วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ขนมหม้อตาล


ขนมหม้อตาล


ส่วนผสม
แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
ไข่แดง 2 ฟอง
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลไอซิ่ง 1 ถ้วยตวง
น้ำเย็น 2 ช้อนโต๊ะ
สีผสมอาหาร

วิธีทำ
1. นวดแป้งสาลีกับน้ำมันพืชให้เข้ากันใส่ไข่แดง
ลงนวดทีละฟอง ใส่เกลือป่น น้ำทีละน้อยนวดจนแป้ง
เนียนนุ่ม ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดๆพักไว้ประมาณ
10 นาที

2. แบ่วแป้งทีละน้อย กดลงในพิมพ์หม้อตาลหรือ
พิมพ์ต่างๆตามต้องกา ใส่ถาดนำเข้าอบไฟกลางๆ จน
แป้งสุกเหลือง เอาออกจากเตาปล่อยไว้ให้เย็น

3. ใส่สีผสมอาหารลงในน้ำเย็น คนให้เข้ากัน ใส่
ลงในชามน้ำตาลไอซิ่ง คนแรงๆให้น้ำตาลละลาย แล้ว
ตักหยอดในหม้อที่อบเตรียมไว้ให้สวยงามพักไว้ให้
น้ำตาลแข็งตัวจึงจัดใส่ภาชนะ















ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม ทำเงิน
http://www.geocities.com/janoy04132002/method_12.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ขนมอาลัว


ขนมอาลัว


ส่วนผสม
แป้งสาลี 2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
น้ำใบเตย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ร่อนแป้งสาลี 2 ครั้ง

2. ใส่น้ำตาลทรายลงผสมกับแป้งสาลีที่ร่อนไว้เคล้า
ให้เข้ากัน

3. ใส่หัวกะทิทีละน้อยนวดให้น้ำตาลละลาย จนหัว
กะทิหมด คนให้เข้ากัน ใส่น้ำใบเตย

4. ใช้ผ้าขาวบางกรองส่วนผสมใส่กะทะทอง ตั้งไฟ
กลาง ๆ กวนเร็วๆ ให้แป้งสุก

5. เมื่อแป้งสุกแล้วพักใว้สักครู่หนึ่ง ใส่กรวยบีบหรือ
หยอดตามต้องการนำอบด้วยไฟอ่อนจนผิวนอกของขนม
แห้ง ยกลงจากเตารอให้เย็น แซะออกจากถาดจัดใส่ภาชนะ














ขอบคุณที่มาของบทความอาชีพเสริม ทำเงิน
http://www.geocities.com/janoy04132002/method_11.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ขนมสำปันนี


ขนมสำปันนี

ส่วนผสม
แป้งสาลี 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
แป้งมันคั่วสุก 1/4 ช้อนตวง

หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1. ผสมหัวกะทิกับน้ำตาลทราย ใส่ลงในกะทะทอง ตั้งไฟอ่อนเคี่ยวให้น้ำตาลละลายเข้ากับกะทิ แล้วยกลง

2. ใส่แป้งสาลีลงในกะทิที่เคี่ยวไว้ ตั้งไฟอ่อนๆ
กวนให้แป้งสุกและกะทิแห้ง ขนมจับตัวเป็นก้อนล่อน
ออกจากกระทะ ยกลงจากเตา ใช้พายคนให้คลายร้อน

3. ตักขนมลงอัดในแม่พิมพ์ที่โรยด้วยแป้งมันไว้
ก่อนแล้ว จึงเคาะขนมออกจากพิมพ์ใส่ถาด ผึ่งไว้สักครู่
จึงเก็บใส่ภาชนะ















ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้

http://www.geocities.com/janoy04132002/method_10.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ขนมลืมกลืน


ขนมลืมกลืน

ส่วนผสม
แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกไม้ 5 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 1/2 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ผสมแป้งถั่วเขียวกับน้ำตาลทรายให้เข้ากัน ใส่ลงในกระทะทองคนให้เข้ากัน ใส่น้ำลอยดอกไม้ คนให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟอ่อนๆกวนจนแป้งสุกใส

2. หยอดขนมลงในพิมพ์หรือถ้วยตะไล

3. ผสมหัวกะทิแป้งข้าวเจ้าใส่ลงในกระทะทอง กวนด้วยไฟอ่อนๆใส่เกลือ คนจนแป้งสุกและกะทิข้น หยอดหัวกะทิลงบนตัวขนม จัดใส่ภาชนะ














ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้
http://www.geocities.com/janoy04132002/method_09.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ขนมถ้วยฟู


ขนมถ้วยฟู

ส่วนผสม
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกไม้ 1/2 ถ้วยตวง
ยีสต์ 1 ช้อนชา
ผงฟู 1ช้อนชา

วิธีทำ
1. ใส่ยีสต์ลงในแป้งข้าวเจ้าให้เข้ากัน ใส่น้ำ
ลอยดอกไม้ทีละน้อย นวดจนแป้งนิ่มเนียน

2. ใส่น้ำตาลและน้ำทั้งหมดลงในแป้ง ใส่ผงฟู
นวดต่อไป ปิดฝาครอบไว้ 1-2 ชั่วโมง

3. เรียงถ้วยตะไลลงในรังถึง นึ่งให้น้ำเดือดจน
ถ้วยร้อนประมาณ 5 นาที

4 .ตักขนมที่ผสมไว้ลงในถ้วยตะไลพอเต็มปิดฝา
นึ่งต่อให้สุกประมาณ 10-15 นาที ยกลงพักไว้ให้เย็น แล้วจึงแกะออกจากถ้วยขอบคุณที่มาของบทความอาชีพเสริม สร้างรายได้


http://www.geocities.com/janoy04132002/method_08.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ขนมชั้น


ขนมชั้น

ส่วนผสม
แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วยตวง
แป้งท้าวยายม่อม 1/1 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกมะลิ 1/2 ถ้วยตวง
น้ำใบเตย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ร่อนแป้งทั้ง 3 ชนิดเข้าด้วยกัน

2. นวดแป้งกับหัวกะทิทีละน้อย นวดจนแป้งนุ่ม เหนียว พักไว้

3. ผสมน้ำลอยดอกไม้ น้ำตาลทรายเข้าด้วยกัน ตั้งไฟให้เดือด ยกลงพักไว

4. แบ่งส่วนผสมของแป้งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่ง
ใส่น้ำใบเตยนวดให้เข้ากันอีกส่วนหนึ่งไม่ต้องใส่ให้เป็น
แป้งสีขาว

5. นึ่งพิมพ์ขนมให้ร้อน ตักขนมหยอดทีละชั้น นึ่ง
ให้สุกแล้วจึงหยอดชั้นต่อไป หยอดสลับสีกันจนหมด

6 .เมื่อนึ่งขนมชั้นบนสุดสุกดีแล้ว ยกลงปล่อยไว้ให้
เย็น แล้วตัดตามต้องการ















ขอบคุณที่มาของบทความอาชีพเสริม ทำเงิน

http://www.geocities.com/janoy04132002/method_07.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ขนมดอกไม้


ขนมดอกไม้

ส่วนผสม
แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
ไข่แดง 2 ฟอง
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 2 ถ้วยตวง
น้ำดอกไม้ 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1. นวดแป้งสาลีกับน้ำมันพืชให้เข้ากัน ใส่ไข่แดง
ลงนวดทีละฟองจนแห้งเนียนนิ่ม ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำ
บิดหมาดๆคลุมพักไว้ประมาณ 10-15 นาที

2. แบ่งแป้งทีละน้อยลงในพิมพ์กระเช้า ใส่ถาดนำ
เข้าอบไฟกลางจนแป้งสุกยกลงพักไว้ให้เย็น

3. ผสมน้ำตาลทรายน้ำลอยดอกไม้ ตั้งไฟอ่อนๆ
เคี่ยวจนน้ำตาลละลายเหนียงเป็นยางมะตูมใส่มะพร้าว
ลงคลุกกับน้ำเชื่อมให้ทั่วกันจนน้ำเชื่อมแห้ง

4. ตักมะพร้าวใส่ลงในกระเช้าจัดให้สวยงาม แล้ว
วางผึ่งลมให้แห้งจึงจัดใส่ภาชนะ















ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้

http://www.geocities.com/janoy04132002/method_06.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม *ขนม กระเช้าสีดา


ขนมกระเช้าสีดา

ส่วนผสม
ส่วนผสม
แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
ไข่แดง 2 ฟอง
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 2 ถ้วยตวง
น้ำดอกไม้ 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1. นวดแป้งสาลีกับน้ำมันพืชให้เข้ากัน ใส่ไข่แดง
ลงนวดทีละฟองจนแห้งเนียนนิ่ม ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำ
บิดหมาดๆคลุมพักไว้ประมาณ 10-15 นาที

2. แบ่งแป้งทีละน้อยลงในพิมพ์กระเช้า ใส่ถาดนำ
เข้าอบไฟกลางจนแป้งสุกยกลงพักไว้ให้เย็น

3. ผสมน้ำตาลทรายน้ำลอยดอกไม้ ตั้งไฟอ่อนๆ
เคี่ยวจนน้ำตาลละลายเหนียงเป็นยางมะตูมใส่มะพร้าว
ลงคลุกกับน้ำเชื่อมให้ทั่วกันจนน้ำเชื่อมแห้ง

4. ตักมะพร้าวใส่ลงในกระเช้าจัดให้สวยงาม แล้ว
วางผึ่งลมให้แห้งจึงจัดใส่ภาชนะ















ขอบคุณที่มาของบทความอาชีพเสริม สร้างรายได้

http://www.geocities.com/janoy04132002/method_05.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ขนมมันสำปะหลัง


ขนมมันสำปะหลัง

ส่วนผสม
มันสำปะหลังขูดแล้ว 2 ถ้วยตวง
แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งถั่วเขียว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำดอกไม้ 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 1 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ผสมมันกับแป้งทั้งสองให้เข้ากันใส่น้ำดอกไม้
น้ำตาลทราย นวดเบาๆจนน้ำตาลละลาย

2. ใส่เกลือป่นลงเคล้ากับมะพร้าวให้ทั่ว แล้วนำ
ไปนึ่งให้น้ำร้อนจัดๆให้ร้อนประมาณ 15 นาที ยกลงแล้ว
แบ่งเป็นสองส่วน

3. มะพร้าวส่วนหนึ่งใส่ลงไปคลุกเคล้ากับมันที่นวด
น้ำตาลไว้ให้ทั่ว แล้วตักใส่ลงในถ้วยตะไล แล้วนำไปนึ่ง
ให้สุกยกลงพักใว้ให้เย็น

4. คลุกกับมะพร้าวส่วนที่เหลือจึงจัดใส่ภาชนะ
เสริฟทันที













ขอบคุณที่มาของบทความอาชีพเสริม สร้างรายได้

http://www.geocities.com/janoy04132002/method_03.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ขนมตาล


ขนมตาล
ส่วนผสม
ลูกตาลสุก 1 ผล
ข้าวสารเก่า 2 ถ้วยตวง
แป้งท้าวยายม่อม 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ลอกเปลือกลูกตาลออกให้หมดขูดเอาเนื้อสีเหลือง
ออก ตัวลูกตาลแช่น้ำไว้จนเนื้อลูกตาลละลายออกหมดใช้
ผ้าห่อเนื้อลูกตาลและน้ำที่ละลาย ผูกมัดปากรวมใว้ให้
แน่นแขวนหรือทับไว้ให้แห้ง

2. โม่ข้าวสารที่แช่น้ำไว้ให้ละเอียด แล้วทับไว้ให้แห้ง

3. ผสมข้าวสารที่โม่และทับจนแห้งแล้ว รวมกับแป้ง
ท้าวยายม่อม และลูกตาลที่ทับจนแห้งแล้วนวดส่วนผสมทั้ง
หมดเข้าด้วยกันจนแป้งที่ผสมเนียนและนุ่มมือ(ประมาฌ 30
-60 นาที)ใส่น้ำตาลสลับกับหัวกระทิ นวดจนหัวกระทิและ
น้ำตาลละลายหมด พักไว้ประมาณ 5-10 ชั่วโมง

4. ตักแป้งที่ผสมแล้วใส่กระทงหรือถ้วยตะไลโรย
มะพร้าว แล้วนึ่งให้สุกยกลงถ้าใส่ถ้วยตะไล รอให้เย็นก่อน
แล้วจึงนำออกจากถ้วย จัดใส่ภาชนะ













ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้
http://www.geocities.com/janoy04132002/method_02.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ฝอยทองกรอบ


ฝอยทองกรอบ

ส่วนผสม
เส้นฝอยทอง 1 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อมอย่างข้น 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1. ใส่น้ำเชื่อมลงในกระทะทองตั้งไฟให้เดือด

2. ยีเส้นฝอยทองให้กระจายตัวดีแล้วใส่ลงไปใน
น้ำเชื่อม คลุกเคล้าให้น้ำเชื่อมจับเส้นให้ทั่วจนน้ำ
เชื่อมแห้งยกกะทะลง

3.ใช้ช้อนตักฝอยทองให้เป็นก้อนกลมเล็ก ๆ ขนาดพอคำวางเรียงไว้บนตะแกง วางฝึ่งลมให้แห้ง
ตามต้องการ แล้วจึงจัดใส่ภาชนะ














ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้
http://www.geocities.com/janoy04132002/method_01.html

ขนมหวาน อาชีพเสริม * ตะโก้แห้ว


ตะโก้แห้ว

ส่วนผสม
ตัวขนม
แห้งต้มหั่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ 1 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกไม้ 2 ถ้วยตวง
หน้าขนม
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ใส่น้ำลอยดอกไม้ในแป้งข้าวเจ้าทีละน้อยนวดจนแป้ง
นุ่ม แล้วใส่น้ำลอยดอกไม้ลงไปให้แป้งละลายหมด จนเข้ากันดี

2. ใส่แป้งที่ละลายไว้ลงในกระทะทอง ใส่น้ำตาลทราย ตั้งไฟกวนจนแป้งสุกข้น

3. ใส่แห้วที่หั่นไว้ลงกวนให้เข้ากัน

4. ทำหน้าขนมโดยละลายแป้งข้าวเจ้ากับหัวกระทิใส่น้ำตาล
ทรายลงคนให้เข้ากัน กวนด้วยไฟอ่อนๆพอแป้งสุกจึงยกลง

5. ตักตัวขนมใส่กระทงหรืดถาด แล้วหยอดหน้าขนมลงไป
ขณะที่หน้าขนมยังร้อนอยู่ ปล่อยฟักใว้ให้เย็นแล้วจัดใส่ภาชนะ















ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้
http://www.geocities.com/janoy04132002/method_04.html

ป้ายเรซิ่น ธุรกิจเล็กๆ เป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้


ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หลายต่อหลายคนผันตัวมาทำธุรกิจส่วนตัวกันมาก บางคนที่ทุนหนาก็อาจจะลงทุนทำธุรกิจขนาดใหญ่สักหน่อย แต่ถ้าพอมีทุนอยู่บ้าง อาจเริ่มต้นด้วยการทำธุรกิจเล็กๆ ซึ่งถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี ก็สามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวได้ไม่ยากอะไร


เหมือนดังเช่นที่คุณเติ้ล...บรรณวัฒน์ สิริวิกรพัฒน์ คนรุ่นใหม่ที่มีใจรักด้านศิลปะหันมาลงทุนทำธุรกิจป้ายเรซิ่น ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า รู้สึกมีความสุขดี


“เริ่ม ทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่ 3 ปีก่อน นี่ก็ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว ด้วยความที่เราคิดว่าน่าจะมีวัสดุที่ใช้แทนไม้ได้ ซึ่งเรซิ่นนั้นจะว่าไปแล้วถือว่าทนทานกว่าไม้ การหล่อแบบเป็นตัวอักษร ลวดลาย ตุ๊กตา ดอกไม้ และอะไรอื่นๆ ก็หล่อจากต้นแบบปูนพลาสเตอร์ สำหรับในส่วนของตัวป้ายยังคงใช้เป็นป้ายไม้ เหมือนป้ายทั่วไป ต่างกันตรงที่ตัวอักษร และลวดลายที่นำมาติดจะใช้เป็นตัวหล่อเรซิ่นแทนไม้”


ด้วย หลักทำงานด้วยใจรัก ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องได้รายได้มากๆ แต่อาศัยความพอเพียง ขายของด้วยราคามิตรภาพ เป็นกันเอง และสินค้าก็มีคุณภาพดี สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ดำเนินธุรกิจอยู่ได้อย่างสบายๆ

ป้ายเรซิ่น



“ลูกค้า ของเรา มีทั้งคนที่มาสั่งทำป้ายตกแต่งด้วยตัวอักษรเรซิ่น แต่บางคนอาจไม่ได้ซื้อป้าย แต่ซื้อตัวเรซิ่นเพื่อนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ เพราะบางคนอาจนำตัวเรซิ่นที่หล่อเป็นตัวอักษร หรือ ลวดลายต่างๆ ไปใช้ประกอบการตกแต่ง ทำงานฝีมือได้หลากหลายรูปแบบ ราคามีตั้งแต่ 10 บาท ไปจนถึง 40 บาท ซึ่ง ตรงนี้เรายินดีให้ลูกค้ามาเลือกหาเลือกซื้อ ตำหนิติชมได้ และไม่จำเป็นว่าจะต้องสั่งทำป้ายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้ามาสั่งทำป้ายก็จะคิดราคาจากจำนวนตัวเรซิ่นที่ใช้ รวมกับค่าป้ายไม้ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ”


โดย ปกติแล้วคุณเติ้ลจะไปเปิดหน้าร้านอยู่ที่เมืองทองธานี ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต ในเวลาที่มีการจัดงานนิทรรศการต่างๆ ซึ่งลูกค้าประจำจะรู้และตามไปอุดหนุนกัน โดยจะรู้จักกันในชื่อร้าน แฟชั่น โฮมเรซิ่น อาร์ท


นับ เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ทำงานด้วยหัวใจ มีความเป็นมิตรกับลูกค้า ทั้งยังใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความสุขในการทำงาน และสามารถยืนหยัดอยู่ได้ใน ภาวะเศรษฐกิจดังเช่นทุกวันนี้

อาชีเสริม สร้างรายได้

เรื่อง/ภาพ : Ms.รอบรู้

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

คนไทยตื่นทอง แห่ซื้อเก็งกำไรหลังราคาลด















แห่เก็งกำไรทองคำ! หลังราคาในตลาดโลกทรุดต่อเนื่อง ดันยอดขายทองคำย่านเยาวราชพุ่งกระฉูด ขณะที่นายกสมาคมค้าทองคำเตือนตลาดยังผันผวน ระวังแรงขายทำกำไร

บรรยากาศการซื้อขายทองคำของร้านทองบริเวณถนนเยาวราช มีประชาชนแห่มาซื้อทองคำคึกคักตลอดทั้งวัน ร้านทองส่วนใหญ่ต้องแจกบัตรคิวให้กับประชาชนที่มารอซื้อ ทองคำแท่งส่วนใหญ่ ผู้ซื้อจะได้รับประมาณ 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า จำกัดการซื้อไม่เกิน 50 บาทต่อราย

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ร้านทองจินฮั่ว เฮง ต้องบริหารสต็อกทองคำในร้านให้เพียงพอ เพราะหากมีประชาชนซื้อออกไปมากเท่าใด ต้องซื้อกลับเข้ามาในจำนวนเท่ากัน คาดว่าในช่วง 1-2 วันนี้ จะมียอดขายถึง 200 ล้านบาทต่อวัน โดยราคาทองคำวานนี้ (11 ก.ย.) ทองรูปพรรณขายออก 12,370 บาท ทองคำแท่ง รับซื้อเข้า 12,550 บาท ขายออก 12,650 บาท โดยราคาทองคำเริ่มลดลงต่อเนื่อง หลังจากมีราคาสูงสุดในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ประมาณ 15,450 บาท เมื่อประชาชนมาซื้อทองคำเป็นจำนวนมาก โดยเป็นการซื้อทองคำแท่งเพื่อหาผลตอบแทน ทำให้ช่วงหลังมีนักลงทุนรายใหญ่หันมาหาผลตอบแทนจากการซื้อทองคำแท่งเช่นกัน

ส่วนสาเหตุราคาทองคำในประเทศปรับลดลง เนื่องจากราคาในตลาดโลกปรับลดลงจาก 777 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงมาที่ 758 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และอาจมีแนวโน้มลดลงได้อีก แต่จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการเทขายออกมาของกองทุนรวมในต่างประเทศ ซึ่งมีกระแสข่าวว่าเป็นการถอนเงินออกไปใช้ดูแลสถาบันการเงินในสหรัฐ แต่เห็นว่าราคาทองคำในขณะนี้ยังมีความผันผวน จึงให้ระวังการขายทำกำไร เพื่อป้องกันความเสี่ยง

นายมีชัย วิกิจการโกศล ประชาชน บอกว่า ญาติได้ฝากมาซื้อทองคำแท่ง เพราะช่วงหลังเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ และอัตราเงินเฟ้อสูง ยิ่งทำให้ผลตอบแทนน้อยลง ทางครอบครัวจึงต้องการหาผลตอบแทนจากทองคำแท่ง เพราะเห็นว่าได้ผลตอบแทนดีกว่า และช่วงนี้เห็นว่าราคาทองคำลดลงไปมากจึงรีบมาซื้อ แต่ร้านทองจำกัดซื้อไม่เกิน 50 บาท พร้อมเตือนว่าหากเห็นว่ามีกำไรแล้วก็ควรทยอยขายออกมาทำกำไร เพื่อกลับมาซื้อใหม่และต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นายอะริยะ เฟื่องขจรฟุ้ง ประชาชนอีกคนหนึ่ง บอกว่ามายืนต่อแถวและต้องซื้อให้ได้ เพราะชอบลงทุนซื้อทองคำแท่ง ส่วนใหญ่จะทยอยซื้อครั้งละ 5-10 บาท ซึ่งจะไม่ซื้อในแต่ละครั้งมากเกินไป เพราะหากราคาลดลงมาอีกจะได้ทยอยเข้าซื้อเพิ่มเติม และสังเกตว่าช่วงหลังเริ่มมีนักลงทุนทองคำแท่งหน้าใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อหาผลตอบแทนจากตลาดเงินตลาดทุนที่มีความผันผวน

ที่มาของบทความอาชีพเสริม

http://money.impaqmsn.com/content.aspx?id=13322&ch=227

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

ผ้าคาดผมพิมพัชชา

ผ้าคาดผมพิมพัชชา
ผ้าคาดผมพิมพัชชา

วัสดุอุปกรณ์

ไหม Olympus Willa สี 108 1 กลุ่ม
ไม้นิตวงกลม Clover เบอร์ 8 ยาว 40 ซ.ม. 1 อัน

ขนาดสำเร็จ กว้าง 15 ซ.ม. เส้นรอบวง 36 ซ.ม.

วิธีถัก เริ่มต้นห่วง 74 ห่วง
แถวที่1-43 ถัก ล1 ห่วง , ข1 ห่วง สลับกันตลอดแถว ถักเป็นวงกลมเชื่อมกัน
แถวที่44 ปลดห่วงเก็บโดยรอบ (ตามรูป)

หมายเหตุ ถ้าต้องการแน่น ให้ถัก Knitting-in Elastic ไปพร้อมกับไหม ถ้าต้องการไหมชนิดอื่น
ให้ทดลองถักชิ้นเล็ก 5 x 5 ซ.ม. เพื่อหาขนาดของห่วง


ขอบคุณที่มาของบทความ

http://www.clicknamjai.com/ths/handi/tm_workshop/cc/cc007.html

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

ห้องเช่า,ห้องพัก,หอพัก,บ้านพัก,ใกล้ รามคำแหง ลาดพร้าว บางกะปิ นวมินทร์-home

ห้องเช่า ! ราคาถูก ที่สุด...1,700 บ.


มีห้องว่างแบ่งให้เช่า เดือนละ 1,700 บาท ประกัน 1 เดือน

= จ่าย 3,400 บาท เข้าอยู่ได้เลย

ถ.นวมินทร์ ซ.นวมินทร์ 32 นั่งรถเมล์ 10 นาที ถึงเดอะมอล์ บางกะปิ - 15 นาที ถึง ม.รามคำแหงฯ หัวหมาก

อุปกรณ์ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง เตียงนอน

หมายเหตุ* ห้องพักเป็นห้องที่แบ่งให้เช่าภายในบ้าน ไม่ใช่หอพัก หรือว่า ห้องเช่า ดังนั้นจึงต้องการผู้พักที่..รักควาสงบ (แต่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย) เข้ามาอยู่ได้ แค่ 1 คนเท่านั้น ห้ามเกินกว่านี้ แต่จะมีเพื่อนมาพักบ้างเป็นครั้งคราวก็ได้


ติดต่อ สอบถามได้ที่ คุณ นนท์

089-173 6908 086-359 0024

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

เลี้ยงปลากอะไร ถึงเหมาะกับเรา




"ความเชื่อเรื่อง ปลา กับฮวงจุ้ย"

ในระหว่างเทศกาลตรุษจีน ความเชื่อของคนจีนกับหลักทางฮวงจุ้ยเป็นเรื่องที่แยกกันแทบไม่ออก ซึ่งสำหรับคนไทยเชื้อสายจีนแล้ว ฮวงจุ้ยถือเป็นความสำคัญอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิตให้ถูกทาง

ซินแสคนดังแห่งจังหวัดชลบุรีชื่อ "ซินแสหวาง" (อากงหวาง) เป็นคนหนึ่งที่ได้รับการไว้วางใจจากตระกูลนักธุรกิจคนไทยเชื้อสายจีน อย่าง พรประภา, เตชะ ไพบูลย์ ฯลฯ ตลอดจนนักการเมือง ให้เป็นผู้ดูแลการดูฮวงจุ้ยให้

ซินแสหวางท่านนี้ไม่ชอบเปิดเผยตัว แต่ในโอกาสตรุษจีนรับปีหมู ซินแสหวางได้แนะนำหลักในการเลี้ยงปลาสวยงามเพื่อเสริมดวงชะตาให้กับ "ประชาชาติธุรกิจ" ในงาน "มหกรรมปลาฮวงจุ้ย" ที่จัดขึ้น ณ อะควาติน่า ศูนย์ค้าปลาสวยงามชั้น 3 เสรีเซ็นเตอร์ ซึ่งปัจจุบันดูเหมือนการเลี้ยงปลาเพื่อเสริมดวงยังคงได้รับความนิยมอยู่มาก โดยเฉพาะบรรดานักธุรกิจหลายรายสนใจเลี้ยงปลาอย่างเป็นจริงเป็นจัง

โดยหลักๆ แล้ว ปลาเสริมดวงที่นิยมกันนั้นมีอยู่ 4 ชนิด

- ปลาทอง (จิน หยู) เลี้ยงเพื่อให้เงินทองไหลมาเทมา เทคนิคการเลี้ยงคือ 9 ตัว (8 ตัวเป็นสีแดงหรือทอง 1 ตัวเป็นสีดำ)

- ปลาหมอสี เชื่อว่าจะส่งผลให้อายุยืน บังเกิดความมั่นคงมั่งคั่ง

- ปลามังกรหรือปลาอะโรวาน่า เสริมดวงเสริมบารมี เหมาะกับนักธุรกิจหรือข้าราชการที่ต้องการเลื่อนตำแหน่ง การงานก้าวหน้า และเป็นที่น่าเกรงขาม มีบุญมีบารมี

- ปลาคาร์ป เหมาะกับผู้ที่ค้าขายช่วยให้มีผลกำไรและประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ

ปลาทั้ง 4 ชนิดนี้ดีหมด และการวางตำแหน่งของตู้ปลาต้องวางทางทิศเหนือจะเหมาะที่สุด อย่าไว้ในห้องนอนเป็นพอ โดยลักษณะของตู้ปลาหากจะวิเคราะห์ตามหลักธาตุทั้งห้าแล้ว จะเห็นว่าลักษณะที่เป็นมงคลมากที่สุดคือ ตู้ปลารูปทรงกลม และรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

ซินแสหวางยังฝากบอกอีกว่า การวางฮวงจุ้ยในการเลี้ยงปลาจะให้ดี ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าบ้านเป็นหลัก และถ้าจะตรวจฮวงจุ้ยอย่างละเอียดอาจต้องดูหลายสิ่งประกอบกัน ทั้งชื่อ เพศ วันเกิด ธาตุ ราศี ตำแหน่งบ้าน ทิศทางของบ้าน อาชีพ

นับเป็นความเชื่อที่ยังคงได้รับความนิยม ไม่เช่นนั้นปลาทั้ง 4 ชนิดนี้คงจะไม่มีราคาดีเท่านี้หรอก !

ขอบคุณที่มาของบทความอาชีพเสริม สร้างรายได้จาก


สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:

การเพาะเลี้ยงปลานิน 5

ขั้นตอนการเลี้ยงปลานิลในบ่อดิน

1. กำจัดวัชพืชและพันธุ์ไม้น้ำต่าง ๆ เช่น กก หญ้า ผักตบชวาให้หมดโดยนำมา กองสุมไว้แห้ง แล้วนำมาใช้เป็นปุ๋ยหมักในขณะที่ปล่อยปลาลงเลี้ยง ถ้าในบ่อเก่ามีเลนมากจำเป็นต้องสาดเลนขึ้นโดยนำ ไปเสริมคัดดินที่ชำรุด หรือใช้เป็นปุ๋ยแก่พืช ผัก ผลไม้ บริเวณไกล้เคียงพร้อมทั้งตกแต่ง เชิงลาดและ คัด ดินให้แน่นด้วย

กำจัดศัตรู ศัตรูของปลานิล ได้แก่ ปลาจำพวกกินเนื้อ เช่นปลาช่อน ปลาชะโด ปลาหมอ ปลาดุก นอกจากนี้ก็มีสัตว์จำพวก กบ เขียด งู เป็นต้น ดังนั้น ก่อนที่จะปล่อยปลานิลลงเลี้ยงจึงจำเป็นต้องกำจัด ศัตรูดังกล่าวเสียก่อนโดยวิธีระบายน้ำออกให้เหลือน้อยที่สุด การกำจัดศัตรูของปลาอาจ ใช้โล่ติ๊นสด หรือแห้ง ประมาณ 1 กิโลกรัม ปริมาณของน้ำในบ่อ 100 ลูกบาศก์เมตร คือทุบหรือบดโล่ติ๊นให้ละเอียด นำลงแช่น้ำประมาณ 1-2 ปี๊บ ขยำโล่ติ๊นเพื่อให้น้ำสีขาวออกมาหลาย ๆ ครั้งจนหมดนำไปสาดให้ทั่วบ่อ ศัตรูพวกปลาจะลอยหัวขึ้นมาภายหลังโล่ติ๊นประมาณ 30 นาที ใช้สวิงจับขึ้นมาใช้บริโภคได้ที่เหลือตาย พื้นบ่อจะลอยในวันรุ่งขึ้นส่วนศัตรูจำพวกกบเขียดงู จะหนีออกจากบ่อไป และก่อนปล่อยปลาลงเลี้ยงควร จะทิ้งระยะไว้ประมาณ 7 วัน เพื่อให้ฤทธิ์ของโล่ติ๊นสลายตัวไปหมดเสียก่อน

ภาพที่ 8 มวนกรรเชียง เป็นศัตรูปลาชนิดหนึ่ง

2. การใส่ปุ๋ย โดยปกติแล้วอุปนิสัยในการกินอาหารของปลานิลจะกินอาหารจำพวกแพลงก์ตอนพืช และศัตว์ เศษวัสดุเน่าเปื่อยตามพื้นบ่อ แหน สาหร่าย ฯลฯ ดังนั้น ในบ่อเลี้ยงปลาควรให้อาหารธรรมชาติ ดังกล่าวเกิดขึ้นอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยลงไปเพื่อละลายเป็นธาตุอาหาร ซึ่งพืชน้ำขนาด เล็กจำเป็น ใช้ในการปรุงอาหารและเจริญเติบโตโดยกระบวนการสังเคราะห์แสง ซึ่งเป็นโซ่อาหาร อันดับต่อไป คือ แพลงก์ตอนสัตว์ ได้แก่ ไร่น้ำ และตัวอ่อนของแมลง ปุ๋ยที่ใช้ได้แก่มูลวัว ความย หมู เป็ด ไก่ นอกจากปุ๋ย ที่ได้จากมูลสัตว์แล้วก็อาจใช้ปุ๋ยหมักจำพวกหญ้าและฟางข้าวปุ๋ยสดต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกัน

อัตราส่วนการใส่ปุ๋ยคอกในระยะแรก ควรใส่ประมาณ 250-300 กก./ไร่/เดือน ส่วนในระยะหลัง ควรลดลงเพียงครึ่งหนึ่ง หรือสังเกตจากสีของน้ำในบ่อ ถ้ายังมีสีเขียวอ่อนแสดงว่ามีอาหารธรรมชาติ เพียงพอ ถ้าน้ำใส่ปราศจากอาหาร ธรรมชาติก็เพิ่มอัตราส่วนให้มากขึ้น และในกรณีที่หาปุ๋ยคอกไม่ได้ก็ อาจใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15 : 15 : 15 ใส่ประมาณ 5 กก./ไร่/เดือน ก็ได้ วิธีใส่ปุ๋ย ถ้าเป็นปุ๋ยคอกควรตาก บ่อให้แห้งเสียก่อน เพราะปุ๋ยสดจะทำให้น้ำมีแก๊สจำพวกแอมโมเนียละลายอยู่น้ำหนักมากเป็นอัตรายต่อ ปลา การใส่ปุ๋ยคอกใช้วิธีหว่านลงไปในบ่อให้ละลายน้ำทั่ว ๆ บ่อ ส่วนปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยสดนั้นควร กองสุมไว้ ตามมุมบ่อ 2-3 แห่ง โดยมีไม้ปักล้อมเป็นคอกรอบกองปุ๋ยเพื่อป้องกันมิให้ส่วนที่ยังไม่สลายตัว กระจัดกระจาย

3. อัตราปล่อยปลาเลี้ยงในบ่อดิน ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำ อาหาร และการจัดการเป็นสำคัญ โดยทั่วไป จะปล่อยลูกปลาขนาด 3-5 ซม. ลงเลี้ยงในอัตรา 1-3 ตัว/ตารางเมตร หรือ 2,000 - 5,000 ตัว/ไร่

4. การไอ้หาร การใส่ปุ๋ยเป็นการให้อาหารแก่ปลานิลที่สำคัญมากวิธีหนึ่งเพราะจะได้อาหารธรรมชาติ ที่มีโปรตีนสูงและราคาถูก แต่เพื่อเป็นการเร่งให้ปลาที่เลี้ยงเจริญเติบโตขึ้นหรือถูกต้องตามหลักวิชาการ จึงควรให้อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรทเป็นอาหารสมทบด้วย เช่น รำ ปลายข้าว กากมะพร้าว มันสำปะหลัง หั่นต้ม ให้สุกและเศษเหลือของอาหารที่มีโปรตีนสูงเช่นกากถั่วเหลืองจากโรงทำเต้าหู้กาก ถั่วลิสง อาหารผสมซึ่งมีปลาป่น รำข้าว ปลายข้าว มีจำนวนโปรตีนประมาณ 20% เศษอาหารที่เหลือ จากโรงครัวหรือถัตตาคาร อาหารประเภทพืชผัก เช่น แหนเป็น สาหร่าย ผักตบชวาสับให้ละเอียด เป็นต้น อาหารสมทบเหล่านี้ควรเลือกชนิดที่มีราคาถูกและหาได้สะดวกส่วนปริมาณที่ให้ก็ไม่ควรเป็น 4% ของน้ำ หนักปลาที่เลี้ยง หรือจะใช้วิธีสังเกตจากปลาที่ขึ้นมากินอาหารจากจุดที่ให้เป็นประจำ คือ ถ้ายังมีปลานิลออกันอยู่มากเพื่อรอกินอาหารก็เพิ่มจำนวนอาหารมากขึ้นตามลำดับทุก 1-2 สัปดาห์ ในการให้อาหารสมทบมีข้อพึงควรระวัง คือ ถ้าปลากินไ่ม่หมด อาหารจมพื้นบ่อ หรือละลายน้ำมากก็ทำ ให้เกิดความเสียหายขึ้นหลายประการ เช่น เสียค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้น้ำเน่าเสียเป็น อัตรายต่อปลาที่เลี้ยง และหรือต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการสูบถาย เปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ เป็นต้น

การเลี้ยงปลาร่วมกับสัตว์บกอื่น ๆ

วัตถุประสงค์เพื่อใช้มูลสัตว์เป็นอาหารและปุ๋ยในบ่อเป็นการใช้ประโยชน์แบบผสมผสานระหว่าง การเลี้ยงปลากับการเลี้ยงสัตว์อื่น ๆ โดยเศษอาหารที่เหลือจากการย่อยหรือตกหล่นจากที่ให้อาหารจะ เป็นอาหารของปลาโดยตรงในขณะที่มูลของสัตว์จะเป็นปุ๋ยและให้แร่ธาตุสารอาหารแก่พืชน้ำซึ่งเป็น อาหารของปลา เป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและแก้ปัญหามลภาวะได้

วิธีการเลี้ยงสัตว์ร่วมกับปลาอาจใช้วิธีสร้างคอกสัตว์บนบ่อปลาเพื่อให้มูลไหลลงบ่อปลาโดยตรง หรือสร้างคอกสัตว์ไว้บนคันบ่อแล้วนำมูลสัตว์มาใส่ลงบ่อในอัตรที่เหมาะสม ในประเทศไทยนิยมเลี้ยง สุกร จำนวน 10 ตัว หรือ เป็น ไก่ ไข่ จำนวน 200 ตัว ต่อบ่อปลาพื้นที่น้ำ 1 ไร่

2. กระชังหรือคอก

การเลี้ยงปลานิลโดยใช้แหล่งน้ำธรรมชาติทั้งในบริเวณน้ำกร่อยและน้ำจืด ที่มีคุณภาพน้ำดีพอก ระชังส่วนใหญ่ที่ใช้กันโดยทั่วไป จะมีขนาดกว้าง 20 เมตร ยาว 25 เมตร ลึก 5 เมตร สามารถจะนำมา ใช้ติดตั้ง 2 รูปแบบคือ

2.1 กระชังหรือคอกแบบผูกติดกับที่ สร้างโดยใช้ไม้ไผ่ทั้งลำปักลงในแหล่งน้ำควรมีไม้ไผ่ผูกเป็น แนวนอนหรือเสมอผิวน้ำที่ระดับประมาณ 1-2 เมตร เพื่อยึดลำไผ่ที่ปักลงในดินให้แน่นกระชัง ตอน บนและล่างควรร้อยเชือกคร่าวเพื่อใช้ยึดตัวกระชังให้ขึงตึง โดยเฉพาะตรงมุม 4 มุม ของกระชังทั้ง ด้านล่างและด้านบน การวางกระชังก็ควรวางให้เป็นกลุ่ม โดยเว้นระยะห่างกันให้น้ำไหลผ่านได้สะดวก อวนที่ใช้ทำกระชังเป็นอวนไนล่อนช่องตาแตกต่างกันตามขนาดของปลานิลที่จะเลี้ยง คือขนาดช่องตา 1/4 นิ้ว 8/8 นิ้ว ขนาด 1/2 นิ้ว และอวนตาถี่สำหรับเพาะเลี้ยงลูกปลาวัยอ่อน

2.2 กระชังแบบลอย ลักษณะของกระชังก็เหมือนกับกระชังโดยทั่วไปแต่ไม่ใช่เสาปักยึดติดอยู่กับที่ ส่วนบนของกระชังผูกติดทุ่นลอย ซึ่งใช้ไผ่หรือแท่งโฟม มุมทั้ง 4 ด้านล่างใช้แท่งปูนซีเมนต์หรือก้อน หินผูกกับเชือกคร่าวถ่วงให้กระชังจมถ้าเลี้ยงปลาหลายกระชังก็ใช้เชือกผูกโยงติดกันไว้เป็นกลุ่ม

อัตราส่วนของปลาที่เลี้ยงในกระชัง ปลานิลที่เลี้ยงในกระชังในแหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำดีสามารถ ปล่อยปลาได้หนาแน่น คือ 40-100 ตัว/ตรม. โดยให้อาหารสมทบที่เหมาะสม เช่น ปลายข้าวหรือมันสำปะหลัง รำข้าว ปลาป่น และพืชผักต่าง ๆ โดยมีอัตราส่วนของโปรตีนประมาณ 20% สำหรับวิธีทำอาหารผสมดังกล่าว คือ ต้มเฉพาะปลายข้าว หรือมันสำปะหลังให้สุก แล้วนำมา คลุกเคล้า กับรำ ปลาป่น และพืชผักต่าง ๆ แล้วปั้นเป็นก้อนเพื่อมิให้ละลายน้ำได้ง่ายก่อนที่ปลาจะกิน

ภาพที่ 9 ปลานิลที่จะนำไปจำหน่าย

การเจริญเติบโตและผลผลิต

ปลานิลเป็นปลาที่มีการเจริญเติบโตเร็ว เมื่อได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้องจะมีขนาดเฉลี่ย 500 กรัม ในเวลา 1 ปี ผลผลิตไม้น้อยกว่า 500 กก./ไร่/ปี ในกรณีที่เลี้ยงในกระชังที่คุณภาพน้ำดีมีอาหารสมทบ อย่างสมบูรณ์ สามารถให้ผลผลิตไม้น้อยกว่า 5 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร

การเจริญเติบโตของปลานิล

อายุปลา (เดือน) ความยาว (ซม.) หนัก (กรัม)
3 10 30
6 20 200
9 25 350
12 30 500

ภาพที่ 10 ผลผลิตปลานิลแดง

การจับจำหน่ายและการตลาด

ระยะเวลาการจับจำหน่าย ไม่แน่นอนขึ้อยู่กับขนาดของปลานิลและความต้องการของตลาด โดยทั่วไปเป็นปลานิลที่ปล่อยลงเลี้ยงในบ่อรุ่นเดียวกัน ก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะจับจำหน่าย เพราะปลานิลที่ได้จะมีน้ำหนักประมาณ 2-3 ตัวต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นขนาดที่ตลาดที่ต้องการส่วนปลานิล ที่ปล่อยลงเลี้ยงหลายรุ่นในบ่อเดียวกัน ระยะเวลาการจับจ่ายจำหน่ายก็ขึ้นอยู่กับราคาปลาและความต้อง การของผู้ซื้อการจับปลาทำได้ 2 วิธี ดังนี้

1. จับปลาแบบไม่วิดบ่อแห้ง จะใช้อวนตาห่างจับปลา เพราะจะได้ปลาที่มีขนาดใหญ่ตามที่ต้องการ การตีอวนจับปลากระทำโดยผู้จับจำหน่ายและยืนเรียงแถวหน้ากระดานโดยมีระยะห่างกันประมาณ4.50 เมตร โดยอยู่ทางด้านหนึ่งของบ่อแล้วลากอวนไปยังอีกด้านหนึ่งของบ่อตามความยาวแล้วยกอวนขึ้น หลักจากนั้นก็นำสวิงตักปลาใส่เข่งเพื่อชั่งขาย ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนได้ปริมาณตามที่ต้องการ ส่วนปลาเล็ก ก็คงปล่อยเลี้ยงในบ่อต่อไป

ภาพที่ 11 ลากอวนเพื่อนำไปจำหน่าย

การลากอวนแต่ละครั้งจะมีปลาเบญจพรรณเป็นผลพลอยได้เสมอ เช่น ปลาดุก ปลาหลด ปลาตะเพียน ปลาช่อน เป็นต้น การคัดขนาดของปลากระทำได้ 2 วิธีคือ ถ้านำไปจำหน่ายที่องค์การ สะพานปลา องค์การสะพานปลาก็จะจัดการคัดขนาดให้ แต่ถ้าเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาจำหน่ายที่ปากท่อ องค์การสะพานปลาก็จะจัดการคัดขนาดให้ แต่ถ้าเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาจำหน่ายที่ปากท่อ ก็จำเป็นต้อง ทำการคัดขนาดปลากันเอง

2. จับปลาแบบวิดบ่อแห้ง ก่อนทำการจับปลาจะต้องสูบน้ำออกจากบ่อให้เหลือน้อยแล้วจึงตีอวนจับ ปลาเช่นเดียวกับวิธีแรก จนกระทั่งปลาเหลือจำนวนน้อยจึงสูบน้ำออกจากบ่ออีกครั้งหนึ่งและขณะเดียวกันก็ตีน้ำไล่ปลาให้ไป รวมกัน อยู่ในร่องบ่อร่องบ่อนี้จะเป็นส่วนที่ลึกอยู่ด้านหนึ่งของบ่อเมื่อนำไปบ่อแห้ง ปลาก็จะมารวมกัน อยู่ที่ร่องบ่อ และเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาก็จับปลาขึ้นจำหน่ายต่อไป การจับปลาลักษณะนี้ส่วนใหญ่จำทำทุก ปีในฤดูแล้ง เพื่อตากบ่อให้แห้งและเริ่มต้นเลี้ยงปลาในฤดูการผลิตต่อไป

ตลาดของปลานิลส่วนใหญ่ยังใช้บริโภคภายในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามมีโรงงานห้องเย็นเริ่มรับซื้อ ปลานิล ปลานิลแดง เพื่อแปรรูปส่งออกจำหน่ายต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอมริกา อิตาลี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เป็นต้น โดยโรงงานจะรับซื้อ ปลาขนาด 400 กรัม ขึ้นไป เพื่อแช่แข็งส่งออกทั้งตัว และรับ ซื้อปลา ขนาด 100-400 กรัม เพื่อแล่เฉพาะเนื้อแช่แข็ง หรือนำไปแปรรูปเพื่อส่งออกต่อไป

ต้นทุนและผลตอบแทน

ต้นทุนการผลิตปลานิล 1 กิโลกรัมในฟาร์มเลี้ยงขนาด 1-3 ไร่ ประกอบด้วยต้นทุนคงที่ได้แก่ ที่ดิน ค่าขุดบ่อ เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ มูลค่า 4-6 บาท รวมเป็นต้นทุนทั้งสิ้น 14-18 บาท ต่อผลผลิตปลานิล 1 กิโลกรัม จากข้อมูลพบว่า ถ้าเลี้ยงปลานิลด้วยอาหารสมทบเพียงอย่างเดียว จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงกว่าราคาตลาด ดังนั้น เกษตรกรควรเลี้ยง ปลานิลร่วมกับปลาชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะการเลี้ยงร่วมกับสัตว์บกหรือใช้น้ำจากบ่อปลากินเนื้อ เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ซึ่งมีเศษอาหารและปุ๋ยสำหรับพืชน้ำ ซึ่งเป็นอาหารของปลานิล นอกจากนี้การใช้แรงงานในครอบครัวจะเป็นแนวทาง ลดต้นทุนการผลิตได้อีกทางหนึ่ง

ปัญหาและอุปสรรค

ปัญหาและอุปสรรคในการเลี้ยงปลานิล คือ ปัญหาปลาสูญหาย ปัญหาพันธุ์ปลานิลลูกผสม ปัญหาปลานิลราคาต่ำ ปัญหาน้ำท่วม ปัญหาน้ำเสีย ปัญหาปลาไม่โต ปัญหาการขาดแคลนเงินทุน ปัญหาการใช้พื้นที่จำนวนมากเลี้ยงปลานิล ปัญหาภาษีที่ดินมีอัตราสูง ปัญหาดินเปรี้ยว ปัญหาราคาอาหารปลานิลแพง ปัญหาถูกเวนคือที่ดิน ปัญหาคลอง ระบาย น้ำตื้นเขิน และปัญหาเกษตรกรขาดความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงปลานิล

นอกจากนี้ปัญหากลิ่นเหม็นโคลนในเนื้อปลานิลยังเป็นอุปสรรคของการส่งออกซึ่งแก้ไขได้โดยการเปลี่ยนน้ำพร้อม ทั้งควบคุมคุณภาพน้ำและอาหารที่เลี้ยงปลาในช่วงก่อนจับ ประมาณ 3 วัน

แนวโน้มการเลี้ยงปลานิลในอนาคต

ปลานิลเป็นปลาที่ตลาดผู้บริโภคยังมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากจำนวนประชากรมีอัตราการเจริญ เติบโตสูง จึงส่งผลต่อแนวโน้มการเลี้ยงปลาชนิดนี้ให้มีลู่ทางแจ่มใสต่อไปโดยไม่ต้องกังวลปัญหาด้านการตลาด เนื่องจากเป็นปลาที่มีราคาดี ไม่มีอุปสรรคเรื่องโรคระบาด เป็นที่นิยมบริโภคและเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในทั่วทุก ภูมิภาค เพราะสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันปลานิลสามารถส่งเป็น สินค้าออกไปสู่ต่างประเทศในลักษณะของปลาแล่เนื้อ ตลาดที่สำคัญ ๆ อาทิ ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อิตาลี เป็นต้น ดังนั้น การเลี้ยงปลานิลให้มีคุณภาพ ปราศจากกลิ่นโคลน ย่อมจะส่งผลดีต่อการบริโภค การจำหน่ายและ การให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าในที่สุด


ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้ จากกรมประมง เกษตรและสหกรณ์

http://www.doae.go.th/Library/html/detail/fish_nil/tilipia.htm

การเพาะเลี้ยงปลานิน 4

การอนุบาลลูกปลานิล

1. บ่อดิน บ่อดินควรมีขนาดประมาณ 200 ตรม. ถ้าเป็นบ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าจะสะดวกในการจับย้าย ลูกปลา น้ำในบ่อควรมีระดับความลึกประมาณ 1 เมตร บ่ออนุบาลควรเตรียมไว้ให้มีจำนวนมากพอ เพื่อให้ เลี้ยงลูกปลาขนาดเดียวกันที่ย้ายมาจากบ่อเพาะ การเตรียมบ่ออนุบาลควรจัดการล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนที่นำลูกปลามาเลี้ยง การเตรียมบ่ออนุบาลนั้นปฏิบัติวิธีเดียวกันกับการเตรียมบ่อที่ใช้เพาะ ปลานิล บ่อขนาดดังกล่าวนี้จะใช้อนุบาลลูกปลานิลขนาด 1-2 ซม. ได้ครั้งละประมาณ 50,000 ตัว การอนุบาลลูกปลานิล นอกจากใช้ปุ๋ยเพาะอาหารธรรมชาติแล้วจำเป็นต้องใช้อาหารสมทบ เช่น รำละเอียด กากถั่ว อีกวันละ 2 ครั้ง พร้อมทั้งสังเกตความอุดมสมบูรณ์ของอาหารธรรมชาติจากสีของ น้ำซึ่งมีสีอ่อน หรือจะใช้ถุงลากแพลงก์ตอน ตรวจดูปริมาณของไรน้ำก็ได้ ถ้ามีปริมาณน้อยก็ควร เติมปุ๋ยคอกลงเสริมในช่วงระยะเวลา 5-6 สัปดาห์ ลูกปลาจะโตมีขนาด 3-5 ซม. ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสม จะนำไปเลี้ยงเป็นปลาขนาดใหญ่

2. นาข้าวใช้เป็นบ่ออนุบาล นาข้าวที่ได้เสริมคันดินให้แน่นเพื่อเก็บกักน้ำให้มีระดับสูงประมาณ 50 ซม. โดยใช้ดินที่ขุดขึ้นโดยรอบคันนาไปเสริมซึ่งจะมีคูขนาดเล็กโดยรอบพร้อมมีบ่อขนาดเล็กประมาณ 2x5 เมตร ลึก 1 เมตร ในด้านคันนาที่ลาดเอียงต่ำสุดเป็นที่รวบรวมลูกปลาขณะจับ พื้นที่นาดังกล่าว ก็สามารถจะเป็นนาอนุบาลลูกปลานิลได้หลังจากปักดำข้าว 10 วัน หรือภายหลังที่เก็บเกี่ยว ข้าวแล้วส่วน การให้อาหาร และปุ๋ยก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับบ่ออนุบาล การป้องกันศัตรูของปลานิลในนาข้าวควร ให้อวนในล่อนตาถี่สูงประมาณ 1 เมตร ทำเป็นรั้วล้อมรอบเพื่อป้องกันศัตรูของปลาจำพวก กบ งู เป็นต้น

3. บ่อซีเมนต์ บ่ออนุบาลลูกปลานิลและบ่อเพาะปลานิลจะใช้ขนาดเดียวกันก็ได้ ซึ่งจะสามารถใช้บ่อ อนุบาลลูกปลาวัยอ่อนได้ตารางเมตรละประมาณ 300 ตัวในเวลา 4-6 สัปดาห์ โดยใช้เครื่องเป่าลมช่วย และเปลี่ยนถ่ายน้ำประมาณครึ่งบ่อสัปดาห์ละครั้งให้อาหารสมทบวันละ 3 เวลา เมื่อลูกปลาที่เลี้ยงโตขึ้นมีขนาด 3-5 ซม.

4. กระชังในล่อนตาถี่ ขนาด 3 x 3 x 2 เมตร ซึ่งสามารถจะใช้อนุบาลลูกปลาวัยอ่อนได ้จำนวน ครั้งละ 3,000 - 5,000 ตัว โดยให้ไข่แดงต้มบดให้ละเอียด วันละ 3-4 ครั้ง หลังจากอุง อาหารของลูก ปลายุบตัวลงใหม่ ๆ เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจึงให้รำละเอียด 3 ส่วน ผสมกับปลาป่นบด ให้ละเอียดอัตรา 1 ส่วนติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 4-5 สัปดาห์ ลูกปลาจะโตขึ้นมีขนาด 3-5 ซม. ซึ่งสามารถนำไปเลี้ยงให้เป็นปลาขนาดใหญ่หรือจำหน่าย

ภาพที่ 5 การอนุบาลลูกปลานิลแดงบ่อซีเมนต์

การอนุบาลลูกปลานิลอาจจะใช้บ่อเพาะพันธุ์อนุบาลปลานิลเลยก็ได้ เพื่อเป็นการประหยัด โดย ซ้อนพ่อพันธุ์ออกไปเลี้ยงไว้ต่างหาก

ภาพที่ 6 การอนุบาลลูกปลานิลในกระชังในล่อนตาถี่

การเลี้ยง

ปลานิลเป็นปลาที่ประชาชนนิยมเลี้ยงกันมากชนิดหนึ่ง ทั้งในรูปแบบการค้าและเลี้ยงไว้บริโภคใน ครัวเรือน ทั้งนี้เนื่องจากปลานิลเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินอาหารได้แทบทุกชนิด เนื้อมีรสชาติดีตลาดมี ความต้องการสูง ส่วนในเรื่องราคาที่จำหน่ายนั้นค่อข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับปลาชนิดอื่น ๆ เช่น ปลาตะเพียนขาว ปลาสวาย ฯลฯ ดังนั้น การเลี้ยงปลาชนิดนี้เพื่อผลิตจำหน่าย จึงมีความจำเป็นที่จะต้อง พิจารณาในด้านอาหารปลาที่จะนำมาใช้เลี้ยงเป็นหลัก กล่าวคือ ต้องเป็นอาหารที่หาได้ง่าย ราคาต่ำเพื่อ ลดต้นทุนการผลิตให้มากที่สุด นอกจากนั้นการเลี้ยงปลาชนิดนี้มีความจำเป็นในด้านการจัดการฟาร์ม ที่เหมาะสม เพราะปลานิลเป็นปลาที่ออกลูกดก ถ้าเป็นในบ่อมีความหนาแน่นมากก็จะไม่เจริญเติบโต ดังนั้นการเลี้ยงที่จะให้ได้ผลดีเป็นที่พอใจ ก็จำเป็นต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ ตามประเภท ของการเลี้ยงและขั้นตอนต่อไปนี้

1. บ่อดิน

บ่อที่เลี้ยงปลานิลควรเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้าเพื่อสะดวกในการจับเนื้อที่ตั้งแต่ 200 ตารางเมตร ขึ้นไป ใช้เศษอาหารเลี้ยงจากโรงครัว ปุ๋ยคอก อาหารสมทบอื่น ๆ ที่หาได้ง่าย เช่น แหนเป็ด สาหร่าย เศษพืชผัก ต่าง ๆ ปริมาณปลาที่ผลิตได้ก็เพียงพอสำหรับบริโภคในครอบครัว

ส่วนการเลี้ยงปลานิลเพื่อการค้าควรใช้บ่อขนาดใหญ่ตั้งแต่ 0.5 - 3.0 ไร่ควรจะมีหลายบ่อเพื่อทยอย จับปลาเป็นรายวัน รายสัปดาห์และรายเดือน เพื่อให้ได้เงินสดมาใช้จ่ายเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับค่า อาหารปลา เงินเดือนคนงาน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

ปัจจุบันการเลี้ยงปลานิลในบ่อดินแบ่งได้ 4 ประเภท ตามลักษณะของการเลี้ยงดังนี

1. การเลี้ยงปลานิลแบบเดี่ยว โดยปล่อยลูกปลาขนาดเท่ากันลงเลี้ยงพร้อมกันใช้เวลาเลี้ยง 6-12 เดือน แล้วจิบจับหมดทั้งบ่อ

2. การเลี้ยงปลานิลหลายรุ่นในบ่อเดียวกัน โดยใช้อวนจับปลาขนาดใหญ่เฉพาะขนาดปลาที่ ตลาดต้อง การจำหน่ายปล่อยให้ปลาขนาดเล็กเจริญ เติบโต

3. การเลี้ยงปลานิบร่วมกับปลาชนิดอื่น เช่น ปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลาจีน ฯลฯ เพื่อใช้ประโยชน์ จากอาหาร หรือเลี้ยงร่วมกับปลากินเนื้อเพื่อกำจัดลูกปลาที่ไม่ต้องการ ขณะเดียวกันจะได้ปลากินเนื้อเป็น ผลพลอยได้ เช่น การเลี้ยงปลานิลร่วมกับปลากลาย และการเลี้ยงปลานิลร่วมกับปลาช่อง

4. การเลี้ยงปลานิลแบบแยกเพศโดยวิธีแยกเพศปลา หรือเปลี่ยนเพศปลาเป็นเพศเดียวกัน เพื่อป้อง กันการแพร่พันธุ์ในบ่อ ส่วนมากนิยมเลี้ยงเฉพาะปลาเพศผู้ ซึ่งมีการเจริญเติบโตเร็วกว่าเพศเมีย

การขุดบ่อเลี้ยงปลาในปัจจุบันนิยมใช้เครื่องจักรกล เช่น รถแทรกเตอร์ รถตักขุดดิน เพราะเสียค่า ใช้จ่ายต่ำกว่าใช้แรงงานจากคนขุดเป็นอันมาก นอกจากนี้ยังปฏิบัติงานได้รวดเร็วตลอดจน การสร้างคันดิน ก็สามารถอัดให้แน่น ป้องกันมากรั่วซึม ของน้ำได้เป็นอย่างดี ความลึกของบ่อประมาณ 1 เมตร มีเชิงลาด ประมาณ 45 องศา เพื่อป้องกันการ พังทลายของดิน และมีชายบ่อกว้างประมาณ 1-2 เมตร ตามขนาด ความกว้างยาวของบ่อที่เหมาะสม ถ้าเป็นอยู่ในแหล่งน้ำ เช่น คู คลอง แม่น้ำหรือในเขตชลประทาน ควรสร้างท่อระบายน้ำทิ้งที่พื้นบ่ออีก ด้านหนึ่ง โดยจัดระบบน้ำเข้าออกคนละทาง เป็นการลดค่าใช้จ่าย ในการสูบน้ำ แต่ถ้าบ่อนั้นไม่สามารถ จะทำท่อชักน้ำและระบายน้ำได้จำเป็นต้องใช้เครื่องสูบน้ำ

การเพาะเลี้ยงปลานิน 3

การะเพาะพันธุ์ปลานิลให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ ต้องได้รับการเอาใจใส่และมีการปฏิบัติใน ด้านต่าง ๆ เช่น การเตรียมบ่อ การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ การตรวจสอบลูกปลา และการอนุบาลลูกปลา สำหรับการเพาะปลานิลอาจทำได้ทั้งในบ่อดินและบ่อปูนซิเมนต์ และกระซังไนลอนตาถี่ ดังวิธีการ ต่อไปนี้

1. การเตรียมบ่อเพาะพันธุ์

1.1 บ่อดิน บ่อเพาะปลานิลควรเป็นบ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเนื้อที่ตั้งแต่ 50-1,600 ตารางเมตร สามารถเก็บกักน้ำได้ระดับสูง 1 เมตร บ่อควรมีเชิงลาดตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันดินพังทลาย และมี ชานบ่อกว้าง 1-2 เมตร ถ้าเป็นบ่อเก่าก็ควรวิดน้ำและสาดเลนขึ้น ตกแต่งภายในบ่อให้ดินแน่น ใส่โล่ติ๊น กำจัดศัตรูของปลาอัตรส่วนใช้โล่ติ๊นแห้ง 1 กก./ปริมาตรของน้ำ 100 ลูกบาศก์เมตร โรยปูนขาวให้ทั่วบ่อ 1 กก./ พื้นที่บ่อ 10 ตรม. ใส่ปุ่ยคอกแห้ง 300 กก./ไร่ ตากบ่อทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน จึงเปิดหรือสูบน้ำเข้าบ่อ ผ่านผ้ากรองหรือตะแกรงตาถี่ให้มีระดับสูงประมาณ 1 เมตร การใช้บ่อดินเพาะปลานิลจะมีประสิทธิภาพ ดีกว่าวิธีอื่น เพราะเป็นบ่อที่มีลักษณะคล้ายคลึงธรรมชาติ และการผลิตลูกปลานิลจากบ่อดินจะได้ ผลผลิตสูง ต้นทุนต่ำกว่าวิธีอื่น

1.2 บ่อปูนซีเมนต์ ก็สามารถใช้ผลิตลูกปลานิลได้ รูปร่างของบ่อจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูปกลม ก็ได้ มีความลึกประมาณ 1 เมตร พื้นที่ผิวน้ำตั้งแต่ 10 ตารางเมตร ขึ้น ทำความสะอาดบ่อและ เติมน้ำที่กรองผ้าในล่อนหรือมุ้งลวดตาถี่ให้มีระดับน้ำสูงประมาณ 80 ซม. ถ้าใช้เครื่องเป่าลมช่วย เพิ่มออกซิเจน ในน้ำ จะทำให้การเพาะปลานิลด้วยวิธีนี้ได้ผลมากขึ้น อนึ่ง การเพาะปลานิลด้วยบ่อซีเมนต์ ถ้าจะให้ได้ลูกปลามากก็ต้องใช้บ่อขนาดใหญ่ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูง

1.3 กระชังในล่อนตาถี่ ขนาดของกระชังที่ใช้ประมาณ 5 x 8 x 2 เมตร เมตร วางกระชังในบ่อดินหรือ ในหนองบึง อ่างเก็บน้ำ ให้พื้นกระชังอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำ ประมาณ 1 เมตร ใช้หลักไม้ 4 หลัก ผูกตรงมุม 4 มุม ยึดปากและพื้นกระชังให้แน่นเพื่อให้กระชังขึงตึง การเพาะปลานิลด้วยวิธีนี้มีความเหมาะ ที่จะใช้ผลิต ลูกปลาในกรณีซึ่งเกษตรกรไม่มีพื้นที่ดินก็สามารถจะเลี้ยงปลาได้ เช่น เลี้ยงในอ่างเก็บน้ำหนอง บึงและ ลำน้ำต่าง ๆ เป็นต้น

2. การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์

การคัดเลือกพ่อแม่ปลานิล จากการสังเกตจากลักษณะภายนอกของปลา ที่สมบูรณ์ปราศจากเชื่อ โรคและบาดแผล สำหรับพ่อแม่ปลาที่พร้อมจะวางไข่นั้นสังเกตได้จากอวัยวะเพศถ้าเป็นปลาตัวเมีย และมีสีชมพูแดงเรื่อ ส่วนปลาตัวผู้ก็สังเกตได้ จากสีของตัวปลาที่เข้มสดใสโดยเปรียบเทียบกับปลานิล ตัวผู้อื่น ๆ ที่จับขึ้นมาขนาดของปลาตัวผู้และตัวเมียควรมีขนาดไล่เลี่ยกันคือมีความยาวตั้งแต่ 15-25 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 150-200 กรัม

3. อัตราส่วนที่ปล่อยพ่อแม่ปลาลงเพาะ

ปริมาณพ่อแม่ปลาที่จะนำไปปล่อยในบ่อเพาะ 1 ตัว/4 ตารางเมตร หรือไร่ละจำนวน 400 ตัว ควรปล่อยในอัตราส่วนพ่อปลา 2 ตัว /แม่ปลา 3 ตัว เนื่องจากได้สังเกตจากพฤติกรรมในการ ผสมพันธุ์ของปลาชนิดนี้ ปลาตัวผู้มีสมรรถภาพที่จะผสมพันธุ์กับปลาตัวเมียอื่น ๆ ได้อีก ดังนั้น การเพิ่มอัตราส่วนของปลาตัวเมียให้มากขึ้นคาดว่าจะได้ลูกปลานิลเพิ่มขึ้นส่วนการเพาะปลานิลในกระชัง ใช้อัตราส่วนของปลา 6 ตัว/ตารางเมตร โดยใช้ตัวผู้ 1 ตัว/ตัวเมีย 3-5 ตัว การเพาะปลานิลแต่ละรุ่น จะใช้ เวลาประมาณ 2 เดือน จึงเปลี่ยนพ่อแม่ปลารุ่นใหม่ต่อไป

4. การให้อาหารและปุ๋ยในย่อเพาะพันธุ์

การเลี้ยงปลานิลมีความจำเป็นที่จะต้องให้อาหารสมทบ หรืออาหารผสมได้แก่ ปลายข้าว สาหร่าย รำละเอียด ในอัตราส่วน 1:2:3 โดยให้อาหารดังกล่าวแก่พ่อแม่ปลานิลประมาณ 2% ของน้ำหนักตัว ทั้งนี้เพื่อให้ปลานิลใช้เป็นพลังงาน ซึ่งต้องใช้มากกว่าในช่วงการผสมพันธุ์ส่วนปุ๋ยคอก แห้งก็ต้องใส่ในอัตรส่วนประมาณ 100-200 กก./ไร่/เดือน ทั้งนี้เพื่อเพิ่มพูนอาหารธรรมชาติในบ่อได้แก่ พืชน้ำขนาดเล็ก ๆ ไรน้ำ และตัวอ่อน อันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกปลานิลวัยอ่อนที่หลัง จากถุงอาหาร ยุบตัวลง และจะต้องดำรงชีวิตอยู่ใน พ่อเพาะดังกล่าวประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะย้ายไปเลี้ยงใน บ่ออนุบาล ถ้าในบ่อขาดอาหารธรรมชาติ ดังกล่าว ผลผลิตลูกปลานิลจะได้น้อยเพราะขาดอาหาร ที่จำเป็นเบื้องต้น หลังจากถุงอาหารได้ยุบ ตัว ลงใหม่ ๆ ก่อนที่ลูกปลานิลจะสามารถกินอาหารสมทบอื่น ๆ ได้ อาหารสมทบ ที่หาได้ง่ายคือ รำข้าว ซึ่งควรปรับปรุงคุณภาพได้ดียิ่งขึ้นโดยใช้ปลาป่น กากถั่ว และวิตามินเป็นส่วนผสม นอกจากนี้แหนเป็ด และสาหร่าย หลายชนิดก็สามารถจะใช้เป็นอาหาร เสริมแก่พ่อแม่ปลา นิลได้เป็นอย่างดี ในกรณีที่ใช้กระชังในล่อนตาถี่เพาะพันธุ์ปลานิลก็ควร ให้อาหารสมทบแก่พ่อแม่ปลาอย่งเดียว

การเพาะเลี้ยงปลานิน 2

คุณสมบัติและนิสัย

ปลานิลมีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง (ยกเว้นเวลาสืบพันธุ์) มีความอดทนและปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมได้ดีจาการศึกษาพบว่าปลานิลทนต่อความเค็มได้ถึง 20 ส่วนในพัน ทนต่อค่าความ เป็น กรด-ด่าง(pH) ได้ดีในช่วง 6.5-8.3 และสามารถทนต่ออุณหภูมิได้ถึง 40 องศาเซลเซียส แต่ในอุณหภูมิ ที่ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียสพบว่าปลานิลปรับตัวและเจริญเติบโตได้ไม่ดีนัก ทั้งนี้เป็น เพราะถิ่นกำเนิดเดิม ของปลาชนิดนี้อยู่ในเขตร้อน

การสืบพันธุ์

1. ลักษณะ ตามปกติแล้วรูปร่างภายนอกของปลานิล ตัวผู้และตัวเมีย จะมีลักษณะคล้ายคลึง กันมากแต่จะสังเกตลักษณะเพศได้ก็โดยการดูอวัยวะเพศที่บริเวณใกล้กับช่องทวาร โดยตัวผู้จะมี อวัยะเพศ ในลักษณะเรียวยาวยื่นออกมา แต่สำหรับตัวเมียมีลักษณะเป็นรูค่อนข้างใหญ่และกลม ขนาดปลาที่จะ ดูเพศได้ชัดเจนนั้น ต้องเป็นปลาที่มีขนาดยาวตั้งแต่ 10 เซนติเมตรขึ้นไป สำหรับปลา ที่มีขนาดโตเต็ม ที่นั้นเราจะสังเกตเพศได้อีกวิธีหนึ่งด้วยการดูสีที่ลำตัว ซึ่งปลาตัวผู้ที่ใต้คางและลำตัวจะ มีสีเข้มต่าง กับตัวเมีย ยิ่งเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์สีจะยิ่งเข้มขึ้น

ภาพที่3 เปรียบเทียบลักษณะเพศของปลานิลที่สมบูรณ์เพศ

ภาพที4 เปรียบเทียบปลานิลแดงตัวผู้และตัวเมีย

การผสมพันธุ์และวางไข่ ปลานิลสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปีโดยใช้เวลา 2-3 เดือน/ครั้ง แต่ถ้าอาหารเพียงพอและเหมาะสม ในระยะเวลา 1 ปี จะผสมพันธุ์ได้ 5-6 ครั้ง ขนาดอายุและช่วง การสืบพันธุ์ของปลาแต่ละตัวจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม และสภาพทางสรีรวิทยาของปลา เองการวิวัฒนาการของรังไข่และถุงน้ำเชื้อของปลานิล พบว่าปลานิลจะมีไข่และน้ำเชื้อเมื่อมีความยาว 6.5 ซม.

โดยปกติปลานิลที่ยังโตไม่ได้ขนาดผสมพันธุ์หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมเพื่อการวางไข่ ปลาจะรวมกันอยู่เป็นฝูง แต่ภายหลังที่ปลามีขนาดที่จะสืบพันธุ์ได้ปลาตัวผู้จะแยกออกจากฝูงแล้ว เริ่มสร้างรังโดยเลือกเอาบริเวณเชิงลาดหรือก้นบ่อที่มีระดับน้ำลึกระหว่าง 0.5 - 1 เมตร วิธีการสร้างรัง นั้นปลาจะปักหัวลง โดยที่ตัวของมันอยู่ในระดับตั้งฉากกับพื้นดิน แล้วใช้ปากพร้อมกับความเคลื่อนไหว ของลำตัวที่ เขี่ยดินตะกอนออก จากนั้นจะอมดินตะกอนออก จากนั้นจะอมดินตะกอนงับเศษสิ่งของ ต่าง ๆ ออกไปทิ้งนอกรังทำเช่นนี้จนกว่าจะได้รังที่มีลักษณะค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-35 ซม. ลึกประมาณ 3-6 ซม. ความกว้างและลึกของรังไข่ขึ้นอยู่กับขนาดของพ่อปลาหลักจาก สร้างรังเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันพยายามไล่ปลาตัวอื่น ๆ ให้ออกไปนอกรังสีของรังไข่ประมาณ 2-3 เมตร ขณะเดียวกันพ่อปลาที่สร้างรังจะแผ่ครีบหลังและอ้าปากกว้าง ในขณะที่มีปลาตัวเมียว่ายน้ำเข้ามาใกล้ ๆ รัง และเมื่อเลือกตัวเมียได้ถูกต้องใจแล้วก็จะแสดงอาการจับคู่โดยว่ายน้ำเคล้าคู่กันไปโดยใช้หากและกัด กันเบาๆ การเคล้าเคลียดังกล่าวใช้เวลาไม่นานนัก ปลาตัวผู้ก็จะใช้บริเวณหน้าผากดุนที่ใต้ท้องของตัวเมีย เพื่อเป็นการกระตุ้นเร่งเร้าให้ตัวเมียวางไข่ ซึ่งตัวเมียจะวางไข่ครั้งละ 10-15 ฟอง ปริมาณไข่ที่วางรวม กันแต่ละครั้งมีประมาณ 50-600 ฟอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแม่ปลา เมื่อปลาวางไข่ แต่ละครั้งปลา ตัวผู้จะว่าน้ำไปเหนือไข่พร้อมกับปล่อยน้ำเชื้อลงไป ทำเช่นนี้จนกว่าการผสมพันธุ์แล้วเสร็จ โดยใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง ปลาตัวเมียเก็บไข่ที่ได้รับการผสมแล้วอมไว้ในปากและว่ายออกจากรัง ส่วนปลาตัวผู้ก็คอย หาโอกาสเคล้าเคลียกับปลาตัวเมียอื่นต่อไป

3. การฟักไข่ ไข่ปลาที่อมไว้ด้วยปลาตัวเมียจะวิวัฒนาการขึ้นตามลำดับโดยแม่ปลาจะขยับปากให้น้ำ ไหลเข้าออก ในช่อง ปากอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ไข่ที่อมไว้ได้รับน้ำที่สะอาด ทั้งยังเป็นการป้องกันศัตรู ที่จะมา กินไข่ ระยะเวลาที่ปลาตัวเมียใช้ฟักไข่แตกต่างกันตามอุณหภูมิของน้ำ โดยในน้ำที่มีอุณหภูมิ 27 องศา เซลเซียส ไข่จะมีวิวัฒนาการเป็นลูกปลาวัยอ่อนภายใน 8 วัน ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวนี้ถุงอาหาร ยังไม่ยุบและจะยุบเมื่อลูกปลามีอายุครบ 13-14 วัน นับจากวันที่แม่ปลาวางไข่ ในช่องระยะเวลาที่ลูก ปลาฟักออกเป็นตัวใหม่ ๆ ลูกปลานิลวัยอ่อนจะเกาะรวมตัวกันเป็นกลุ่มโดยว่ายวนเวียนอยู่ในบริเวณ หัวของแม่ปลา และเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในช่องปากเมื่อมีภัยหรือถูกรบกวนด้วยปลานิลด้วยกันเอง เมื่อถุงอาหารยุบลง ลูกปลานิลจะเริ่มกินอาหารจำพวกพืชและไรน้ำขนาดเล็กได้ และหลังจาก 3 สัปดาห์ ไปแล้ว ลูกปลาก็จะกระจายแตกฝูงไปหากินเลี้ยงตัวเองได้โดยลำพัง

การเพาะพันธุ์ปลานิล

การเพาะพันธุ์ปลานิลให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ ต้องได้รับการเอาใจใส่และมีการ ปฏิบัติใน ด้านต่างๆ เช่น การเตรียมบ่อ การเลี้ยงพ่แม่พันธุ์ การตรวจสอบลูกปลา และการอนุบาลลูกปลา สำหรับ การ เพาะปลานิลอาจทำได้ทั้งในบ่อดินและบ่อปูนซีเมนต์ และกระชังไนล่อนตาถี่ ดังวิธีการต่อไปนี้

1. การเตรียมบ่อเพาะพันธุ์

1.1 บ่อดิน บ่อเพาะปลานิลควรเป็นบ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเนื้อที่ตั้งแต่ 50-1,600 ตารางเมตร สามารถเก็บกักน้ำได้ระดับสูง 1 เมตร บ่อควรมีเชิงลาดตามความเหมาะสม เพื่อป้องกัน ดินพังทลาย และมีชานบ่อกว้าง 1-2 เมตร ถ้าเป็นบ่อเก่าก็ควรวิดน้ำและสาดเลนขึ้น ตกแต่งภายใน บ่อให้ดินแน่น ใส่โล่ติ๊นกำจัดศัตรูของปลาอัตรส่วนใช้โล่ติ๊นแห้ง 1 กก./ปริมาตรของน้ำ 100 ลูกบาศก์เมตร โรยปูนขาวให้ทั่วบ่อ 1 กก./พื้นที่บ่อ 10 ตรม. ใส่ปุ๋ยคอกแห้ง 300 กก./ไร่ ตากบ่อทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน จึงเปิดหรือสูบน้ำเข้าบ่อผ่านผ้ากรองหรือตะแกรงตาถึ่ให้มี ระดับสูง ประมาณ 1 เมตร การใช้บ่อดินเพาะปลานิลจะมีประสิทธิภาพดีกว่าวิธีอื่น เพราะเป็นบ่อที่มีลักษณะ คล้ายคลึงตามธรรมชาติ และการผลิตถูกปลานิลจากบ่อดินจะได้ผลผลิตสูง ต้นทุนต่ำกว่าวิธีอื่น

1.2 บ่อปูนซีเมนต์ ก็สามารถใช้ผลิตลูกปลานิลได้ รูปร่างของบ่อจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูปกลมก็ได้ มีความลึกประมาณ 1 เมตร พื้นที่ผิวน้ำตั้งแต่ 10 ตารางเมตร ขึ้น ทำความ สะอาดบ่อและเติมน้ำที่กรองด้วยผ้าไนล่อนหรือมุ้งลวดตาถี่ให้มีระดับน้ำสูงประมาณ 80 ซม. ถ้าใช้เครื่องเป่าลมช่วยเพิ่มออกซิเจนในน้ำ จะทำให้การเพาะปลานิลด้วยวิธีนี้ได้ผลมากขึ้น อนึ่ง การเพาะปลานิลด้วยบ่อซีเมนต์ ถ้าจะให้ได้ลูกปลามากก็ต้องใช้บ่อขนาดใหญ่ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการลงทุนสูง

1.3 กระชังไนล่อนตาถี่ ขนาดของกระชังที่ใช้ประมาณ 5*8*2 เมตร วากระชังในบ่อดิน หรือในหนองบึง อ่างเก็บน้ำ ให้พื้นกระชังอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำ ประมาณ 1 เมตร ใช้หลักไม้ 4 หลัก ผูกตรงมุม ยึดปากและพื้นกระชังให้แน่น เพือ่ให้กระชังขึงตึง การเพาะปลานิลด้วยวิธีนี้มีความ เหมาะสม ที่จะใช้ผลิตลูกปลาในกรณีซึ่งเกษตรกรไม่มีพื้นที่ดินก็สามารถจะเลี้ยงปลาได้ เช่น เลี้ยงในอ่างเก็บ น้ำหนองบึงและลำน้ำต่างๆ เป็นต้น

2. การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์

การคัดเลือกพ่อแม่ปลานิล จากการสังเกตจากลักษณะภายนอกของปลาที่สมบูรณ์ปราศจากเชื้อโรคและบาดแผล สำหรับพ่อแม่ปลา ที่พร้อมจะวางไข่นั้นสังเกตได้จากอวัยวะเพศ ถ้าเป็นปลาตัวเมียและมีสีชมพูแดงเรื่อ ส่วนปลาตัว ผู้ก็สังเกต ได้จากสีของ ตัวปลาที่เข้มสดใสโดยเปรียบเทียบกับปลานิลตัวผู้อื่นๆ ที่จับขึ้นมาขนาดของปลา ตัวผู้และตัวเมียควรมีขนาดไล่เลี่ยกันคือ มีความยาวตั้งแต่ 15-25 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 150-200 กรัม

3. อัตราส่วนที่ปล่อยพ่แม่ปลาลงเพาะ

ปริมาณพ่อแม่ปลาที่จะนำไปปล่อยในบ่อเพาะ 1 ตัว/4 ตารางเมตร หรือไร่ละจำนวน 400 ตัว ควรปล่อยในอัตราส่วนพ่อปลา 2 ตัว/แม่ปลา 3 ตัว เนื่องจากได้สังเกตจากพฤติกรรมในการ ผสมพันธุ์ ของปลาชนิดนี้ ปลาตัวผู้มีสมรรถภาพที่จะผสมพันธุ์กับปลาตัวเมียอื่นๆ ได้อีก ดังนั้นการเพิ่ม อัตราส่วน ของปลาตัวเมียให้มากขึ้นคาด ว่าจะได้ลูกปลานิลเพิ่มขึ้นส่วนการ เพาะปลานิลในกระชังใช้อัตราส่วน ของปลา 6 ตัว/ตารางเมตร โดยใช้ตัวผู้ 1 ตัว/ตัวเมีย 3-5 ตัว การเพาะปลานิลแต่ละรุ่นจะใช้เวลา ประมาณ 2 เดือน จึงเปลี่ยนพ่อแม่ปลารุ่นใหม่ต่อไป

4. การให้อาหารและปุ๋ยในบ่อเพาะพันธุ์

การเลี้ยงปลานิลมีความจำเป็นที่จะต้องให้อาหารสมทบ หรืออาหารผสม ได้แก่ ปลายข้าว สาหร่าย รำละเอียด ในอัตราส่วน 1 : 2 : 3 โดยให้อาหารดังกล่าแก่พ่อแม่ปลานิลประมาณ 2% ของน้ำหนักตัว ทั้งนี้เพื่อให้ปลานิลใช้เป็นพลังงาน ซึ่งต้องใช้มากกว่าในช่วงการผสมพันธุ์ส่วนปุ๋ยคอกแห้งก็ต้องใส่ในอัตราส่วนประมาณ 100-200 กก./ไร่/เดือน ทั้งนี้เพื่อเพิ่มพูนอาหารธรรมชาติในบ่อได้แก่ พืชน้ำขนาดเล็กๆ ไรน้ำ และตัวอ่อน อันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกปลานิลวัยอ่อนที่หลังจากถุงอาหารยุบตัวลง และจะต้องดำรงชีวิตอยู่ในพ่อเพาะดังกล่าวประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะย้อยไปเลี้ยงในบ่ออนุบาล ถ้าในบ่อขาดอาหารธรรมชาติดังกล่าวผลผลิตลูกปลานิลจะได้น้อยเพราะขาดอาหารที่จำเป็นเบื้องต้นหลังจากถุงอาหารได้ยุบตัวลงใหม่ๆ ก่อนที่ลูกปลานิลจะสามารถกินอาหารสมทบอื่นๆ ได้ อาหารสมทบที่หาได้ง่ายคือ รำข้าว ซึ่งควรปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นโดยใช้ปลาป่น กากถั่ว และวิตามินเป็นส่วนผสม นอกจากนี้แหนเป็ดและสาหร่ายหลายชนิดก็สามารถจะใช้เป็นอาหารเสริมแก่พ่อแม่ปลานิลได้เป็นอย่างดี ในกรณีที่ใช้กระชังไนล่อนตาถี่เพาะพันธุ์ปลานิลก็ควรให้อาหารสมทบแก่พ่อแม่ปลาอย่างเดียว

การเพาะเลี้ยงปลานิน 1

ปลานิล Tilapia nilotica เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณค่าทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่ปี 2508 เป็นต้นมา สามารถเลี้ยงได้ในทุกสภาพ การเพาะเลี้ยง ระยะเวลา 1 ปีมีอัตราการเติบโตถึงขนาด 500 กรัม รสชาติดี มีผู้นิยมบริโภคกันอย่างกว้างขวางส่วนขนาดปลาที่ตลาดต้องการจะมีน้ำหนักตัวละ 200-300 กรัม จากคุณสมบัติของปลานิลซึ่งเลี้ยงง่าย เจริญเติบโตเร็ว แต่ปัจจุบันปลานิลพันธุ์แท้ค่อนข้าง จะหายาก กรมประมง จึงได้ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์ปลาเพื่อให้ได้ปลานิลที่มีลักษณะสายพันธุ์ดี อาทิ การเจริญเติบโต ปริมาณความดก ของไข่ ผลผลิตและความต้านทานโรค เป็นต้น ดังนั้นผู้เลี้ยงปลานิล จะได้ความมั่นใจในการเลี้ยงปลานิลเพื่อเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำให้เพียงพอต่อการบริโภค

ความเป็นมา

ตามที่พระจักรพรรดิอากิฮิโตเมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่นทรงจัดส่ง ปลานิล จำนวน 50 ตัว ความยาวเฉลี่ยตัวละประมาณ 9 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 14 กรัม มาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2508 นั้น ในระยะแรกได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ปล่อยลงเลี้ยง ในบ่อดินเนื้อที่ประมาณ 10 ตารางเมตร ในบริเวณสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อเลี้ยงมา 5 เดือนเศษ ปรากฎว่ามีลูกปลาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหน้าที่สวนหลวงขุดบ่อขึ้นใหม่อีก 6 บ่อ มีเนื้อที่เฉลี่ยบ่อละประมาณ 70 ตารางเมตร ซึ่งในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่ได้ทรงย้ายพันธุ์ปลาด้วย พระองค์เอง จากบ่อเดิมไป ปล่อยในบ่อ ใหม่ทั้ง 6 บ่อ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2508 ต่อจากนั้น ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้กรมประมง จัดส่งเจ้าหน้าที่วิชาการมาตรวจสอบการเจริญเติบโตเป็นประจำทุกเดือน

โดยที่ปลานิลนี้เป็นปลาจำพวกกินพืช เลี้ยงง่าย มีรสดี ออกลูกดก เจริญเติบโตได้รวดเร็ว ในเวลา 1 ปีจะมี น้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และมีความยาวประมาณ 1 ฟุต จึงได้มีพระราชประสงค์ที่จะ ให้ปลา นี้แพร่ขยายพันธุ์ อันจะเป็นประโยชน์แก่พสกนิกรของพระองค์ต่อไป ดังนั้นเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2509 จึงทรงพระกรุณาโปรกเกล้าฯ พระราชทานชื่อปลานิลนี้ว่า "ปลานิล" และได้พระราชทานปลานิล ขนาดยาว 3-5 เซนติเมตร จำนวน 10,000 ตัว ให้แก่กรมประมงนำไปเพาะเลี้ยง ขยายพันธุ์ ที่แผนทดลอง และเพาะเลี้ยง ในบริเวณเกษตรกลาง บางเขน และที่ สถานีประมงต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักรอีกรวม 15 แห่ง เพื่อดำเนินการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์พร้อมกัน ซึ่งเมื่อ ปลานิลแพร่ขยายพันธุ์ออกไปได้มากเพียงพอแล้ว จึงได้แจกจ่ายให้แก่ราษฎรนำไปเพาะ เลี้ยงตามความ ต้องการต่อไป

รูปร่างลักษณะ

ปลานิลเป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในตระกูลชิคลิดี (Cichlidae) มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา พบทั่วไป ตามหนอง บึง และทะเลสาบ ในประเทศซูดานยูกันดา แทนแกนยีกา โดยที่ปลานิลนี้ เจริญเติบ โตเร็ว และเลี้ยงง่าย เหมาะสมที่จะนำมาเพาะเลี้ยงในบ่อได้เป็นอย่างดีจึงได้รับความ นิยมและ เลี้ยง กันอย่างแพร่หลายในภาคพื้นเอเซีย แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็นิยมเลี้ยงปลาชนิดนี้

รูปร่างลักษณะของปลานิลคล้ายกับปลาหมอเทศแต่ลักษณะพิเศษของปลานิลมีดังนี้คือ ริมฝีปากบนและล่าง เสมอกัน ที่บริเวณแก้มมีเกล็ด 4 แถว ตามลำตัวมีลายพาดขวางจำนวน 9-10 แถบ นอกจากนั้นลักษณะทั่วไปมีดังนี้ ครีบหลังมีเพียง 1 ครีบ ประกอบด้วยก้านครีบแข็งและก้านครีบอ่อน เป็นจำนวนมาก ครีบก้นประกอบด้วยก้านครีบ แข็งและอ่อนเช่นกันมีเกล็ด ตามแนวเส้นข้างตัว 33 เกล็ด ลำตัวมีสีเขียวปนน้ำตาล ตรงกลางเกล็ดมีสีเข้ม ที่ กระดูก แก้มมีจุดสีเข้มอยู่จุดหนึ่ง บริเวณส่วนอ่อนของ ครีบหลัง ครีบก้น และครีบหางนั้นจะมีจุดสีขาว และสีดำ ตัดขวางแลด คล้ายลายข้าวตอกอยู่โดยทั่วไป

ภาพที่ 1 เปรียบเทียบปลานิลตัวผู้และตัวเมีย

ในประเทศไทยพบปลานิลสีเหลือง-ขาว ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์จากปลานิลสีปกติ หรือเป็นการผสมข้ามพันธุ์ระหว่าง ปลานิลกับปลาหมอเทศ ซึ่งนอกจากสีภายนอกที่แตกต่าง จากปลานิลธรรมดาแล้วภายในตัวปลาที่ผนังช่องท้องยัง เป็นสีขาวเงินคล้ายผนังช่องท้องของปลากินเนื้อ และสีของเนื้อปลาเป็นสีขาวชมพูคล้าย ปลากะพงแดงซึ่งเป็นที่นิยม รับประทานในต่างประเทศมีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักกันว่า "ปลานิลแดง"

ภาพที่2 เปรียบเทียบปลานิลแดงตัวผู้และตัวเมีย

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

เลี้ยงปลาทอง เป็นอาชีพเสริม


วิธีการเลี้ยงปลาทองให้สวยงาม
มีองค์ประกอบที่ต้องพิจารณาอยู่ 5 อย่าง คือ




1. น้ำประปา ต้องรองใส่ภาชนะที่ไม่ปิดฝา ทิ้งไว้เกินกว่า 24 ชม. เพื่อให้สารคลอรีนที่มีอยู่ในน้ำระเหยไปให้หมด หรืออย่างน้อยต้องทิ้งไว้ 12 ชม. เป็นอย่างต่ำ ถ้าจำเป็นต้องรีบใช้น้ำในการเลี้ยงปลาหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำให้ปลา ควรรองน้ำใส่ภาชนะและใส่น้ำยากำจัดคลอรีนลงในภาชนะนั้นๆ และในกรณีใช้น้ำยาลดคลอรีนชนิดเข้มข้นควรทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หรือ 1-2 ชม. สำหรับน้ำยาชนิดธรรมดาทั่วไป น้ำที่ใส่น้ำยานี้สามารถใช้เลี้ยงปลาได้
2. น้ำบาดาล ต้องใส่ยาฆ่าเชื้อโรคหรือใส่น้ำยาปรับสมดุลน้ำ ควรใส่ให้สีของน้ำออกสีน้ำเงินเล็กน้อย เมื่อน้ำเริ่มใสสามารถนำมาเลี้ยงปลาได้ ถ้าใช้น้ำบาดาลที่สูบขึ้นมาใหม่ควรตรวจดูอุณหภูมิของน้ำด้วย คือต้องไม่ร้อนหรือเย็นมากจนเกินไป
3. น้ำคลองหรือบ่อ ห้ามใช้สารส้มเพื่อทำให้น้ำใส ควรรองน้ำใส่ภาชนะทิ้งไว้ 2-3 วันเพื่อรอให้น้ำตกตะกอนเอง จึงสามารถตักส่วนบนที่ใสมาใช้เลี้ยงปลาได้ และควรใส่ยาฆ่าเชื้อโรคหรือใส่ยาปรับสมดุลน้ำเล็กน้อย
4. น้ำฝน ปัจจุบันเนื่องจากมลภาวะแวดล้อมเป็นพิษ น้ำฝนที่ตกลงมาจะมีสารเคมีเจือปน จึงไม่เหมาะแก่การเลี้ยงปลา และในน้ำฝนจะมีแต่ไฮโดรเจนไม่มีอ๊อกซิเจนเจือปนอยู่เลยแต่ที่ปลาสามารถอาศัย อยู่ได้เพราะผู้เลี้ยงได้ใช้เครื่องเพิ่มออกซิเจนให้ปลา ปลาจึงสามารถอยู่ได้แต่ปลาจะโตช้า หรือเลี้ยงแล้วแทบจะไม่โตเลย จะทำให้ปลาเป็นปลาแกรนในที่สุด
น้ำที่ผ่านเครื่องกรองน้ำ ควรเติมน้ำยาลดคลอรีน ถ้าใช้ชนิดเข้มข้นทิ้งไว้ 10-15 นาที ชนิดธรรมดาทิ้งไว้ 1-2 ชม. เหมือนกับใช้น้ำประปา แต่น้ำผ่านเครื่องกรองจะสะอาดและมีเชื้อโรคเจือปนอยู่ในน้ำน้อยกว่ามาก
5. น้ำกลั่น ไม่เหมาะแก่การเลี้ยงปลา เพราะจะไม่มีค่าสารละลายออกซิเจน (โอ ทู) ในน้ำเหลืออยู่เลย เนื่องจากโดนเครื่องกรองน้ำกรองออกจนหมด


อาหารสำเร็จรูป มีหลายชนิดคือ แบบเป็นเม็ด แบบเป็นแผ่น แบบเป็นก้อน แบบเป็นผง และมีหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ บางยี่ห้อสินค้าไม่มีคุณภาพ และมีหลายยี่ห้อที่โฆษณาเกินจริง ผู้เลี้ยงควรสอบถามและขอคำแนะนำในเรื่องการเลือกซื้ออาหารปลาจากร้านปลาที่ ขายสินค้าเป็นประจำ (ไม่ใช่ร้านแผงลอยหรือตามตลาดนัดแนะนำ) ควรเลือกซื้ออาหารปลาตามขนาดของปลาที่เลี้ยงอยู่ และไม่ควรให้อาหารเหลือในน้ำ
อาหารสด มีดังนี้คือ ลูกน้ำ ไรน้ำจืด ไรทะเล ใส้เดือนน้ำ หนอนแดง ไม่ควรใส่อาหารสดทุกชนิดในตู้ปลามาก เพราะอาหารสดเป็นสัตว์ที่มีชีวิต จะแย่งออกซิเจนในตู้ ควรใส่น้อยๆ แต่ใส่บ่อยๆ และไม่ควรเอาอาหารสดที่ตายแล้วใส่ให้ปลากินเพราะจะทำให้ปลาถ่ายท้องได้

อุณหภูมิที่เหมาะกับการเลี้ยงปลาทองคือ 20-25 องศาเซลเซียส

ถ้าน้ำที่ใช้เลี้ยงปลามีออกซิเจนเพียงพอต่อความต้องการของปลา จะช่วยให้ปลาสดชื่น แข็งแรง และโตเร็ว


ไม่ควรเลี้ยงปลาทองจำนวนมากในตู้ ควรเลี้ยงปลาให้พอเหมาะ ไม่แน่นจนเกินไป แสงแดด ควรเลี้ยงปลาทองให้ถูกแสงแดดบ้าง หรือถ้าเลี้ยงอยู่ในบ้าน ควรใช้หลอดไฟเทียมแสงอาทิตย์และเปิดไฟไว้ในเวลากลางวัน

ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม
http://www.phuketwushu.th.gs/web-p/lathong/domesticate.html

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

ค้าของของเก่า อาชีพเสริม ที่ลงทุนน้อย


ช่องทางทำกิน 2548 : ค้าของเก่า ธุรกิจนี้ต้องมี ‘กลยุทธ์’
Source - เดลินิวส์ (Th)
Friday, June 03, 2005 18:59
63358 XTHAI XECON V%PAPERL P%DND
ธุรกิจค้าของเก่า” ยุคนี้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจทำเงินที่น่าสนใจ ซึ่ง “ของเก่าโบราณ” ไม่ว่าจะเป็นของใช้ต่าง ๆ ของตกแต่งบ้าน หรือแม้แต่ของเล่นเด็ก จากที่เคยถูกทิ้งขว้างไร้ค่า พอถึงยุคหนึ่งกลับกลายเป็นว่า “มีราคา” บางชิ้นราคาพุ่งสูงกว่าราคาเดิมหลายเท่าตัวเสียด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะความนิยมในการสะสมของนักเล่นของเก่าวันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มี “กลยุทธ์ธุรกิจค้าของเก่า” มานำเสนอให้พิจารณากัน...????
บงกช วรรณศิลปิน จับธุรกิจขายของเก่ามากว่า 5 ปี เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า หลังจากจบทางด้านศิลปะมาจากเพาะช่าง เมื่อประมาณปี 2533 ก็ได้เข้าทำงานด้านสิ่งพิมพ์อยู่ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทำอยู่ได้ 7 ปีพอเข้ายุคฟองสบู่แตก บริษัทที่ทำอยู่ปิดตัวลง ก็ต้องตกงาน ต้องมองหาอาชีพใหม่เพื่อที่จะหารายได้เลี้ยงตัวตัดสินใจยึดอาชีพค้าขาย โดยเลือกขายเสื้อผ้าที่ซอยละลายทรัพย์ สีลม ขายอยู่ได้ไม่กี่ปีก็เห็นว่าธุรกิจตัวนี้ชักจะมีปัญหา เพราะมีคนขายกันเยอะขึ้น และเพราะเป็นงานที่ไม่ค่อยชอบ-ไม่ถนัด จึงตามแนวร้านอื่นไม่ทันด้วยเหตุนี้จึงเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนแนว คิดหาของอื่นมาขาย คิดอยู่นานว่าจะเปลี่ยนเป็นอะไรดี แล้วในที่สุดก็เกิด
ไอเดียเพราะไปเห็น ของเล่น-ของสะสม ซึ่งที่บ้านมีอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบของเก่าอยู่แล้ว เห็นว่าของที่บ้านก็มีอยู่จำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงมากในช่วงเริ่มต้นก็เลยเปลี่ยนมาจับ ?ธุรกิจค้าของเก่า?หลังจากที่คิดจะทำธุรกิจนี้แน่นอนแล้ว อันดับแรกก็ต้อง ?ศึกษาอย่างจริงจัง? เรื่องของเก่า เพราะการที่จะจับอาชีพขายของเก่านั้นจำเป็นจะต้องมีความรู้ เวลาที่คุยกับลูกค้าจะต้องบอกและอธิบายได้ เช่นเป็นของยุคไหน พ.ศ. อะไร ที่สำคัญ...เวลาที่ต้องไปหาซื้อของเข้าร้านความรู้เรื่องของเก่าก็มีความจำเป็นอย่างมาก
อีกอย่างที่ต้องศึกษาก็คือเรื่องของการตั้งราคาขาย ต้องเดินสำรวจราคาตามท้องตลาด ซึ่งราคาของส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราคากลาง ๆ เพราะร้านขายของจำพวกเดียวกันจะมีการกำหนดราคากลางของสินค้าเอาไว้ โดยมีเกณฑ์ในการกำหนดราคาคือจะดูที่ปีผลิต และแหล่งที่มายึดอาชีพขายของเก่าแทนการขายเสื้อผ้า โดยระยะแรกบงกชขายอยู่ที่ซอยละลายทรัพย์ประมาณ 3 ปี จากนั้นก็ย้ายที่ขายเป็นที่ห้างบางลำภู งามวงศ์วาน เพราะค่าเช่าที่ถูกกว่า และเป็นตลาดค้าของเก่าโดยตรง
?ทำเลที่ขายก็มีส่วน เราทำธุรกิจขายของเก่าเราก็จำเป็นที่จะต้องหาทำเลร้านที่เป็นตลาดค้าของเก่าโดยตรง ถือเป็นการทำการตลาดที่ดีอีกอย่างหนึ่ง?บงกชบอกอีกว่า ที่สำคัญอีกอย่างของการเปิดร้านขายของเก่าก็คือ จะต้องถ่ายรูปของที่เคยมีอยู่ในร้านแล้วจัดทำเป็นแค็ตตาล็อกไว้ให้ลูกค้าดู เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าที่ร้านมีของหรือสามารถหาของประเภทไหนได้บ้าง ซึ่งหากลูกค้าต้องการของแบบไหนที่ทางร้านไม่มีอยู่ก็ให้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ พอทางร้านหาได้ก็จะโทรฯไปบอก
การทำธุรกิจขายของเก่านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาของมาตอบสนองตามความต้องการของลูกค้าให้ได้ บงกชกล่าวถึงอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญสำหรับแหล่งที่จะไปหาของเข้าร้านนั้น บงกชบอกว่า ก็ไปหาตามแหล่งที่ค้าขายของเก่าเหมือนกัน แต่เป็นแหล่งใหญ่ เช่น ตลาดคลองถม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในวง และของที่มีมาเข้าร้านอีกทางหนึ่งก็คือจะมีลูกค้ามาเสนอขายให้ถึงที่ร้าน
กรณีมีคนมาเสนอขายของให้ก็จำเป็นต้องดูให้ดี ถ้าเป็นลูกค้าประจำเคยซื้อขายกันอยู่ก็ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยเห็นหน้าเอาของมาเสนอขายก็ต้องพิจารณามากหน่อย โดยเฉพาะถ้าเป็นของที่มีราคาสูงแต่มาเสนอขายในราคาถูก ให้คิดไว้ก่อนว่าอาจเป็นของที่มีปัญหา หากจะซื้อไว้ก็ต้องขอสำเนาบัตรประชาชนผู้ที่เอาของมาขายให้เก็บไว้ด้วย เพราะอาจมีปัญหาภายหลัง?บงกชแจกแจงต่อไปอีกว่า อีกกลยุทธ์ที่สำคัญและจำเป็นเช่นกันในการทำธุรกิจร้านขายของเก่าก็คือ ?ต้องมีความรู้ในการซ่อมแซมบูรณะของเก่า? ด้วย เพราะอาจต้องซ่อมของก่อนขาย หรือรับจ้างซ่อมของจากลูกค้า
ที่ร้านของบงกชนั้นมีของเก่าหลากหลายประเภท มีทั้งของเล่น, นาฬิกา, ของใช้-ของตกแต่งบ้าน ฯลฯ ซึ่งทุกชิ้นจะต้องเป็นของที่สามารถใช้การได้ และอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนในวัยทำงาน ส่วนราคาของที่มีอยู่ในร้าน ก็มีราคาตั้งแต่หลักสิบขึ้นไปจนถึงหลักหมื่นขึ้นไป แล้วแต่สินค้า
กับการลงทุนเฉพาะในส่วนสินค้า บงกชบอกว่าเบื้องต้นอย่างน้อย ๆ ก็คงต้องมีไม่ต่ำกว่า 30,000-40,000 บาทขึ้นไป ส่วนทุนหมุนเวียนในการซื้อของเข้าร้านก็อยู่ที่ประมาณ 3,000-4,000 บาทต่อสัปดาห์ แต่หากเป็นของชิ้นใหญ่ที่มีราคาสูงก็ต้องใช้ทุนสูงขึ้นอีก ขณะที่กำไรก็จะอยู่ที่ประมาณ 30-40% ของราคาขายของเก่าแต่ละชิ้น????ร้านของบงกชอยู่ที่ห้างบางลำภู งามวงศ์วาน ชั้น 6 โซน H เปิดขายตั้งแต่ 11.00-19.00 น. และยังรับซ่อมแซมของโบราณทุกประเภท สนใจก็แวะเวียนไปได้ หรือสอบถามก่อนที่ โทร. 0-5118-5725?ธุรกิจค้าของเก่า? ยุคนี้ทำเงินได้ไม่น้อยทีเดียวใครสนใจก็ลองศึกษา-ฝึกฝนกลยุทธ์ต่าง ๆ ดู !!.บดินทร์
ศักดา เยี่ยงยงค์ รายงานจเร รัตนราตรี ภาพ--จบ--
--เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 มิ.ย. 2548--

อาชีพพริตตี้ต้องสวย ใส ไร้สมอง..จริงหรือ?


















โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 เมษายน 2551



หลังจากที่ "Pretty Zone" ของเราได้นำเสนอเรื่องราวของสาวๆพริตตี้เกี่ยวกับรายได้ของพวกเธอกันไปแล้ว ทำให้หลายคนสงสัยและถกเถียงกันเป็นอย่างมากว่าเหตุใดพวกเธอถึงทำเงินกันได้ มากมายขนาดนี้ แล้วการทำงานนั้นมันสบายอย่างที่คิดจริงหรือไม่ แค่เดินสวย ยิ้มหวาน พูดจาเพราะๆ แล้วก็ได้เงินเป็นพันเป็นหมื่นมาใช้กัน

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าการทำงานแบบนี้มีหลายแบบให้เรียกไม่ว่าจะเป็น "Pretty" ที่เราคุ้นเคยกันหรือ "Presenter" ซึ่งการทำงานจะต่างกันเล็กน้อยแต่เหมือนกันตรงที่ต้องชูจุดเด่นของสินค้าออก มาให้ดีที่สุด เพื่อให้หายข้องใจเราจะมาคุยกับพวกเธอกันว่าอันที่จริงแล้วงานพริตตี้เบื่อ หน้าอาจจะดูสวยงามแต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเธอต้องฝ่าฟันอะไรหรือแข่งขันกัน อย่างไรบ้างกว่าที่จะมาทำงานตรงนี้กัน

**กว่าจะเป็นพริตตี้**

พริตตี้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เข้ามาทำงานเพราะมีเพื่อนวักชวนกันมาทั้งนั้น นอกจากนี้ก็เป็นการไปสมัครด้วยตัวเองตามโมเดลลิ่งที่มีอยู่มากมาย อีกส่วนหนึ่งเป็นพวกที่บังเอิญไปเจอแมงมองหรือโมเดลลิ่งแล้วชวนให้มาเทสต์ งานก็ถือว่าฟลุ๊คได้งานกันไปทำระหว่างเรียน แต่ที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คือ"เพื่อนชวนเพื่อน"เพราะวิธีนี้ถือว่าเป็น การสแกนพริตตี้ไปในตัวด้วย เพราะคนที่ทำงานมาก่อนย่อมจะรู้ว่าเพื่อนคนไหนที่มีแววว่าจะรุ่งในหน้าที่ การงานแบบนี้ นิสัยเป็นอย่างไร จะเข้ากับคนอื่นได้ไหม ที่สำคัญการชวนเพื่อนเข้ามาทำถ้าตั้งใจทำงานก็จะช่วยกันรุ่งเพราะจะมีการส่ง รูปให้กับบริษัท

**สวยอย่างเดียว.....ไม่พอ**

ใครที่คิดว่าผู้หญิงที่มาทำงานพริตตี้หรือพรีเซ็นเตอร์นั้นขอแค่เพียงสวย รูปร่างดี อย่างเดียวก็หางานได้แล้วนั้น ขอบอกว่าคุณคิดผิด เพราะทุกวันนี้เจ้าของงานก่อนที่จะจ้างทำงานนั้นต้องมีการเทสต์กันหลายขั้น ตอนทีเดียว ยกตัวอย่างของค่ายรถหรูหระดับ 5 ดาว อย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มีการจัดทีม "Mercedes-Benz Presenter" เป็นประจำทุกปีในงาน Motor Show ซึ่งการคัดเลือกหรือระบบระเบียบในค่ายนี้ขอบอกว่าไม่ธรรมดาทีเดียว จากแหล่งข่าวภายในเปิดเผยกับเราว่าสาวๆที่จะมาเป็นหนึ่งในทีมนั้นจะต้องมี คุณสมบัติเข้าขั้นนางงามทีเดียว

"คนที่จะมาทำงานกับเราตรงนี้ต้องมีประวัติที่ดีไม่ด่างพร้อย ไม่เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือพริตตี้ของค่ายอื่นใดมาก่อน นอกเหนือจากรูปร่างหน้าตาที่ชวนมองแล้วก็ต้องมีความอดทนเพราะเมื่อได้รับการ คัดเลือกจะต้องมีการเข้าคอร์สฝึกทางด้านภาษาและการออกเสียงต้องสามารถใช้ ภาษาทั้งไทยและอังกฤษได้อย่างถูกต้อง รวมถึงความเข้าใจในเรื่องรถยนต์ของบริษัท จริงๆการคัดเลือกนั้นเราไม่ต้องการคนที่สวยมากแต่เราเน้นบุคคลิกที่ดีเพราะ ผู้หญิงสวยได้ถ้ารู้จักแต่งตัว ที่สำคัญต้องมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานนี้ บางคนการศึกษาสูงๆระดับปริญญาโทก็ยังมาสมัครซึ่งเราคิดว่าการทำงานแบบนี้ควร มองในแง่บวกมากกว่าจะมองว่าสวยอย่างเดียว"

นอกจากคุณสมบัติมากมายที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คณะกรรมที่คัดเลือกของเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้นต้องการยกระดับการทำงานของพรี เซ็นเตอร์ให้เป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถสำคัญกว่าความสวย รวมทั้งต้องช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของตัวสินค้าให้ดูดีขึ้น

**ใครดี...ใครได้**

ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนก็ต้องมีการแข่งขันกันทั้งสิ้น ไม่เว้นวงการนี้เพราะขึ้นว่าพริตตี้ แต่ละคนย่อมมีความสวยแตกต่างกันไป ความสามารถก็เช่นเดียวกัน ยิ่งทุกวันนี้พริตตี้หน้าใหม่เกิดกันทุกวันยิ่งกว่าดารานักร้อง เรียกได้ว่านับสิบคนที่มาเป็นคลื่นลูกใหม่พร้อมจะมากระแทกคลื่นลูกเก่าให้จม หายไป เพราะฉะนั้นก็ต้องมีการแข่งขันกันหน่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าตา ความสามารถ เส้นสาย เรียกได้แข่งกันชนิดใครดีใครได้ไม่มีใครยอมกันทั้งนั้น อย่างงานที่ทำให้พวกเธอต้องทุ่มเทกันสุดก็มี Motor Show , Motor Expo เพราะเป็นงานแสดงรถยนต์ระดับประเทศที่ปีหนึ่งจะมีแค่ 2 ครั้งเท่านั้น สาวพริตตี้หลายคนถือว่าการได้มายืนงานแบบนี้ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิตพริ ตตี้เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ก็ยังมีรายได้งามอีกเป็นหลักหมื่น (อย่างที่เราบอกไปในตอนที่แล้ว)

สำหรับการหางานของพริตตี้แต่ละคนนั้นถือว่าเทคนิคแตกต่างกันออกไป อย่าง "น้องอุ้ม เมริษา จงภู่" บอกกับเราว่า "การหางานของอุ้มส่วนมากจะเป็นการฝากเพื่อนเอารูปไปส่งค่ะ แต่ก็มีบางทีเจอเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดนะพี่แบบว่าเอาแต่รูปตัวเองไปส่งแล้ว ไม่เอารูปเพื่อนไปส่งอันนี้บางทีเกิดจากการหมั่นไส้กันด้วย แต่ถ้าเราอยู่มานานก็จะรู้วิธีหางานที่สำคัญต้องตรงต่อเวลาทำตัวดีๆแล้วเจ้า ของงานเขาจะเมตตาจ้างเราเรื่อยๆค่ะ"

ส่วนน้องเก๋ที่ถือว่าเป็นพริตตี้มือใหม่นั้น เธอบอกกับเราว่าตอนนี้งานยังไม่เยอะเพราะบางทีก็โดนรุ่นพี่กลั่นแกล้งหรือ ไม่ก็เส้นสายยังไม่เยอะพอ เลยยังไม่มีคนแนะนำเท่าไหร่ "ก่อนหน้านี้เคยอยู่กับโมเดลลิ่งนะคะแล้วทีนี้โดนหักค่าตัวเยอะน่ะพี่ เราก็ไม่ไหวต้องออกมาหาเงินเองแต่ก็ลำบากเพราะบางทีเราไม่มีเส้นสายหรือไม่ ก็ถูกโมฯแย่งงานให้เด็กเขาเอง แค่ถ้ารักจะอยู่ในวงการต่อไปก็ต้องสู้"

**Miss Presenter ยกระดับปรับมาตราฐานพริตตี้**

ในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่ผ่านมานั้นนอกจากรถยนต์หลากกรุ่นที่นำมาโชว์และให้ช็อปกันสนั่นแล้วยังมี การประกวดอีก 2 เวทีใหญ่ก็คือ "Miss Motorshow 2007" ถือว่าเป็นเวทีที่สร้างชื่อเสียงให้กับผู้ที่ได้รับตำแหน่งมาก ไม่แพ้เวที “ Miss Presenter Contest 2007” ดังนั้นคณะกรรมการการจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์จึงได้จัดการประกวด ขึ้นมาเพื่อเป็นการให้บรรดาพรีเซ็นเตอร์และพริตตี้ที่ไม่ได้มีแค่ความสวยแต่ มากด้วยความสามารถเป็นที่รู้จักกัน

“น้องแยม” พรธิดา สุริยะโชติ เจ้าของตำแหน่ง Miss Presenter Contest 2007 คนล่าสุด ตอนนี้เธอมีอายุ 21 ปี เพิ่งเป็นบัญฑิตหมาดๆจาก คณะมนุษยศาสตร์ เอกสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เปิดเผยความในใจให้เราฟังว่า ตอนแรก ๆ ที่มาประกวดเธอเตรียมตัวมาอย่างดีเหมือนกับเพื่อน ๆทุกคน โดยจุดเด่นที่ทำให้แยมชนะในการประกวดครั้งนี้ คงเป็นบุคลิกภาพและสไตล์การพูดที่เป็นธรรมชาติ

เมื่อถามถึงประสบการณ์ที่ได้จากการเป็นพริตตี้นั้นน้องแยมบอกว่า “เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าและเป็นความภูมิใจ ที่สามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ด้วย นอกจากนี้แยมก็ยังได้ประสบการณ์ในด้านของนำเสนอและความกล้าแสดงออกค่ะ การเป็นพริตตี้นั้นไม่ได้ใช้แค่ความสวย ถ้ามาดูกันจริงๆแล้วพริตตี้สมัยนี้ก็จบปริญญากันทั้งนั้น”

**มาเร็ว-ไปเร็ว**




นอกจากการแข่งขันกับเพื่อนๆน้องๆในวงการแล้ว พริตตี้ทั้งหลายยังต้องแข่งขันกับตัวเองในการทำอาชีพนี้ให้นานที่สุดและ เพราะงานแบบนี้ถือว่าอายุงานสั้นมาก อยู่ที่ประมาณ 3-5 ปีแล้วแต่หน้าตาและความสามารถ ถ้าใครไม่คิดทำอาชีพเสริมแบบนี้จริงจังก็ไม่กังวลเท่าไหร่ แต่กับสาวบางคนที่ต้องทำเพื่อค่าค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายทางบ้านนั้นพวก เธอต้องอยู่ให้นานที่สุด แถมยังต้องมารับมือกับพวกผู้ชายที่คอยแทะโลมด้วยสายตาและคำพูดอีก

เห็นไหมว่าการเป็นพริตตี้นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็นมันต่างกันมากมาย ทาง "Pretty Zone" จึงนำมาเล่าผ่านตัวหนังสือให้คุณผู้อ่านได้พิจารณากันเอาเองว่างานแบบนี้ ต้องสวย ใส ไร้สมอง...จริงหรือ(ไม่)?

เจาะลึก อาชีพเสริม สาวพริตตี้

รายได้เป็นกอบเป็นกำที่ได้จากงานพริตตี้ ล่อใจให้สาวๆ รุ่นใหม่สมัครใจแขนงนี้ทั้งนั้น แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าเส้นทางอาชีพแนวนี้ี จะมีผลต่อคุณในอนาคตอย่างไรบ้าง มาเจาะลึกกัน Smart Woman: Car

อยากเป็นพริตตี้...ต้องมีดีอะไร

การเริ่มต้นของพริตตี้เราก็คงรู้กันดีว่ามีมากมาย หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการชักชวนของโมเดลลิ่ง หรือแม้แต่การเดินเข้าไปสมัครในสายของเอเจนซี่เอง แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยหนทางใด สิ่งที่คุณต้องมีก็คือ

  • รูปร่าง บุคลิกและลักษณะหน้าตา เป็นส่วนสำคัญในการตัดสิน การดูแลความสวยความงามเป็นสิ่งจำเป็น
  • เป็นนักเอนเตอร์เทนลูกค้า และนักกิจกรรม เช่น การนำเล่นเกม พูดคุยเกี่ยวกับตัวสินค้า
  • เป็นนักการตลาด ด้วยการแนะนำสินค้าให้ลูกค้าแบบตรงเป้าหมาย
  • เป็นคนรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา และทำการบ้านของสินค้าที่ต้องนำเสนอ ต่อสายตาคนดู รวมทั้งควรมีนิสัยกล้าแสดงออก และควบคุมสถานการณ์ได้ดี

พริตตี้ต้องทำอะไรบ้าง

พริตตี้จะต้องเข้าใจในข้อมูลและคุณภาพของสินค้าที่ตนเองกำลังพรีเซ้นต์ อยู่ และมีความกล้าแสดงออก เพราะคุณจะต้องเป็นจุดสนใจของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา และหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น สินค้าที่กำลังโชว์อยู่เกิดขัดข้อง ไมค์ไม่ดัง ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็น

จุดดี VS จุดด้อย

  • อาชีพพริตตี้มักมีค่าตอบแทนที่ค่อนสูง ไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ต่อการยืนโปรโมตสินค้าต่อ 1 วัน อีกทั้งเป็นงานที่ทำแบบวันเดียวจบ หรือเป็นงานที่เหมาในระยะสั้น นักเรียนนักศึกษาจึงนิยมเป็นอย่างยิ่ง บางคนเชื่อว่าเส้นทางนี้จะนำไปสู่งานในวงการบันเทิงได้
  • บางครั้งการนุ่งห่มน้อยชิ้นทำให้ถูกหนุ่มๆ กะลิ้มกะเหลี่ยไม่หยุดหย่อน เป็นปัญหาที่หลายคนคิดว่ามันทำให้ศักดิ์ศรีของผู้หญิงถูกลดตัวลงไป เพราะงานพริตตี้ต้องต่อสู้กับสายตาที่เป็นมิตรและสายตาที่จ้องแทะโลม ดังนั้นเราจึงต้องมีวิธีป้องกันด้วยการนิ่งเฉย และงานที่เข้ามาไม่สม่ำเสมอ
  • พริตตี้เป็นอาชีพที่ต้องกอบโกยในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะเจ้าของสินค้ามักไม่ชอบพริตตี้หน้าเดิม หรือด้วยอายุของพริตตี้ที่มากขึ้นก็ต้องอำลาวงการกันไป ดังนั้นคนที่เลือกอาชีพพริตตี้จะต้องวางแผนอนาคตไว้ให้มากกว่าอาชีพอื่น รวมทั้งเก็บเงินทองเพื่อทำธุรกิจต่อยอดต่อไป เพราะว่าคุณจะไม่มีประสบการณ์การทำงานออฟฟิตแบบมนุษย์เงินเดือนเลย

บางมุมมองจากพริตตี้

Smart Woman: Career คุณเกษ ฐิติรัตน์ ภาคย์ตระกูล พริตตี้งานอีเวนท์และนางแบบโฆษณา "การเป็นพริตตี้มีของดีที่ผลตอบแทนเป็นตัวเงินก้อนใหญ่ มากกว่าการทำงานประจำเยอะ เรียกว่าเกือบ 6 หลักทุกเดือนค่ะ แต่เราต้องกล้าและพูดให้เก่ง รู้จักวางตัว และต้องมีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา สำหรับอนาคตคงจะต้องทำไปเรื่อยๆ ก่อนจนกว่าจะอิ่มตัว และอาจจะหันไปเปิดร้านขายขนมน่ารักๆ ของตัวเองค่ะ"


Smart Woman: Careerคุณบี ณุชชนา วุฒิโอฬาร พริตตี้รถยนต์ พิธีกร มิวสิกวิดีโอ "งานของเราไม่ใช่งานประจำ ทำให้รายได้ไม่คงที่ บางครั้งไม่ได้ทำสัญญาไว้โดนเบี้ยวเงินก็ยังเคย ข้อดีก็มีที่เราไม่ต้องเข้างานตามเวลา ได้รู้จักคนมากมายหลากหลายธุรกิจ เรื่องรายได้หากเชิญชวนลูกค้าเข้าบูธอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อวัน แต่ถ้าเป็นพิธีกรร่วมด้วยจะอยู่ที่ 1,500-2,500 บาทต่อวัน และถ้าเป็นงานมืออาชีพใช้ประสบการณ์สูงค่าเหนื่อยจะอยู่ที่ 3,000 -5,000 บาทต่อวันค่ะ"



ที่มาของบทความ

http://www.lisathailand.com/beingsmart/career

บทความที่ได้รับความนิยม

บทความ ใหม่ล่าสุด

Superman (It's Not Easy)
















...............................................................................
I can't stand to fly
I'm not that naive
I'm just out to find
The better part of me

I'm more than a bird:I'm more than a plane
More than some pretty face beside a train
It's not easy to be me

Wish that I could cry
Fall upon my knees
Find a way to lie
About a home I'll never see

It may sound absurd:but don't be naive
Even Heroes have the right to bleed
I may be disturbed:but won't you conceed
Even Heroes have the right to dream
It's not easy to be me

Up, up and away:away from me
It's all right:You can all sleep sound tonight
I'm not crazy:or anything:

I can't stand to fly
I'm not that naive
Men weren't meant to ride
With clouds between their knees

I'm only a man in a silly red sheet
Digging for kryptonite on this one way street
Only a man in a funny red sheet
Looking for special things inside of me

It's not easy to be me.


ฉันไม่ได้อยากจะเหาะไปเหาะมาทุกวัน
ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น
ฉันก็แค่อยู่เพื่อค้นหา
ตัวตนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

ฉันเป็นมากกว่านก ฉันเร็วกว่าเครื่องบิน
เป็นมากกว่าหน้าตาหล่อๆ ที่คอยบินตามหยุดรถไฟ
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

ฉันหวังจะได้ร้องไห้เสียบ้าง
ซบหน้าลงกับท่อนแขน
เฝ้าแต่โกหกแก้ตัว
ถึงเรื่องบ้านเกิด ที่ไม่เคยแม้ได้เห็น

อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่โปรดอย่าหัวเราะ
เพราะแม้จะเป็นซูเปอร์แมน แต่ก็เลือดไหลได้เหมือนกัน
ฉันอาจจะพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง แต่โปรดอย่าได้ถือสา
กระทั่งเป็นซูเปอร์แมนก็มีความฝันกับเขาได้เหมือนกัน
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

บินบินไปบนฟ้า หนีไปจากตัวเอง
ไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณๆก็ยังคงหลับฝันดีได้
ฉันไม่ใช่คนบ้านะ

วันๆเอาแต่เหาะไปมา
ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ
ผู้ชายน่ะไม่ได้เกิดมา
เพื่อบินเล่นบนก้อนเมฆหรอกนะ

ฉันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ในผ้าคลุมสีแดงตลกๆ
ขุดหาคริปโตไนท์บนถนนเส้นเดิม
ก็แค่ผู้ชายธรรมดาในชุดสีแดงงี่เง่าๆ
มองหาบางสิ่งพิเศษให้กับตัวเอง

ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นซูเปอร์แมน

The Key (เดอะ คีย์) หนังสือจากสำนักพิมพ์ ต้นไม้

เรียกได้ว่าเป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือ เดอะซีเคร็ต ถ้าคุณเป็นหนอนหนังสือตัวจริง ผมว่าคุณคงจะรู้จักหนังสือเหล่านี้ดี ครั้งแรกที่ผมอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ตนั้น ผมยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของ กฎของแรงดึงดูดที่ว่า ใครมีความคิดเช่นไรก็จะเป็นคนเช่นนั้น ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จหรือกำลังล้มเหลวในชีวิต ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความคิดของเราเอง ผมคงไม่สามารถบรรณยาย ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้หมดสิ้น แต่ด้วยความปราถนาดีจากผมจริงๆที่ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผุ้อื่นบ้าง

ปฏิญญาณของผู้มองแง่ดี

สัญญากับตัวเองว่า

จะเข้มแข็งเสียจนไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนความสงบสุขทางใจของคุณได้
จะพูดถึง สุขภาพดี ความสุข และความรุ่งเรือง แก่ทุคคนที่คุณพบ
จะทำให้เพื่อนทั้งหมดของคุรรู้สึกว่ามีบางสิ่งดีๆในตัวพวกเขา
จะมองที่ด้านสว่างของทุกสิ่งและทำให้การมองแง่ดีของคุณกลายเป็นความจริง
จะคิดแต่เรื่องที่ดีที่สุด ทำงานให้แก่คนดี ให้แก่สิ่งดีที่สุด และคาดหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุด
จะมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้อื่นมากเท่ากับของคุณเอง
จะลืมความผิดพลาดในอดีตและเพียรพยายามไปสู่การบรรลุความสำเร็จของอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
จะดำรงใบหน้าอันร่าเริงตลอดเวลาและทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่คุณพบยิ้ม
จะให้เวลาแก่การปรับปรุงพัฒนาตัวเองมากเสียจนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะวิจารณ์คนอื่นๆ
จะเป็นคนที่ใหญ่กว่าความกังวล สง่างามกว่าความโกรธ แข็งแกร่งกว่าความกลัวและมีความสุขเกินกว่าที่จะอนุญาตให้มีความยุ่งยาก
จะคิดแก่ตัวเองและอ้างสิทธิ์ข้อเท็จจริงแก่โลก ไม่ใช่ด้วยคำพูดดังแต่ด้วยการกระทำที่ยิ่งใหญ่
จะใช้ชีวิตโดยศัทธาว่าโลกทั้งใบอยู่ข้างคุณตราบนานเท่าที่คุณยังเที่ยงตรง ต่อสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในตัวคุณ

หมายเหตุ จาก ปฏิญญาของผู้มองแง่ดี ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1912 หนังสือของ คริสเตียน ดี ลาร์สัน ชื่อ Your Forces and How to Use Them ฉบับย่อของมันใช้กันทุกวันนี้ โดย Optimist Interna tional ซึ่งเป็นกลุ่มคนทั่วโลกที่มุ่งไปที่การทำให้ความแตกต่าง ที่เป็นบวกเกิดขึ้นในโลก

**คัดมาจากหนังสือ เดอะคีย์ จากสำนักพิมพ์ ต้นไม้