วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

7 วิธี -เพลิน กับ งาน-อาชีพ


เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้รับเชิญจากบริษัทกีฟฟารีนฯ ให้ไปบรรยายที่โรงแรมอินทรา ประตูน้ำ ซึ่งปรกติเขาก็จัดสัมมนาผู้นำและผู้สนใจอยู่เป็นประจำในทุกวันอังคาร แต่ละอังคารก็จะมีวิทยากรไปให้วิชาการเกี่ยวกับการทำธุรกิจเครือข่าย ผมเองนั้นก็ไปบรรยายมาแล้วหลายครั้ง แต่ในครั้งนี้ผมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่บริษัท กีฟฟารีนฯ เขากำหนดให้ผมพูดในหัวข้อ “เพลินกับงาน สำราญกับชีวิต” ซึ่งดูจะเป็นหัวข้อที่เบาๆ สบายๆ แตกต่างจากที่แล้วๆ มาซึ่งมักเป็นเรื่องการขาย การทำธุรกิจเครือข่ายโดยตรง

1. ตั้งเป้าหมายชีวิตให้สอดคล้องกับความเครียด

โดยหลักการแล้วมันก็ใช่อยู่หรอกที่คนเราจะต้อง “คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” “ต้องฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง” แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนเรามีภูมิต้านทานต่างกัน ถ้าเราคิดใหญ่เกินไป หรือฝันเสียไกลเกินเอื้อม ระดับความเครียดมันก็จะมีมาก ความเครียดนั้นเกิดจากระยะห่างระหว่างสิ่งที่เราอยากจะเป็น กับสิ่งที่เราเป็นอยู่ ยิ่งห่างมากก็ยิ่งเครียดมาก หลายคนทนความกดดันนี้ไม่ได้ ก็เลยพาลถอดใจเลิกล้มความตั้งใจไปเลย หันไปร้องเพลงของน้าแอ๊ด คาราบาวที่ว่า “สบายกว่ากันเยอะเลย อยู่เฉยๆ ดีกว่า..”
ผมคิดว่าคนเราควรจะตั้งเป้าหมายชีวิตให้มันสอดคล้องกับความเครียดของเราจะดีกว่า ถ้าเราเป็นคนประเภท “แกร่งทั่งแผ่น แน่นทั่วฐาน กร้านทั่วตัว” แล้วละก็ อยากจะเล็งพระอาทิตย์ไปเลยก็คงจะได้ แต่ถ้าเราใจคอไม่ได้หนักแน่นเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็กอะไรปานนั้น ก็เล็งแค่พระจันทร์ หรือไม่ก็ดาวดวงเล็กๆ ไปก่อน หรือจะเอาแค่ดาวตก อุกกาบาต ผีพุ่งใต้ อะไรไปก่อนก็ยังได้ เอาไว้หล่อหลอมตัวเองจนเข้มแข็ง มีภูมิต้านทานมากขึ้น ก็ค่อยขยับขยายเป้าหมายให้มันใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ อีกได้

2. กินทีละคำ..ทำทีละอย่าง

แม้จะตั้งเป้าหมายใหญ่เล็กอย่างไรก็ตาม ก็ต้องวางแผนงานว่าจะทำอะไรก่อนหลัง ไม่อย่างนั้นก็จะมีความรู้สึกว่ามีเรื่องที่ต้องทำตั้งร้อยแปดอย่าง ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน เผลอๆ มองดูเนื้องานที่ต้องทำทั้งหมดแล้วเลยพาลมืออ่อนตีนอ่อนขึ้นมาเสียเฉยๆ เอาอย่างนี้ซีครับ ลองสมมติว่าเรามีภารกิจที่จะต้องกินช้างทั้งตัวให้หมด ถ้าเรามองดูช้างแล้วก็อาจรู้สึกท้อใจว่าจะล่อมันเข้าได้อย่างไรหมดทั้งตัว แต่ถ้าเราค่อยๆ ตั้งสติ เริ่มกินช้างทีละนิดทีละหน่อย จะเริ่มกินตรงไหนของมันก่อนก็ได้ อาจจะเริ่มแทะหางชี้..เอ้ย..หางช้าง จากนั้นก็ไปเล็มใบหู เสร็จแล้วก็จัดการกับงวง ถัดไปก็ขาหน้าข้างซ้าย แล้วก็ย้ายไปขาหน้าข้างขวา จากนั้นเราอาจจะหยุดไปนอนเอาแรงเสียนิดๆ หน่อยๆ ก่อนกลับมาจัดการขาหลังทีละขา ถัดมาก็งับหัวมัน ทีนี้ก็เหลือแต่ลำตัวแล้ว จะแทะจะเล็มตรงไหนก่อนของลำตัวก็ว่าไปตามอัธยาศรัย ไม่ช้าไม่นาน เราก็จะสามารถกินช้างหมดทั้งตัวได้ในที่สุด

ในการทำงานนั้น ของเพียงลงมือทำอะไรสักอย่างทุกวัน ก็ถือเป็นการทำสิ่งที่บรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ได้เสมอ

3. ความสุขจากการวิ่งไล่จับ..สุขกว่าการจับได้แล้ว

บางครั้งการเอาเป็นเอาตายกับการจะไปถึงเป้าหมายให้ได้ ก็ทำให้เราสูญเสียความสุขจากการเดินทางไปเสียหมด จริงๆ แล้วความสุขนั้นอยู่ตรงโน้น อยู่ตรงนี้เต็มไปหมด มีอยู่ตลอดรายทางที่เรากำลังเดินไป การไม่รู้จักเก็บเกี่ยวความสุขตามรายทาง บางครั้งก็ทำให้เราหมดแรงเสียก่อนจะไปถึงเป้าหมาย หรือมิฉะนั้นพอไปถึงเป้าหมายได้ เราก็อาจรู้สึกว่าความสุขที่ได้มันเว้าๆ แหว่งๆ อย่างไรพิกล มันไม่ค่อยอิ่มเอม มันเหมือนต้อง สูญเสียอะไรไปเยอะมากกว่าจะมาถึงเป้าหมายได้ เพราะฉะนั้น อย่ารอให้ไปถึงยอดเขาแล้วจึงจะยอมมีความสุข เพราะขณะที่เราเดินทางไต่เขาอยู่นั้น เราก็มีความสุขได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว

4. ให้รางวัลตนเองเป็นระยะๆ

อย่าเป็นคนที่เสียเงินซื้ออะไรง่ายๆ โดยไม่มีความหมาย สิ่งที่เราต้องซื้ออยู่แล้วในชีวิตประจำวันนั่นน่ะ เช่น โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ เสื้อผ้าชุดใหม่ เปลี่ยนรถใหม่ เดินทางท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน ฯลฯ เราสามารถใช้มันเป็นรางวัลเพื่อกระตุ้นจิตใจเราได้ อย่าซื้อรถใหม่ ถ้าเราไม่รู้ว่าเพื่อให้รางวัลตัวเองในเรื่องอะไร ในการทำผลงานอะไรให้บรรลุความสำเร็จ จงแยกแยะรางวัลใหญ่เล็กให้สอดคล้องกับกิจกรรมน้อยใหญ่ที่เราทำสำเร็จ การทำเช่นนี้นอกจากจะทำให้เรามีขวัญกำลังใจดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาแล้ว ยังช่วยให้เราซื้อหาอะไรได้สมเหตุสมผลขึ้นอีกด้วย

5. ผ่อนคันเร่งได้..แต่อย่าเหยียบเบรค

คนเรามันก็ต้องมีเหนื่อยบ้าง ท้อบ้างเป็นธรรมดา เราก็ต้องรู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ยืดหยุ่นความเร็ว ความช้า เหนื่อยนักก็ช้าลงหน่อย แต่อย่าหยุด แตะเบรคได้ แต่อย่าเหยียบเบรคซะมิดจนหยุดกึก พอหายเหนื่อย ได้น้ำได้ท่า ก็เดินหน้าลุยต่อไป

6. อิจฉาได้..แต่อย่าริษยา

อิจฉาคืออยากดีอย่างเขา อยากเก่งอย่างเขา อยากรวยอย่างเขา ฯลฯ แต่ริษยาคือไม่อยากให้ใครได้ดี ไม่อยากเห็นใครเก่งกว่า รวยกว่า ซึ่งไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่ได้อะไรเลยทั้งสิ้น ต้องรู้จักชื่นชมในความสำเร็จของผู้-อื่น หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น ไม่ต้องไปแข่งขันชิงดีชิงเด่น เอาแพ้เอาชนะกับใคร ไม่ต้องไปอวดมั่งอวดมีอวดความอัครฐานกับใคร จงแข่งกับตัวเอง เปรียบเทียบตัวเองในวันนี้กับเมื่อวันก่อนๆ

7. สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ

ประโยคนี้ผมยืมมาจากชื่อหนังสือขายดีของนายแพทย์เทอดศักดิ์ เดชคง ผมชอบประโยคนี้จังเลย ถ้าเราสามารถคิดได้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรที่ว่านั้นจะดีหรือเลว ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ดีที่เป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้น ใจเราก็จะเป็นสุข ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นมันดี มันถูกต้อง มันก็ดีอยู่แล้ว แต่ถ้ามันไม่ดี ไม่ถูกต้อง ประโยชน์ของมันก็คือ เราจะได้ไม่ทำมันอีก และอย่างน้อยเราก็มีภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้น เพื่อจะสามารถทำการใหญ่ได้ต่อไป


อ้างอิงข้อมูลจากเว็บ

1 ความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยม

Superman (It's Not Easy)
















...............................................................................
I can't stand to fly
I'm not that naive
I'm just out to find
The better part of me

I'm more than a bird:I'm more than a plane
More than some pretty face beside a train
It's not easy to be me

Wish that I could cry
Fall upon my knees
Find a way to lie
About a home I'll never see

It may sound absurd:but don't be naive
Even Heroes have the right to bleed
I may be disturbed:but won't you conceed
Even Heroes have the right to dream
It's not easy to be me

Up, up and away:away from me
It's all right:You can all sleep sound tonight
I'm not crazy:or anything:

I can't stand to fly
I'm not that naive
Men weren't meant to ride
With clouds between their knees

I'm only a man in a silly red sheet
Digging for kryptonite on this one way street
Only a man in a funny red sheet
Looking for special things inside of me

It's not easy to be me.


ฉันไม่ได้อยากจะเหาะไปเหาะมาทุกวัน
ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น
ฉันก็แค่อยู่เพื่อค้นหา
ตัวตนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

ฉันเป็นมากกว่านก ฉันเร็วกว่าเครื่องบิน
เป็นมากกว่าหน้าตาหล่อๆ ที่คอยบินตามหยุดรถไฟ
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

ฉันหวังจะได้ร้องไห้เสียบ้าง
ซบหน้าลงกับท่อนแขน
เฝ้าแต่โกหกแก้ตัว
ถึงเรื่องบ้านเกิด ที่ไม่เคยแม้ได้เห็น

อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่โปรดอย่าหัวเราะ
เพราะแม้จะเป็นซูเปอร์แมน แต่ก็เลือดไหลได้เหมือนกัน
ฉันอาจจะพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง แต่โปรดอย่าได้ถือสา
กระทั่งเป็นซูเปอร์แมนก็มีความฝันกับเขาได้เหมือนกัน
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

บินบินไปบนฟ้า หนีไปจากตัวเอง
ไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณๆก็ยังคงหลับฝันดีได้
ฉันไม่ใช่คนบ้านะ

วันๆเอาแต่เหาะไปมา
ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ
ผู้ชายน่ะไม่ได้เกิดมา
เพื่อบินเล่นบนก้อนเมฆหรอกนะ

ฉันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ในผ้าคลุมสีแดงตลกๆ
ขุดหาคริปโตไนท์บนถนนเส้นเดิม
ก็แค่ผู้ชายธรรมดาในชุดสีแดงงี่เง่าๆ
มองหาบางสิ่งพิเศษให้กับตัวเอง

ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นซูเปอร์แมน

The Key (เดอะ คีย์) หนังสือจากสำนักพิมพ์ ต้นไม้

เรียกได้ว่าเป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือ เดอะซีเคร็ต ถ้าคุณเป็นหนอนหนังสือตัวจริง ผมว่าคุณคงจะรู้จักหนังสือเหล่านี้ดี ครั้งแรกที่ผมอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ตนั้น ผมยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของ กฎของแรงดึงดูดที่ว่า ใครมีความคิดเช่นไรก็จะเป็นคนเช่นนั้น ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จหรือกำลังล้มเหลวในชีวิต ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความคิดของเราเอง ผมคงไม่สามารถบรรณยาย ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้หมดสิ้น แต่ด้วยความปราถนาดีจากผมจริงๆที่ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผุ้อื่นบ้าง

ปฏิญญาณของผู้มองแง่ดี

สัญญากับตัวเองว่า

จะเข้มแข็งเสียจนไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนความสงบสุขทางใจของคุณได้
จะพูดถึง สุขภาพดี ความสุข และความรุ่งเรือง แก่ทุคคนที่คุณพบ
จะทำให้เพื่อนทั้งหมดของคุรรู้สึกว่ามีบางสิ่งดีๆในตัวพวกเขา
จะมองที่ด้านสว่างของทุกสิ่งและทำให้การมองแง่ดีของคุณกลายเป็นความจริง
จะคิดแต่เรื่องที่ดีที่สุด ทำงานให้แก่คนดี ให้แก่สิ่งดีที่สุด และคาดหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุด
จะมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้อื่นมากเท่ากับของคุณเอง
จะลืมความผิดพลาดในอดีตและเพียรพยายามไปสู่การบรรลุความสำเร็จของอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
จะดำรงใบหน้าอันร่าเริงตลอดเวลาและทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่คุณพบยิ้ม
จะให้เวลาแก่การปรับปรุงพัฒนาตัวเองมากเสียจนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะวิจารณ์คนอื่นๆ
จะเป็นคนที่ใหญ่กว่าความกังวล สง่างามกว่าความโกรธ แข็งแกร่งกว่าความกลัวและมีความสุขเกินกว่าที่จะอนุญาตให้มีความยุ่งยาก
จะคิดแก่ตัวเองและอ้างสิทธิ์ข้อเท็จจริงแก่โลก ไม่ใช่ด้วยคำพูดดังแต่ด้วยการกระทำที่ยิ่งใหญ่
จะใช้ชีวิตโดยศัทธาว่าโลกทั้งใบอยู่ข้างคุณตราบนานเท่าที่คุณยังเที่ยงตรง ต่อสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในตัวคุณ

หมายเหตุ จาก ปฏิญญาของผู้มองแง่ดี ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1912 หนังสือของ คริสเตียน ดี ลาร์สัน ชื่อ Your Forces and How to Use Them ฉบับย่อของมันใช้กันทุกวันนี้ โดย Optimist Interna tional ซึ่งเป็นกลุ่มคนทั่วโลกที่มุ่งไปที่การทำให้ความแตกต่าง ที่เป็นบวกเกิดขึ้นในโลก

**คัดมาจากหนังสือ เดอะคีย์ จากสำนักพิมพ์ ต้นไม้