจนได้อาการดิน หรือมีความเหนียวพอเหมาะสำหรับการปั้น แล้วก็เริ่มลงมือปั้นเป็นลูกปัดสำหรับร้อยตามรูปแบบที่ต้องการ โดยต้องเจาะรูสำหรับร้อยเชือกและเอ็นไว้ด้วยก่อนที่จะนำเข้าเตาเผา

จากนั้นนำส่วนประกอบต่าง ๆ เข้าเผาในเตาเผาที่ความร้อนไม่ต่ำกว่า 900 องศาเซลเซียส โดยใช้เวลาในการเผาประมาณ 10 ชั่วโมง จึงนำออกมาทิ้งไว้ให้ดินเผาเย็นตัวประมาณ 1 วัน

เมื่อดินเผาเย็นตัวลงแล้วก็นำมาร้อยเข้าด้วยกันด้วยเอ็นไนลอนหรือเชือกสำหรับร้อยลูกปัด เมื่อร้อยได้จำนวนที่ต้องการแล้วจึงนำมาประกอบเข้ากับตัวโคมไฟที่ทำการติดตั้งชุดไฟสำเร็จรูปไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อประกอบเสร็จก็ตกแต่งตามต้องการ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำโคมไฟดินหอม

“วิธีการไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน เรียนรู้ไม่นานก็สามารถทำได้ แต่ทุก ๆ ขั้นตอนจำเป็นต้องใช้เวลาและอาศัยฝีมือบวกกับความตั้งใจของคนปั้นเป็นสำคัญ ผลงานถึงจะออกมาสวยงาม” เจ้าของงานระบุ

ใครสนใจชิ้นงาน “โคมไฟดินหอม” นี้ติดต่อได้ที่ คุ้มวิมานดิน เลขที่ 121/1 หมู่ 3 ต.คลองเขื่อน อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา โทร.08-2255-9807, 08-7825-1338 08-7825-1338, 08-1866-8700 08-1866-8700 หรือที่อีเมล info@koomwimarn din.com ใครที่สนใจอยากจะเรียนรู้งานปั้นดินเผาก็ลองสอบถามกันดู.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน

ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

กล่องรับซองจดหมาย สร้างอาชีพ ทำเงิน


งานกระดาษ-ทำเงินงานมงคล

“ช่องทางทำกิน” เคยนำเสนอผลงานที่เกี่ยวกับงานกระดาษหรืองาน “เปเปอร์มาเช่” ไปหลายหน แต่ก็ยังมีคนค้นคิดและดัดแปลงผลิตภัณฑ์แนวนี้ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่างานแนวนี้ยังไม่ถึงทางตัน อย่างเช่นงาน “กล่องรับซอง” ที่มีกลุ่มลูกค้าคือผู้ที่จัดงานมงคล โดยเฉพาะงานวิวาห์...

“ชลดิส ชุณหโสภาค” เจ้าของงานเล่าว่า เคยทำงานเป็นพนักงานประจำตลาดหลักทรัพย์ เพราะเรียนจบมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ โดยยึดอาชีพดังกล่าวมานานกว่า 12 ปีจนรู้สึกอิ่มตัว จึงวางแผนที่จะออกมาจับธุรกิจสักประเภทเพื่อรองรับชีวิตในอนาคต จังหวะที่กำลังมองหาอยู่นั้นได้มีโอกาสได้ไปเห็นงานรูปแบบ “เปเปอร์มาเช่” เข้าก็เกิดความสนใจ จึงใช้เวลาว่างจากงานประจำไปอบรมและฝึกหัดทำ

เมื่อมีความชำนาญมากขึ้น ภายหลังจึงคิดว่าน่าจะถึงเวลาออกมาทำตามที่ตั้งใจเสียที จึงตัดสินใจออกมาผลิตงานแนวนี้เพื่อจำหน่ายตั้งแต่ปี 2544 โดยตอนแรกมีหน้าร้านวางจำหน่ายสินค้าที่สวนลุมไนท์บาซาร์ ภายหลังสัญญาเช่าสิ้นสุดลง จึงตัดสินใจไม่ทำร้าน แล้วหันมาสร้างเว็บไซต์ของตนเองขึ้น พร้อมเปลี่ยนมาผลิตงานแนวเวดดิ้ง ผลิต “กล่องรับซอง” ในงานแต่งงาน จับตลาดงานเวดดิ้ง และคู่รัก

“ตอนแรกลูกค้าจะเป็นนักท่องเที่ยว เพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็นของที่ระลึก ตอนหลังมองว่าตลาดกลุ่มนี้มีความผันผวน มีความเสี่ยงจากปัจจัยแวดล้อมสูง และกระทบกับ ยอดขายได้ง่าย จึงมองหาตลาดใหม่ที่มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดแรก โดยมาสรุปที่ตลาดเวดดิ้งหรือลูกค้าคู่รักที่กำลังจะแต่งงาน” ชลดิสกล่าว

ข้อดีของตลาดลูกค้ากลุ่มนี้ เขาระบุว่า ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ก็จะไม่ผันผวนตามสถานการณ์เหมือนกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มักจะมีผลกระทบขึ้นลงตามสภาพเศรษฐกิจและการเมือง ข้อดีประการต่อมาคือ โอกาสคิดงานไม่ออกหรือถึงทางตันมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนออกแบบและคิดงานให้ทำ เนื่องจากคู่รักแต่ละคู่ก็อยากจะได้สิ่งของที่ไม่เหมือนใคร หรือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

“ลูกค้าจะมีเรื่องราวหรือมีคอนเซปต์ที่เขาคิดมาไว้ก่อนแล้ว เรามีหน้าที่แนะนำและจัดทำสินค้าตามความคิดของเขา ขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่าง จึงพูดได้เลยว่าโอกาสตันเกิดขึ้นได้น้อยมาก” เจ้าของงานระบุ

วัสดุ-อุปกรณ์ในการทำชิ้นงาน ประกอบด้วย ดินเหนียว (ใช้ขึ้นรูปชิ้นงาน), ปูนปลาส เตอร์ (สำหรับหล่อโมลหรือแม่พิมพ์), เกรียงปาด, กระดาษหนังสือพิมพ์เก่า, กระดาษแข็ง, แป้งข้าวเจ้า (สำหรับทำกาว), สีน้ำทาบ้าน, น้ำยาเคลือบมัน (ใช้ 2 สูตร คือสูตรน้ำกับสูตรยูริเทน) และที่เหลือก็เป็นพวกวัสดุตกแต่งตามต้องการ

ทุนเบื้องต้นอาชีพ ลงทุนประมาณ 5,000 บาท ส่วนทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 40% จาก ราคาขาย โดยราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ชิ้นละ 600 บาท ไปจนถึงสูงสุด 4,500 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุตกแต่งที่จะต้องนำมาใช้ โดยการสั่งทำผลงานแต่ละชิ้นจะใช้เวลาในการทำประมาณ 3 สัปดาห์ หรือขึ้นอยู่กับแบบและความยากง่าย

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำแบบที่ต้องทำมาขึ้นรูปด้วยดินเหนียว โดยนำดินเหนียวมาปั้นขึ้นเป็นรูปทรงตามที่ได้ออกแบบไว้ เมื่อขึ้นจนเป็น รูปทรงที่ต้องการแล้ว ให้เทปูนปลาสเตอร์ที่ผสมรอไว้มาเทขึ้นรูปกับดิน เหนียวที่ปั้นไว้ จากนั้นตั้งทิ้งไว้จนแห้ง จึงกะเทาะออก ก็จะได้แม่พิมพ์สำหรับการแปะกระดาษ

ระหว่างนั้นก็ทำการเตรียมกระดาษที่จะใช้หุ้มชิ้นงาน ด้วยการฉีกกระดาษแช่น้ำไว้

เมื่อได้แม่พิมพ์แล้วก็ให้นำกระดาษที่เตรียมไว้มาทำการแปะและหุ้มให้รอบแม่พิมพ์ โดยการหุ้มให้เริ่มจากการหุ้มด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ก่อน จากนั้นจึงนำกระดาษแข็งสีขาวที่เตรียมไว้มาค่อย ๆ หุ้มทับอีกชั้นหนึ่ง

สาเหตุที่ใช้กระดาษแข็งสีขาวแปะที่ชั้นนอกนั้น เจ้าของผลงาน กล่าวว่า จะช่วยทำให้พื้นผิวของชิ้นงานดูเนียนเรียบเสมอกัน และทำให้สีสันของชิ้นงานสม่ำเสมอ มีสีสันสดใส ชัดเจน ไม่เป็นรอยด่าง

เมื่อหุ้มกระดาษจนครบสมบูรณ์แล้ว ก็นำไปตากแดดทิ้งไว้ให้แห้ง โดยใช้เวลาประมาณ 1 วัน เมื่อชิ้นงานแห้งสนิทดีแล้วก็นำมาทำการลงสี วาดลวดลายตามที่ออกแบบไว้ ปล่อยทิ้งจนสีแห้ง จากนั้นจึงทำการลงน้ำยาเคลือบผิวมัน โดยใช้สูตรน้ำก่อน แล้วถึงค่อยลงน้ำยาสูตรยูริเทน เพื่อไม่ให้เกิดกรณีน้ำยาเคลือบผิวกัดผิวชิ้นงาน เมื่อเคลือบจนเสร็จก็ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ทำการตกแต่งด้วยวัสดุตกแต่ง เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“จุดเด่นของเราคือ นอกจากจะเน้นที่ตัวชิ้นงานเปเปอร์มาเช่แล้ว รอบ ๆ เราก็ยังเน้นการตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศด้วย ซึ่งกระแสตอบรับที่ได้กลับมาค่อนข้างดี นอกจากงานแต่งแล้วก็ยังมีลูกค้าประเภท อีเวนต์ที่สั่งทำชิ้นงานเพื่อนำไปตั้งโชว์เพื่อดึงดูดลูกค้า ณ จุดขายอีกด้วย” เจ้าของงานกล่าว

สนใจ “งานกระดาษ” เปเปอร์มาเช่ ที่ทำเป็น “กล่องรับซอง” ของชลดิส ติดต่อได้ที่ โทร.08-7593-0719 หรือดูในเว็บไซต์ www.pantipmarket.com/ mall/cjhandmade ส่วนใครที่สนใจอยากจะรู้วิธีทำมากกว่านี้ ก็ลองสอบถามจากเจ้าของงานโดยตรงได้เลย !!.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน

ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

พลิกแพลงซาลาเปา..ไส้แกง

พลิกแพลงสร้างจุดขายที่ไม่เหมือนใครซาลาเปาไส้แกงจ้า

“ซาลาเปา” ยุคนี้มีการพัฒนาพลิกแพลงให้แปลกใหม่หลากหลาย ทั้งรูปร่างหน้าตา รวมถึง “ไส้แปลก ๆ” ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็จะเสนอข้อมูลการทำอาชีพขายซาลาเปาที่มีไส้ใหม่ ๆ น่าสนใจ...

ศิริพรรณ อตัญธี อายุ 43 ปี เจ้าของร้าน “บ้านซาลาเปา” ย่านรังสิต ซึ่งทำซาลาเปาขายมากว่า 10 ปี เล่าว่า อาชีพเดิมคือพนักงานออฟฟิศ เมื่อช่วง พ.ศ. 2543 ต้องตกงาน เพราะพิษเศรษฐกิจ ต้อง ออกจากงาน แต่โชคดีที่สามีมีอาชีพเป็นกุ๊กที่ภัตตาคารห้อยเทียนเหลา จึงได้ออกมาทำซาลาเปาขายแบบเล็ก ๆ ที่บ้าน

ระยะแรกเริ่มต้นจาก 3 ไส้ก่อนคือ ซาลาเปาไส้หมูแดง, ซาลาเปาไส้หมูสับ, ซาลาเปาไส้ครีม ทำแล้วนำไปฝากขายตามสถานที่ต่าง ๆ จากนั้นก็พัฒนาอาชีพให้เติบโตมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันซาลาเปาที่ทำขายมีมากกว่า 10 ไส้ ประยุกต์ พัฒนา พลิกแพลงมาเรื่อย ๆ ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป

ซาลาเปาไส้เขียวหวานไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้กะเพราไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้พะแนงหมูไข่เค็ม เป็น 3 ในกว่า 10 ไส้ที่ศิริพรรณทำขายอยู่ และได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เพราะคนไทยกินข้าวแกงประจำ จึงคิดทำ ซาลาเปาที่มีรสแกงออกมาขาย ทดลองทำอยู่ไม่นานก็ทำได้ และขายดีด้วย

วิธีทำซาลาเปาไส้แกงต่าง ๆ ศิริพรรณอธิบายว่า ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มที่แป้ง ตามสูตรก็เตรียมแป้งสาลี 12 กก., เชื้อ 1 กก. (เชื้อนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการหมักแป้งสาลีประมาณ 2 กำมือกับน้ำพอประมาณ นวดแล้ว ทิ้งไว้ 2-3 วัน เมื่อจะนำมาขึ้นเชื้อใหม่ ให้นวดแป้งสาลีกับน้ำในปริมาณที่ต้องการใช้ แล้วนำมาผสมกับปริมาณแป้งที่จะใช้ในแต่ละวัน เชื้อแป้งนี้อย่าใช้จนหมด ต้องแบ่งบางส่วนไว้ใช้ในคราวต่อไปด้วย เพราะถ้าใช้หมดต้องเสียเวลาหมักแป้งใหม่ ซึ่งอาจทำได้ไม่เหมือนครั้งแรก หรือจะแก้ปัญหาด้วยการไปขอเชื้อจากภัตตาคารที่ขายซาลาเปาก็ได้), น้ำตาลทราย 12 กก., แอมโมเนีย 1 ช้อนชา., ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ., น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะ, นมสด 12 กระป๋อง

ในส่วนของแป้งนี้ วิธีทำคือนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันให้เนียน โดยที่แป้งไม่ติดมือ จากนั้นใส่น้ำประมาณ 12 ถ้วย แล้วนวดจนเนียนอีก 20 นาที จากนั้นค่อย ๆ แบ่งแป้งออกเป็นก้อน ก้อนละ 40 กรัม เตรียมไว้

สำหรับสูตรแป้งที่ว่ามานี้จะทำซาลาเปาได้ประมาณ 30-32 ลูก

ต่อด้วยวิธีการทำ ไส้เริ่มที่ “ซาลาเปาเขียวหวานไก่ไข่เค็ม” มีส่วนผสมของไส้คือ เนื้อไก่สับ 1 กก., พริกแกงเผ็ดเขียวหวาน 2 ช้อนโต๊ะ, กะทิ 1 กล่อง, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เข้ากัน ใส่แป้งข้าวโพดลงไปพอประมาณ นวดให้เข้ากันจนเหนียว จากนั้นใส่ใบโหระพาลงไป แล้วค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง

ถัดมา “ซาลาเปาพะแนงหมูไข่เค็ม” มีส่วนผสมคือ เนื้อหมู 1 กก., เครื่องแกงพะแนง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, ใบมะกรูดหั่นฝอย ผสมส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นจึงค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง

ส่วน “ซาลาเปากระเพราหมูไข่เค็ม” ใช้หมูสับ 1 กก., กระเทียมสับ และพริกขี้หนูบด 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ และใบกะเพราพอประมาณ วิธีทำก็นำส่วนผสมมาคลุกผสมให้ เข้ากัน จากนั้นจึงนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง การห่อแป้งหุ้มไส้ต่าง ๆ นั้น เวลาจะห่อไส้ก็ให้แผ่แป้งออกขนาดประมาณฝ่ามือ ใส่ไส้ลงไปพอประมาณ แล้วจึงห่อแป้งหุ้มให้แน่น จับจีบด้านบนให้สวยงาม แล้ววางบนกระดาษ จากนั้นนำไปนึ่งประมาณ 12-15 นาที

ซาลาเปาทั้ง 3 ไส้นี้ขายได้ในราคาลูกละ 15 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 60-70% ของราคา

สนใจ “ซาลาเปาไส้แกง” ต้องการติดต่อ ศิริพรรณ อตัญธี ร้านของเธออยู่ที่ 35 ซอยบงกช 30 หมู่ 2 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 โทร.0-2901-8369, 08-9925-6312 หรือดูใน www.bansalapao.com ซึ่งเจ้าของอาชีพขายซาลาเปารายนี้ต้องถือว่าพลิกแพลงได้น่าสนใจไม่น้อย.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน/ จเร รัตนราตรี : ภาพ
หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

'ทอลูกปัด' งานเสริม 'ขายไอเดีย-ราคาดี' รวย

งานประดิษฐ์หลายชิ้นต้องยอมรับว่าเมื่อได้เห็นแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ เพราะนอกจากจะสวยงามแล้วยังแสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของคนทำเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าที่ได้รับกลับมาก็เรียกได้ว่า...หายเหนื่อย อย่างเช่นงาน “ทอลูกปัด” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...อาชีพเสริม

มณี แถววงษ์ เจ้าของงาน “ทอลูกปัด” เล่าว่า เคยประกอบอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวมาก่อน ภายหลังแต่งงานมีครอบครัวก็เลยเปลี่ยนงาน หันมาสนใจงานประดิดประดอย อาศัยเวลาว่างไปอบรมหาความรู้เกี่ยวกับการ ประดิษฐ์งานฝีมือตลอดเวลา จนมาสะดุดใจกับงานทอลูกปัดนี้เข้า โดยได้เห็นรูปแบบมาจากงานทอลูกปัดยุคโบราณ คิดว่าสวยดี จึงหันมาศึกษาขั้นตอนการทำงานทอลูกปัดนี้อย่างจริงจัง โดยนำมาประยุกต์ให้เข้ากับจินตนาการของตนเอง จนเกิดเป็นลวดลายต่าง ๆ ขึ้น โดยปัจจุบันทำงานนี้มาได้กว่า 20 ปีแล้ว

“รูปแบบคือการผสมผสานเทคนิคระหว่างงานทอผ้าผนวกกับงานร้อยลูกปัด โดยจะเน้นผลิตเป็นชิ้นงานหรือเป็นภาพ โดยลูกค้าสามารถซื้อแล้วนำไปประดับกับสินค้า อื่น ๆ หรือใช้เป็นของตกแต่ง”

การทอลูกปัดนั้น มณีบอกว่า สามารถดัดแปลงให้เป็นชิ้นงานได้หลากหลาย เช่น สร้อยข้อมือ สร้อยคอ กระเป๋าใส่ของกระจุกกระจิก ฯลฯ ตามแต่จินตนาการของคนทำ โดยสินค้าของมณีและกลุ่มงานทอลูกปัด ราคาขายเริ่มต้นที่ชิ้นละ 900 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาด รูปแบบ และความยากง่ายของสินค้า

สำหรับความแตกต่างระหว่างงานร้อยลูกปัดกับงานทอลูกปัดนั้น เจ้าของงานบอกว่า งานทอลูกปัดจะใช้เวลาและความอดทนในการทำมากกว่า เพราะแต่ละขั้นตอนจำเป็นต้องอาศัยความประณีต เหมือนกับการทอผ้า แต่แลกมาด้วยความสวยงามของลวดลายที่จะละเอียดกว่า และสามารถสร้างสรรค์ลวดลายได้มากมาย

“ลวดลายที่ทำเริ่มจากลายง่าย ๆ เช่น ลายดอกไม้ ที่เป็นลายพื้นฐาน ไปจนถึงลายที่ยากขึ้น อย่างลายไทย ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ซื้อไปเพื่อเป็นของตกแต่งและของประดับ โดยมีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ”

ทุนเบื้องต้น ใช้เงินลงทุนไม่มาก อยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคาขาย เพราะใช้วัสดุในการทำไม่มาก แต่ใช้เวลามาก โดยอุปกรณ์ที่จำเป็นในงานทอลูกปัด ได้แก่ เครื่องหรือกี่สำหรับทอลูกปัด, ด้าย-เข็ม สำหรับร้อยลูกปัด, ลูกปัด, กรรไกร-คัตเตอร์ และอุปกรณ์สำหรับตกแต่ง อื่น ๆ

ขั้นตอน การทำ เริ่มจากการขึงเส้นด้าย เพื่อทอเครื่องประดับที่มีความยาวไม่มากเกิน ความยาวของเครื่องทอ เช่น จี้ เข็มกลัด หรือสร้อยข้อมือ โดยขึงเส้นด้ายวนอ้อมหมุดไปมาทั้งสองด้าน จนได้จำนวนเส้นด้ายแนวตั้งครบตามที่ต้องการ โดยหมุนแกนให้หมุดทำมุม 45 องศาทั้ง 2 ด้าน แล้วหมุนตัวล็อกเพื่อยึดให้แน่น

จากนั้นยึดปลายเส้นด้ายด้วยสก๊อตเทปแล้วพันรอบหมุดประมาณ 3 รอบ โดยขึงเส้นด้ายไปยังหมุดอีกด้าน ให้เส้นด้ายผ่านร่องสปริงทั้ง 2 ด้านแล้วพันวกกลับ โดยอ้อมผ่านหมุดและพันพาดไปมาทีละเส้นโดยให้แต่ละเส้นขนานกัน โดยอยู่เรียงกันในร่องสปริง และถูกตรึงโดยหมุดทั้ง 2 ด้าน
เมื่อขึงจนครบจำนวนเส้นที่ต้องการ ให้พันปลายเส้นด้ายรอบหมุด 3 รอบ ยึดปลายด้ายด้วยสก๊อตเทป ปรับเส้นด้ายที่ขึงให้ตึง โดยหมุนตัวล็อกให้แกนไม้บิดลงเล็กน้อย

ต่อมาเป็นขั้นตอนการทอ เริ่มจากการร้อยลูกปัดด้วยเข็มและด้าย โดยใช้สีและจำนวนตามที่แบบกำหนด ในแต่ละแถวดันให้ลูกปัดแต่ละเม็ดแทรกขึ้นมาระหว่างเส้นด้ายที่ขึงในแนวตั้ง แล้วสอดก้นเข็มผ่านรูลูกปัดทั้งแถวเพื่อให้ลูกปัดเรียงเป็นแถวตรง ทอเช่นนี้ไปทีละแถวตามแบบ จนได้ชิ้นงานที่ต้องการ

เจ้าของผลงานบอกว่า สีของเส้นด้ายที่ใช้ขึงแนวตั้งและทอในแนวนอน ควรใช้สีเดียวกัน ซึ่งสีของเส้นด้ายที่ใช้ควรใกล้เคียงกับสีพื้นของลูกปัดในชิ้นงาน และเพื่อความแน่นหนา เมื่อร้อยด้ายย้อนผ่านรูลูกปัดในแถวแรกแล้ว ควรผูกเส้นด้ายแนวนอนกับปลายเส้นด้ายที่เหลือไว้ในตอนแรก

“แม้จากขั้นตอนการทำที่ว่ามาจะฟังดูยาก แต่ถ้าหากได้ทดลองทำจริง ๆ ฝึกฝนจนชำนาญไประยะหนึ่ง ก็จะเริ่มเข้าใจ และจะเริ่มสนุกขึ้น อาชีพนี้ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ มีตลาดแน่นอน เพราะลูกค้ามีมากกว่าคนผลิต อีกทั้งเป็นงานฝีมือที่ในตลาดยังมีคู่แข่งขันน้อย” เจ้าของงานกล่าวทิ้งท้าย

สนใจติดต่อ กลุ่มงานทอลูกปัด ติดต่อได้ที่เลขที่ 59/34 หมู่บ้านเสนานิเวศน์ โครงการ 2 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ โทร. 08-1269-8832 ใครสนใจอยากจะฝึกทำ ก็ลองสอบถามกันโดยตรง.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน / จเร รัตนราตรี : ภาพ
ขอบคุณที่มา http://www.dailynews.co.th

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ของฝากสร้างอาชีพ 'ลูกหยีกวน'


“ลูกหยี” เป็นหนึ่งในของฝากที่ขึ้นชื่อของปักษ์ใต้ เป็นผลไม้พื้นเมืองของภาคใต้ รับประทานได้เมื่อสุก ตอนเป็นผลดิบจะมีสีเขียว เมื่อสุกเปลือกสีดำ เนื้อในสีน้ำตาล รสหวานอมเปรี้ยว ถ้ากินสุก ๆ เพียงแกะเปลือกสีดำออกก็รับประทานได้แล้ว แต่ถ้าอยากเพิ่มความอร่อยก็นำมาปรุงรสแปรรูปในลักษณะต่าง ๆ เช่นทำเป็น “ลูกหยีกวน” ซึ่งทางทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลในเชิงอาชีพมานำเสนอให้พิจารณากัน...

อาจารย์สาลี ชนะสิทธิ์ วัย 60 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมพัทลุงวิทยา ในฐานะทายาทผู้สืบทอดธุรกิจ “ลูกหยีแม่หนูดำ” เล่าให้ฟังถึงที่มาของธุรกิจนี้ว่า เจ้าของสูตรที่แท้จริงคือ คุณป้าหนูดำ เยาวนานนท์
ซึ่งเป็นป้าแท้ ๆ ที่ยึดอาชีพนี้มากว่า 50 ปี สมัยเด็ก ๆ อาจารย์จะคอยเป็นลูกมือแกะลูกหยี ทำโน่นทำนี่ให้คุณป้าเสมอ จนทำให้ซึมซับเคล็ดลับและวิธีการแปรรูปลูกหยีเรื่อยมา

“สมัยนั้นทำกันเฉพาะในครัวเรือน วางขายหน้าบ้าน ซึ่งได้รับความนิยมมาก มีลูกค้าขาประจำทั้งในจังหวัดพัทลุงและใกล้เคียงมาอุดหนุน ทำกันเรื่อยมาจนกระทั่งท่านอายุมาก บวกกับร่างกายไม่แข็งแรง แต่อยากให้อาชีพนี้ตกทอดเป็นมรดกของคนในครอบครัว ในฐานะหลานสาวที่คลุกคลีกับการทำลูกหยีมาตลอด เรายินดีที่จะสืบถอดธุรกิจนี้ และเริ่มทำอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 จนปัจจุบัน”

และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และรักษามาตรฐานผลิตภัณฑ์ อาจารย์สาลียังได้ต่อยอดสินค้า ด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้คุณภาพ จนผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) พัฒนาสินค้าจนได้รับเลือกเป็นสินค้าโอทอประดับ 5 ดาว เป็นสินค้าเด่นประจำจังหวัดพัทลุง อีกทั้งยังปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยเหมาะจะซื้อเป็นของฝากอีด้วย
เคล็ดลับความอร่อยของ “ลูกหยีกวน” อาจารย์สาลีบอกว่าอยู่ที่ประสบการณ์การปรุงรส ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งสูตรจะไม่กำหนดเป็นอัตราส่วนตายตัว เพราะลูกหยีสดที่รับซื้อมาแต่ละปีรสชาติจะต่างกัน หวานบ้างเปรี้ยวบ้าง ดังนั้น สูตรการปรุงรสจะเกิดจากความคุ้นเคย การทำทุกครั้งจะต้องชิมและปรุงรสให้ได้ที่

วัตถุดิบ/ส่วนผสม ประกอบด้วย ลูกหยีสด, แบะแซ, น้ำผึ้งรวง, เกลือ, น้ำตาลทราย, พริกขี้หนูป่น และน้ำสะอาด ส่วนอุปกรณ์ก็มีอาทิ เครื่องกะเทาะเปลือกและเม็ดลูกหยี (หรือใช้ถุงผ้าก็ได้), กระทะ, เตาแก๊ส, ตะหลิว, ไม้พาย, ถาด, กระด้ง และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หยิบฉวยเอาได้จากในครัวเรือน

ขั้นตอนการทำ “ลูกหยีกวน” เริ่มจากนำลูกหยีสดไปตากแดดประมาณ 2 วัน แล้วก็กะเทาะเอาเปลือกและเมล็ดออก ถ้าไม่มีเครื่องกะเทาะก็ให้นำลูกหยีที่ตากได้ที่แล้วมาใส่ในถุงผ้าที่เตรียมไว้ แล้วทำการฟาดหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เปลือกแตก เสร็จแล้วก็เทลูกหยีใส่กระด้ง ทำการร่อนเอาเปลือกออก ถ้ามีเศษเปลือกติดค้างต้องแกะให้เกลี้ยง ก่อนจะทำการแกะเมล็ดออก แล้วนำลูกหยีไปเกลี่ยในกระด้งให้ทั่ว นำออกตากแดดอีก 2 วัน แล้วนำลูกหยีที่ตากแดดแห้งดีแล้วเก็บใส่ถุงมัดปากให้ดี ตั้งพักไว้

ต่อไปเป็นขั้นตอนการทำน้ำเชื่อม นำน้ำสะอาด น้ำผึ้งรวง แบะแซ น้ำตาลทราย เกลือ และพริกขี้หนูป่น ใส่ลงในกระทะพร้อมกัน ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวประมาณ 10 นาที จนเป็นน้ำเชื่อมเหนียวเข้มข้น

เมื่อเคี่ยวน้ำเชื่อมได้ที่ดีแล้ว ก็นำลูกหยีที่เตรียมไว้ใส่ลงในกระทะน้ำเชื่อม ทำการคนคลุกเคล้าให้เข้ากัน ยกลง พอเริ่มอุ่น ๆ ก็นำไปปั้นเป็นเม็ดกลม ๆ พอดีคำ แล้วนำไปตากแดดอีกประมาณ 20 นาที จากนั้นห่อด้วยกระดาษ และใส่ลงบรรจุภัณฑ์ พร้อมจำหน่าย โดยสามารถเก็บไว้ได้นานถึงประมาณ 3 เดือน

สินค้าของอาจารย์สาลีมีให้เลือก 3 ประเภทคือ ลูกหยีกวน ลูกหยีสด ลูกหยีทรงเครื่อง ราคาขายแตกต่างกันไปตามขนาด และบรรจุภัณฑ์ แต่เฉลี่ยอยู่ที่ขีดละ 40 บาท มีต้นทุนประมาณ 70%

ร้านลูกหยีแม่หนูดำ อยู่ที่เลขที่ 52/2 ถ.ประชาบาล ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง, ที่สนามบินหาดใหญ่ และโซนโอทอป ห้างเทสโก้โลตัส สาขาพัทลุง ส่วนในกรุงเทพฯมีขายที่ร้านโครงการหลวง ใกล้โรงพยาบาลศิริราช และมีบริการส่งสินค้าทางไปรษณีย์ทั่วประเทศด้วย ใครต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ต้องการสั่งซื้อ ต้องการสั่งไปจำหน่ายต่อ ติดต่อที่ โทร.0-7462-6414 หรือ 08-6627-0867
เชาวลี ชุมขำ :รายงาน
ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

‘ดวงอาชีพ’ คนปีเสือ-ธาตุทอง


นักษัตรใด...ใครชง-ใครฉลุย??

ปิดศักราชใหม่ ปีขาล-ปีเสือ พ.ศ.2553 “ช่องทางทำกิน” นำร่องสำหรับปีนี้ทางทีมงานจะนำเสนอ “ดวงอาชีพรายปีนักษัตร” โดยการพยากรณ์ตามหลักโหราศาสตร์จีน โดย ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย ซึ่งท่านที่เกิดปีนักษัตรใดจะเป็นปีชง เป็นปีฉลุย มาดูกัน.....

ผู้ที่เกิด ‘ปีชวด’ ทุกรอบอายุ

โดยส่วนใหญ่ในปี 2553 นี้จะแผ่วพลังลงไปเรื่อย ๆ การทำอาชีพ ทำธุรกิจ ถ้าจะให้เกิดความสำเร็จมักจะต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยตัวเอง ผู้หลักผู้ใหญ่ บริวารไม่ค่อยเกื้อหนุนนัก ก็ควรทำอะไรตามกำลัง อย่าไปลุยเสี่ยงอะไรที่เกินตัว เกินกำลังความสามารถมากนัก เพราะอาจไม่ได้ดั่งใจ แต่ถ้าทำพอดีตัว มีการเตรียมพร้อม ไม่ว่ากำลังคน กำลังทรัพย์ กำลังความคิด มีการเตรียมพร้อมที่จะแก้ไขปัญหา จะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาไปได้ด้วยดี สามารถก้าวสู่เป้าหมายได้ในระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ก็อาจไม่คล่องตัวเหมือนช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ยังคงมีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ก็ควรวางระบบการเงินให้ดี ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นทิ้งไป สำหรับการหวังผลในระยะยาวก็มีโอกาสสมหวังใน 2 ปีข้างหน้า ปี 2555 ซึ่งเป็นปีมะโรง แต่ก็ต้องฟันฝ่าปีหน้าที่โหดมันฮาไปให้ได้เสียก่อน

ผู้ที่เกิด ‘ปีฉลู’ ทุกรอบอายุ

เจอปีที่ไม่เกื้อหนุน จะประกอบธุรกิจ ทำอาชีพอะไร ต้องอดทนใจเย็นและมานะพยายามกว่าเดิมเป็นสองเท่าตัว ต้องเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดจึงจะก้าวสู่เป้าหมายได้ อย่าประมาทในทุกเรื่องเพราะมักจะมีปัญหาถาโถมให้ต้องแก้ไขอยู่ตลอด คนที่ทำงานกินเงินเดือนประจำก็จะมีพื้นฐานดวงในทำนองเดียวกัน เรื่องการเงินควรจัดระบบให้อยู่ในกรอบความพอดี ควรจัดก๊อกสำรองไว้ในยามจำเป็นฉุกเฉินด้วย จะมีค่าใช้จ่ายนอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงทางการเงินควรเบรก เพราะจะไม่คุ้มกับที่เสียไป อย่างไรก็ตาม แม้ล้มคว่ำคะมำหงาย แต่การจะลุกขึ้นสู้ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถของชาวปีฉลูที่มีความพยายามและมานะอดทนเป็นที่ตั้ง เมื่อเข้าสู่ปีหน้า 2554 ปีนักษัตรเถาะซึ่งเป็นปีที่กลาง ๆ กับดวงชะตา ก็จะเริ่มเป็นทีของชาวปีฉลูบ้าง

ผู้ที่เกิด ‘ปีขาล’ ทุกรอบอายุ

ปี 2553 จะรุ่งโรจน์รุ่งเรืองด้านธุรกิจ อาชีพการงาน เป็นช่วงปีทองอีกปีหนึ่ง เป็นช่วงแปรเปลี่ยนจังหวะก้าวเดินสู่ชีวิตใหม่ มีงานใหม่ ๆ เข้ามาให้ทำแบบมีความสุข เป็นช่วงปีที่มักมีคนเกื้อหนุนช่วยเหลือธุรกิจการงาน จะลงทุนอะไรก็มักมีโอกาสเป็นไปในทิศทางที่ดีเป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่เสี่ยงมากเกินไปก็ลุยได้เต็มที่ แต่อย่าบุ่มบ่ามโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ต้องเช็กข้อมูลให้ดีด้วย ปีนี้ก็ขอให้มีมานะ ขยันขันแข็งเต็มที่ พยายามลุยสุดกำลังตามความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่นอนรอราชรถมาเกย มิฉะนั้นจะมีคนวิ่งแย่งตัดหน้าทีเผลอ ผู้ที่ทำงานกินเงินเดือนประจำก็อาจมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น ส่วนสภาวการณ์ทางการเงินในปีนี้จะคล่องตัวขึ้นมากกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ควรรู้จักเก็บหอมรอมริบไว้ใช้ในยามที่จำเป็นบ้าง เพราะความไม่แน่นอนในอนาคตยังเป็นสิ่งที่แน่นอน

ผู้ที่เกิด ‘ปีเถาะ’ ทุกรอบอายุ

ปีนี้เสมือนคืนเดือนมืดที่ฟ้ามืดสนิท ไม่มีแสงสว่างนำทาง การทำธุรกิจอาชีพการงานต้องละเอียดรัดกุม อดทนใจเย็น ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ ปรึกษาผู้ใหญ่หรือผู้สันทัดกรณีก่อนตัดสินใจ การขยายกิจการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่เสี่ยงสูงควรชะลอไว้ก่อน หรือถ้าเริ่มไปแล้วก็รอไปลุยเต็มที่ในปี 2554 ปีเถาะที่เกื้อหนุน อย่าเพิ่งเสี่ยงในปีนี้เด็ดขาดเพราะจะได้ไม่คุ้มเสียหรือเสียมากกว่าได้ คนที่ทำงานกินเงินเดือนประจำก็มักมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้ดั่งใจหรือถูกคนตีสีใส่ไข่ ชาวปีเถาะปีนี้ขอให้ทำใจตั้งรับสภาวการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยความมีสติ หมั่นทำบุญทำทานสะเดาะเคราะห์ก็พอที่จะทำให้ทุกอย่างผ่อนหนักเป็นเบาได้ระดับหนึ่ง เรื่องเงินก็ควรรอบคอบในการใช้จ่ายให้มาก จะมีมรสุมทางการเงินถาโถมใส่อย่างคาดไม่ถึง และต้องระวังการเสียเงินจากการถูกฉ้อโกงหรือถูกโจรกรรมตีชิงวิ่งราวด้วย

ผู้ที่เกิด ‘ปีมะโรง’ ทุกรอบอายุ

ในปี 2553 นี้ จะมีทั้งดีและไม่ดีคละเคล้ากัน แต่ภาพรวมโดยส่วนใหญ่จะดีขึ้นกว่าปี 2552 โดยปีนี้การดำเนินธุรกิจหรือทำอาชีพการงานจะโชติช่วงชัชวาล จะย่ำอยู่กับที่ หรือจะย่ำแย่ลงไป ขึ้นอยู่กับจังหวะการตัดสินใจของตัวเองเป็นสำคัญ ประกอบกับจะมีใครมาเกื้อหนุนส่งเสริมหรือไม่ คนที่ทำงานกินเงินเดือนประจำอยู่ในปีนี้ก็มักจะเป็นไปแบบเรื่อย ๆ สบาย ๆ ส่วนทางด้านการเงินของชาวปีมะโรงในปีนี้ซึ่งเป็นปีที่เป็นกลาง ๆ กับดวงชะตา สภาพความคล่องตัวทางการเงินเริ่มดีขึ้นบ้าง การชักหน้าไม่ถึงหลังเริ่มจะหมดไป แต่ก็ยังไม่ควรเสี่ยงทางการเงิน ควรทำในสิ่งที่พอดีตัวและไม่เสี่ยงมากนัก เพราะในปีหน้า 2554 จะไปเจอปีที่ไม่เกื้อหนุน ไม่เช่นนั้นอาจต้องเกิดการชอกช้ำระกำใจ ขาดทุนเป็นหนี้เป็นสิน ควรจะสำรองเงินตราไว้ไปทุ่มเสี่ยงในขณะที่ดวงดีในอีก 2 ปีข้างหน้าจะดีกว่า
ผู้ที่เกิด ‘ปีมะเส็ง’ ทุกรอบอายุ

คนที่เกิดปีนักษัตรมะเส็งในปีนี้จะเริ่มผันผวนพลิกผันถดถอยลง เรื่อย ๆ ต้องทำใจตั้งรับให้ดี อาชีพการงาน การทำธุรกิจ จะเริ่มแผ่ว ดำเนินการสิ่งใดมักไม่ค่อยราบรื่น ผู้ใหญ่ที่เคยเกื้อหนุนจะหมดอำนาจ พรรคพวกหรือลูกน้องบริวารก็มักไม่ได้ดั่งใจ ทำอะไรต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ในปี 2553 ที่ไม่เกื้อหนุนกับดวงชะตา ไม่ควรเริ่มต้น ธุรกิจหรือทำงานอะไรที่เสี่ยงสูง ที่หนักมากเกินตัว เพราะจะเจออุปสรรคตลอดและอาจต้องละทิ้งกลางคัน ปีนี้ต้องใช้ความฉลาดและความสามารถเฉพาะตัวหลบหลีกปัญหาให้ดี ไม่เช่นนั้นมีโอกาสเจ็บตัวเจ็บใจต้องแก้ไขปัญหาไปอีกยาว ด้านการเงินในปีนี้ก็จะค่อย ๆ ชะลอตัวลง ควรจะชะลอการใช้จ่ายลงทุกด้าน ซึ่งถ้ารู้จักคุมเกมการเงินให้อยู่ และเตรียมการล่วงหน้า ก็คงไม่เกินความสามารถของชาวปีมะเส็งที่จะประคองตัวให้ผ่านปีนี้ไปได้

ผู้ที่เกิด ‘ปีมะเมีย’ ทุกรอบอายุ

ปีเสือ 2553 นี้จะดีขึ้นเกินคาดแทบทุกด้าน จะเริ่มลุยธุรกิจการงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ ช่องทางที่เคยปิดจะมีคนมาเปิดให้และสนับสนุน มีธุรกิจการงาน ใหม่ ๆ มีช่องทางทำกินที่มีโอกาสประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ เป็นช่วงที่ทั้งเก่งและเฮง จับอะไรมักเป็นเงินเป็นทอง แต่ก็ควรเบรกธุรกิจการงานที่มีความเสี่ยง มิฉะนั้นจะกลายเป็นได้ไม่เท่าเสีย คนที่ทำงานกินเงินเดือนประจำปีนี้ก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงดีขึ้นหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เมื่อได้ดีก็อย่าลืมตัว เรื่องการเงินปีนี้ค่อย ๆ ลื่นไหลด้วยดี มีโอกาสมีรายรับหลายทาง แต่อย่าเหลิง ต้องรู้จักเก็บ และเคลียร์หนี้สินภาระเก่าให้เรียบร้อย เพราะในปี 2554 ต้องเหนื่อยด้วยตัวเอง เพราะจะเจอปีที่ไม่เกื้อหนุนดวงชะตา และต้องแบกภาระที่สุดแสนจะหนักอีก 3 ปี แล้วถึงจะไปเจอปีนักษัตรที่เป็นปีที่ดีกับดวงชะตาเหมือนเช่นปีนี้อีก 2 ปี

ผู้ที่เกิด ‘ปีมะแม’ ทุกรอบอายุ

ปีนี้ก็แจ่มใสขึ้นกว่าปี 2552 ซึ่งเป็นปีที่เป็นปรปักษ์หรือชงกันอย่างแรง ปีนี้พื้นฐานดวงเริ่มโล่งขึ้น ถึงแม้จะไม่ส่งเสริมเกื้อหนุนแต่ก็ถือว่าเป็นปีกลาง ๆ ก็ควรเตรียมตัวตั้งหลักเริ่มลงมือทำงาน ดำเนินธุรกิจ ขอให้เพิ่มความมานะพยายามให้มากยิ่งขึ้น ลุยให้เต็มที่เต็มกำลังความสามารถที่มีอยู่ ผลที่ได้จะทำให้เกิดความชื่นอกชื่นใจ และจะไปมีผลงานโดดเด่นให้เห็นในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้านสภาวการณ์ทางการเงินก็ถือว่าดีมีสภาพความคล่องตัวมากขึ้นกว่าเดิม มีการหมุนเวียนเป็นที่น่าพอใจ สามารถเก็บสะสมความมั่งคั่งมากขึ้นไปเรื่อย ๆ และปีหน้าก็จะเจอปีนักษัตรเถาะที่สมพงศ์กัน ก็ยิ่งลุยไปได้อย่างเต็มที่เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทำอะไรก็ต้องวิเคราะห์ความต้องการของตลาด คู่แข่งขัน ว่าเป็นอย่างไร และถ้ามีหุ้นส่วนก็ต้องดูดวงคนที่ร่วมงานร่วมธุรกิจว่าดีหรือไม่อย่างไรเป็นองค์ประกอบด้วย

ผู้ที่เกิด ‘ปีวอก’ ทุกรอบอายุ

ปี 2553 นี้ จากรุ่งเรืองกลายเป็นดิ่งลง มักเจอะเจอแต่สิ่งที่ไม่ดีมาก ๆ หลายด้าน ต้องฟันฝ่าอุปสรรคปัญหานานัปการ ต้องปรับตัวปรับใจตั้งรับกับสิ่งที่จะประดังเข้ามาชนิดคาดไม่ถึง เปรียบเสมือนเจอพายุนาร์กีส หรือคลื่นยักษ์สึนามิเลยทีเดียว ถ้าดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยงหรือมีการแข่งขันสูงอยู่ก็มักมีโอกาสเสียหายขาดทุน ดังนั้นถ้าดูแล้วไม่ดี ตกกระแสตลาด เลิกได้ก็ตัดใจหยุดเสียก่อนจะดีกว่าปล่อยให้ยิ่งถลำลึก อาจกลายเป็นสร้างหนี้สินพอกหางหมูสิ้นเนื้อประดาตัวได้ในที่สุด คนทำงานกินเงินเดือนประจำก็เป็นไปในทางเดียวกัน สถานภาพจะแย่ลงกว่าเดิม เช่นเดียวสภาวการณ์ทางการเงินที่เสมือนก๊อกน้ำถูกปิด ต้องหาทางประหยัดรายจ่าย เรื่องลาภลอยในปีนี้ก็มีแต่ลอยไปไม่มีลอยมา คนปีวอกก็ต้องอดทนกัดฟันสู้เพื่อรอวันที่ดีในปีสองปีข้างหน้า แล้วจะรุ่งเรืองไปอีก 2 ปีเต็ม ๆ

ผู้ที่เกิด ‘ปีระกา’ ทุกรอบอายุ

ช่วงต้นปีธุรกิจ อาชีพ การทำงาน การเงิน ยังคงมีผลพวง ที่ดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงช่วงกลางปี 2553 แล้วจะ แผ่วลง การทำอะไรก็ตามในปีนี้ต้องใช้ความพยายามให้มากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ปีนี้เจอปีที่เป็นกลาง ๆ ไม่ได้เกื้อหนุนกับดวงชะตา ซึ่งทุกอย่างจะดีมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่การกระทำของตัวเราเองเป็นสำคัญ อย่าหวังน้ำบ่อหน้า เพราะว่ามีโอกาสเจอบ่อที่เริ่มแห้งขอดหรือบ่อร้าง ไม่คุ้มกับที่ได้ลงทุนลงแรงไป ในปีนี้ควรถือคติ รัดกุม รอบคอบ อดทนใจเย็น คิดก่อนพูด จะเป็นการดีที่สุด เพราะปีหน้าจะต้องเจอปีชงที่สุดโหดกับตัวเอง ซึ่งตั้งแต่กลางปีไปสภาวะทางการเงินอาจจะเกิดการช็อต เพิ่มความรัดกุมรอบคอบ อย่าประมาท ควรหาคลังสำรองไว้ก่อน จะเป็นการดีที่สุด ขอย้ำว่าเมื่อมีต้องเก็บให้มากที่สุด เมื่อจะจ่ายก็ต้องจ่ายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง

ผู้ที่เกิด ‘ปีจอ’ ทุกรอบ อายุ

ในปี 2553 นี้จะรุ่งเรืองโดดเด่น กระเตื้องดีขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นปีที่ดีด้านการดำเนินธุรกิจหรือการทำงาน จะมีสิ่งดี ๆ เข้ามาในวงจรชีวิตชนิด ที่ไม่คิดไม่ฝัน มีการขยับขยาย ธุรกิจการงาน จะเป็น 2 ปีทองของชาวปีจอ เพราะปีหน้าจะเจอปีที่เกื้อหนุนอีกปีหนึ่ง ก็บุกตะลุยธุรกิจการงานเลยอย่าได้รอรี น้ำขึ้นให้รีบตัก คนทำงานประจำก็เป็นช่วงที่ดีที่จะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง ด้านการเงินก็เดินสะพัดดีกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นคนละเรื่องจากที่เคยขลุกขลักติดขัด เมื่อผ่านกลางปีไปแล้วที่เคยรั่วไหลจะค่อย ๆ ลงตัวหยุดนิ่ง หนี้สินที่คิดว่าจะเป็นหนี้สูญก็มีโอกาสได้กลับคืนให้ชื่นใจ แต่เมื่อการเงินคล่องตัวขึ้นก็อย่าฟุ่มเฟือย อย่าไปเสี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก เพราะในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้า ชาวปีจอจะต้องเจอปีชงที่สุดโหดอีกปีหนึ่งเต็ม ๆ

ผู้ที่เกิด ‘ปีกุน’ ทุกรอบอายุ

ปีนี้จะเปรียบเสมือนปลากระดี่ได้น้ำ การดำเนินธุรกิจ อาชีพ การงาน ที่เคยต้องเหนื่อยด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะมีคนเข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือให้บรรลุเป้าหมาย เป็นปีทอง มีการก้าวกระโดดของธุรกิจการงานสู่ความรุ่งโรจน์อย่างที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง และปีหน้า 2554 ยังเจอปีนักษัตรเถาะที่สมพงศ์กันดีอีกปีหนึ่ง คนทำงานประจำก็ดีขึ้นในทางเดียวกัน เป็นช่วงที่มีผลงานโดดเด่น ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ก้าวหน้าดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อน้ำขึ้นก็ให้รีบตักตวงผลงานและความสำเร็จไว้จะได้ไม่เสียโอกาสทอง เรื่องของการเงินในช่วงปีนี้มีความคล่องตัวลื่นไหลทั้งเข้ามาและจ่ายออกไป แต่ก็มีเงินเหลือเก็บ เป็นช่วงเวลาที่จับเงินได้เงินจับทองได้ทอง แต่ก็อย่าประมาทอย่าทำอะไรสุ่มเสี่ยง เพราะจะไปเจอปีที่แย่มาก ๆ ในปีชงอีก 3 ปีข้างหน้า ควรรัดกุมรอบคอบตั้งแต่วันนี้ดีที่สุด

.....ก็เป็นคำพยากรณ์โดยสรุปเกี่ยวกับ “ดวงอาชีพ” ของผู้ที่เกิดแต่ละปีนักษัตร ในปี 2553 ที่ ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล บอกว่าเป็น “ปีเสือ-ธาตุทอง” ซึ่งท่านที่เจอปีดี ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็ขอแสดงความยินดีด้วย ส่วนท่านที่เจอปีชง-ปีไม่ดี ก็อย่าท้อ-อย่ากังวลเกินไป เราขอเป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี !!.

ฮวงจุ้ยดี-ดวงเด่น...เริ่มวิ่งได้ !!

“ภาพรวมโดยทั่วไป ปีนี้จะเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อย ๆ พลิกฟื้นสถานการณ์ในหลาย ๆ ด้าน ไปในทิศทางที่ค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่ แม้จะมีบางส่วนของธุรกิจบางด้านที่ต้องเกิดการล้มหายตายจากไป ซึ่งมีทั้งที่กำลังจะตายก็ต้องปล่อยให้ตายไป อีกทั้งที่เหลืออยู่ที่ยังไม่ตายแต่ดูแล้วแคระแกร็นเลี้ยงไม่โต มีแต่ทรง ๆ ทรุด ๆ ก็ขอให้ตัดทิ้งไป อย่าไปประคองให้เสียเวลา จะเสียทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์โดยเปล่าประโยชน์

ปี 2553 ภาพ รวมของเศรษฐกิจในมหภาคจะดูดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบางด้านจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปแบบคืบคลาน หลังจากที่ต้องนอนเดี้ยงอยู่ในห้องไอซียู แต่ธุรกิจบางด้านก็ค่อย ๆ เริ่มก้าวเดิน บางด้านก็เริ่มวิ่งไปได้อย่างฉลุย ซึ่งอยู่ที่พื้นฐานดวงชะตาและโอกาสของแต่ละบุคคล ของแต่ละองค์กรที่มีผู้นำที่มีดวงแตกต่างกันไป ประกอบกับทำเลฮวงจุ้ยของธุรกิจการค้าและบ้านที่อยู่อาศัย ว่าได้ส่งเสริมหรือฉุดดึง อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ความเก่งกับความเฮง บวกกับความตั้งใจจริงในความมานะพยายาม” ..... ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ระบุ

ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/

บทความที่ได้รับความนิยม

บทความ ใหม่ล่าสุด

Superman (It's Not Easy)
















...............................................................................
I can't stand to fly
I'm not that naive
I'm just out to find
The better part of me

I'm more than a bird:I'm more than a plane
More than some pretty face beside a train
It's not easy to be me

Wish that I could cry
Fall upon my knees
Find a way to lie
About a home I'll never see

It may sound absurd:but don't be naive
Even Heroes have the right to bleed
I may be disturbed:but won't you conceed
Even Heroes have the right to dream
It's not easy to be me

Up, up and away:away from me
It's all right:You can all sleep sound tonight
I'm not crazy:or anything:

I can't stand to fly
I'm not that naive
Men weren't meant to ride
With clouds between their knees

I'm only a man in a silly red sheet
Digging for kryptonite on this one way street
Only a man in a funny red sheet
Looking for special things inside of me

It's not easy to be me.


ฉันไม่ได้อยากจะเหาะไปเหาะมาทุกวัน
ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น
ฉันก็แค่อยู่เพื่อค้นหา
ตัวตนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

ฉันเป็นมากกว่านก ฉันเร็วกว่าเครื่องบิน
เป็นมากกว่าหน้าตาหล่อๆ ที่คอยบินตามหยุดรถไฟ
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

ฉันหวังจะได้ร้องไห้เสียบ้าง
ซบหน้าลงกับท่อนแขน
เฝ้าแต่โกหกแก้ตัว
ถึงเรื่องบ้านเกิด ที่ไม่เคยแม้ได้เห็น

อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่โปรดอย่าหัวเราะ
เพราะแม้จะเป็นซูเปอร์แมน แต่ก็เลือดไหลได้เหมือนกัน
ฉันอาจจะพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง แต่โปรดอย่าได้ถือสา
กระทั่งเป็นซูเปอร์แมนก็มีความฝันกับเขาได้เหมือนกัน
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

บินบินไปบนฟ้า หนีไปจากตัวเอง
ไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณๆก็ยังคงหลับฝันดีได้
ฉันไม่ใช่คนบ้านะ

วันๆเอาแต่เหาะไปมา
ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ
ผู้ชายน่ะไม่ได้เกิดมา
เพื่อบินเล่นบนก้อนเมฆหรอกนะ

ฉันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ในผ้าคลุมสีแดงตลกๆ
ขุดหาคริปโตไนท์บนถนนเส้นเดิม
ก็แค่ผู้ชายธรรมดาในชุดสีแดงงี่เง่าๆ
มองหาบางสิ่งพิเศษให้กับตัวเอง

ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นซูเปอร์แมน

The Key (เดอะ คีย์) หนังสือจากสำนักพิมพ์ ต้นไม้

เรียกได้ว่าเป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือ เดอะซีเคร็ต ถ้าคุณเป็นหนอนหนังสือตัวจริง ผมว่าคุณคงจะรู้จักหนังสือเหล่านี้ดี ครั้งแรกที่ผมอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ตนั้น ผมยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของ กฎของแรงดึงดูดที่ว่า ใครมีความคิดเช่นไรก็จะเป็นคนเช่นนั้น ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จหรือกำลังล้มเหลวในชีวิต ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความคิดของเราเอง ผมคงไม่สามารถบรรณยาย ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้หมดสิ้น แต่ด้วยความปราถนาดีจากผมจริงๆที่ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผุ้อื่นบ้าง

ปฏิญญาณของผู้มองแง่ดี

สัญญากับตัวเองว่า

จะเข้มแข็งเสียจนไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนความสงบสุขทางใจของคุณได้
จะพูดถึง สุขภาพดี ความสุข และความรุ่งเรือง แก่ทุคคนที่คุณพบ
จะทำให้เพื่อนทั้งหมดของคุรรู้สึกว่ามีบางสิ่งดีๆในตัวพวกเขา
จะมองที่ด้านสว่างของทุกสิ่งและทำให้การมองแง่ดีของคุณกลายเป็นความจริง
จะคิดแต่เรื่องที่ดีที่สุด ทำงานให้แก่คนดี ให้แก่สิ่งดีที่สุด และคาดหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุด
จะมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้อื่นมากเท่ากับของคุณเอง
จะลืมความผิดพลาดในอดีตและเพียรพยายามไปสู่การบรรลุความสำเร็จของอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
จะดำรงใบหน้าอันร่าเริงตลอดเวลาและทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่คุณพบยิ้ม
จะให้เวลาแก่การปรับปรุงพัฒนาตัวเองมากเสียจนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะวิจารณ์คนอื่นๆ
จะเป็นคนที่ใหญ่กว่าความกังวล สง่างามกว่าความโกรธ แข็งแกร่งกว่าความกลัวและมีความสุขเกินกว่าที่จะอนุญาตให้มีความยุ่งยาก
จะคิดแก่ตัวเองและอ้างสิทธิ์ข้อเท็จจริงแก่โลก ไม่ใช่ด้วยคำพูดดังแต่ด้วยการกระทำที่ยิ่งใหญ่
จะใช้ชีวิตโดยศัทธาว่าโลกทั้งใบอยู่ข้างคุณตราบนานเท่าที่คุณยังเที่ยงตรง ต่อสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในตัวคุณ

หมายเหตุ จาก ปฏิญญาของผู้มองแง่ดี ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1912 หนังสือของ คริสเตียน ดี ลาร์สัน ชื่อ Your Forces and How to Use Them ฉบับย่อของมันใช้กันทุกวันนี้ โดย Optimist Interna tional ซึ่งเป็นกลุ่มคนทั่วโลกที่มุ่งไปที่การทำให้ความแตกต่าง ที่เป็นบวกเกิดขึ้นในโลก

**คัดมาจากหนังสือ เดอะคีย์ จากสำนักพิมพ์ ต้นไม้