วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ขายบะหมี่-เกี๊ยว เป็นอาชีพเสริม

เงินลงทุน ขายบะหมี่ เกี๊ยว
ประมาณ 10,000 บาท (รถเข็น 3,000-4,000 บาท ตู้กระจก 1,000 บาท หม้อก๋วยเตี๋ยว 1,300 บาท เตาพร้อมถังแก๊ส 2,000 บาท)

รายได้
ประมาณ 50,000 บาท ขึ้นไป/เดือน

วัสดุ/อุปกรณ์
รถเข็น ตู้กระจก หม้อก๋วยเตี๋ยว เตาพร้อมถังแก๊ส ตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยว กระบวยตักน้ำก๋วยเตี๋ยว อุปกรณ์ใส่เครื่องปรุง ชาม ช้อน ตะเกียบ เขียง มีด ตะแกรงย่าง กะละมัง ถุงพลาสติกร้อน ยางรัดถุง

แหล่งจำหน่ายอุปกรณ์
ร้านจำหน่ายอุปกรณ์อลูมิเนียม ห้างสรรพสินค้าทั่วไป ย่านเวิ้งนาครเขษม ตลาด

ส่วนผสมน้ำซุป น้ำสะอาด 40 ลิตร กระดูกหมู 1-2 กิโลกรัม กระเทียมดอง 2 ขีด หัวไชเท้า 3 หัว กะหล่ำปลี 1 หัว น้ำตาลทราย 2-4 ช้อนโต๊ะ พริกไทยเม็ด 2-4 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 2-3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ 1
ต้มน้ำในหม้อก๋วยเตี๋ยวให้เดือดใส่ส่วนผสมทุกอย่างลงไปชิมรสดู ถ้ายังไม่เค็มให้เติมเกลือ ถ้าไม่หวานเติมน้ำตาลทรายเพิ่มได้ไม่ควรเติมน้ำปลา เพราะอาจทำให้เสียรสชาติได้ส่วนผสมหมูแดง เนื้อหมูสันใน 2 กิโลกรัม ซอสมะเขือเทศ 1/2 ขวดใหญ่ ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 1/2 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ 2
นำเนื้อหมูสันในหั่นเป็นชิ้นพอประมาณ คลุกเคล้ากับซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ และน้ำตาลทราย หมักไว้ประมาณ 30 นาที แล้วนำมาย่างไฟปานกลางจนสุกเหลือง มีกลิ่นหอมเครื่องปรุง
1. เส้นบะหมี่ แผ่นเกี๊ยว - จัดใส่ตู้กระจกไว้
2. เนื้อหมูสดสับพร้อมกับกระเทียม พริกไทยป่นและซีอิ๊วขาวเล็กน้อย
3. หมูแดง - หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ พอคำ ใส่ภาชนะไว้
4. ตั้งฉ่าย
5. ผักต่าง ๆ - ผักกวางตุ้ง หั่นเป็นท่อนพอประมาณ แช่น้ำไว้ - ถั่วงอก แช่น้ำไว้ - ต้นหอม ผักชี หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ภาชนะไว้
6. กระเทียมเจียว
7. น้ำส้ม น้ำปลา น้ำตาลทราย พริกป่น ถั่วลิสงคั่วป่น ใส่ภาชนะเครื่องปรุงไว้

วิธีทำ 3
1. ลวกบะหมี่หรือเกี๊ยวด้วยตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยวใส่ชามไว้ (หากเป็นเกี๊ยว ให้ตักหมูสับที่เตรียมไว้ใส่แผ่นเกี๊ยว ประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ/แผ่น แล้วห่อก่อนนำไปลวก)
2. ใส่กระเทียมเจียวคลุกเคล้าเส้นบะหมี่หรือเกี๊ยว
3. ลวกผักกวางตุ้งที่หั่นไว้หรือถั่วงอกใส่
4. ใส่ตั้งฉ่ายและหมูแดง
5. ใส่ต้นหอม ผักชี
6. ตักน้ำซุปใส่
7. หยิบเกี๊ยวทอดใส่ แล้วเสิร์ฟให้ลูกค้า
ตลาด/แหล่งจำหน่าย
แหล่งชุมชนทั่วไป งานกิจกรรมต่างๆ ตลาด หมู่บ้าน
ข้อแนะนำ
1. สามารถใช้หมูสับแทนหมูแดง หรือดัดแปลงเป็นบะหมี่-เกี๊ยวปู
2. อาจดัดแปลงโดยใส่ลูกชิ้นปลาในบะหมี่-เกี๊ยวด้วยก็ได้
3. หากต้องการเพิ่มรสชาติ ควรโรยกากหมูใส่ลงไปด้วยเล็กน้อย

ขอบคุณที่มาของบทความอาชีพเสริม สร้างรายได้ http://www.doe.go.th/vg/career/career5/job5061.htm

ขายน้ำผลไม้ปั่น เป็นอาชีพเสริม



เงินลงทุน ประมาณ 4,000 บาท

(เครื่องปั่นน้ำผลไม้ 1,500 บาทขึ้นไป กระติกน้ำแข็ง 200 กว่าบาท ที่คั้นน้ำส้มอลูมิเนียม 250 บาท)

รายได้ ประมาณ 10,000 บาท/เดือน


วัสดุ/อุปกรณ์
เครื่องปั่น ที่คั้นน้ำส้ม ภาชนะใส่ผลไม้ โหลใส่น้ำเชื่อม ช้อน มีด เขียง ทัพพีกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว แก้ว ถุงพลาสติก หลอดดูด ยางรัดถุง กระติกน้ำแข็งและภาชนะตักน้ำแข็ง
แหล่งจำหน่ายอุปกรณ์
ร้านค้า ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า คลองถม เวิ้งนครเขษม ห้างสรรพสินค้าทั่วไป

วัตถุดิบ
น้ำตาลทราย เกลือป่น น้ำแข็ง น้ำ นมสด และผลไม้ เช่น ส้ม มะนาว สับปะรด มะพร้าวน้ำหอม แอปเปิ้ล แตงโม กล้วยหอม แตงไทย ฝรั่ง แครอท เป็นต้น
แหล่งจำหน่ายผลไม้
ตลาดมหานาค ตลาดเทเวศร์ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดคลองเตย
วิธีทำ
1. นำน้ำตาลทรายและน้ำในอัตราส่วน 2:1 ตั้งไฟ คนให้ละลายเข้ากันเป็นน้ำเชื่อม แล้วใส่โหลไว้
2. นำมะพร้าวน้ำหอมที่เตรียมไว้ เอาแต่น้ำมะพร้าวและตักเนื้อเป็นชิ้น ๆ เทใส่ภาชนะไว้
3. ผลไม้อื่น ๆ ใส่ภาชนะไว้ให้ดูสวยงามวิธีปั่นน้ำผลไม้ 1 แก้ว 1. น้ำส้ม - ส้ม 1-2 ผล (ขึ้นอยู่กับขนาดของผลส้ม) คั้นเอาน้ำ น้ำมะนาว - มะนาว 1 ผล คั้นเอาน้ำ สับปะรด - หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1/3 ถ้วยตวง มะพร้าวอ่อน - น้ำมะพร้าวพร้อมเนื้อเล็กน้อยประมาณ 1 ทัพพีกลม 2. นำน้ำหรือเนื้อผลไม้ตามที่ลูกค้าต้องการ ในอัตราส่วนข้อ 1 ใส่เครื่องปั่น 3. ตักน้ำเชื่อมใส่ประมาณ 1 ทัพพีกลม
4. ใส่เกลือประมาณ ? ช้อนชา (อาจมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำผลไม้)
5. ตักน้ำแข็งใส่
6. ใส่นมสดเล็กน้อยตามชนิดของน้ำผลไม้ที่ลูกค้าต้องการ
7. กดปุ่มเครื่องปั่นปั่นน้ำแข็งให้ละเอียดตามความต้องการของลูกค้า
8. จากนั้นเทใส่ถุงหรือแก้วให้ลูกค้า

ตลาด/แหล่งจำหน่าย
ย่านชุมชน ตลาดทั่วไป หน้าสถานศึกษา หรือเช่าสถานที่ในศูนย์การค้า งานกิจกรรม
ข้อแนะนำ ในการทำน้ำผลไม้ปั่นเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้
1. อาจเพิ่มชา-กาแฟปั่น โอวัลตินหรือไมโลปั่น โดยใช้ชา-กาแฟสำเร็จรูป ไมโลหรือโอวัลตินชงใส่น้ำตาล และครีมเทียมหรือนมข้นหวาน นำไปปั่น หรือชง-กาแฟโบราณ ร้อน-เย็น ขายควบคู่กัน
2. การทำน้ำมะนาวปั่น ไม่ควรบีบเปลือกมากเกินไป เพราะจะทำให้มีรสขม
3. ควรสอบถามความต้องการของลูกค้าว่าต้องการรสชาติอย่างไร เช่น หวานน้อยหรือมาก และน้ำผลไม้บางชนิดต้องการใส่นมสดหรือไม่

ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้ http://www.doe.go.th/vg/career/career5/job5060.htm

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อาชีพ ลูกจ้างกับเจ้าของกิจการ*


อาชีพลูกจ้างกับอาชีพเจ้าของกิจการนี้มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ลูกจ้างทำงานให้กับนายจ้างหรือเจ้าของกิจการนั่นเอง ตามความต้องการของเขา แลกกับเงินที่ได้โดยสร้างความพอใจให้นายจ้าง แต่อาชีพลูกจ้างก็ถือว่ามีเกียรติเช่นกัน โดยเฉพาะลูกจ้างที่เป็นผู้จัดการมีออาชีพ จะภาคภูมิใจที่ทำให้ธุรกิจเจริญเติบโต แม้ว่าจะเป็นธุรกิจของคนอื่นก็ตาม แต่เขาเจริญเติบโตได้เพราะฝีมือของเรา มีเจ้าของกิจการเป็นจำนวนมากที่ก่อนทำกิจการของตนเองได้เคยเป็นลูกจ้างมาก่อน

การเป็นลูกจ้างทำให้เรียนรู้การทำงานมีประสบการณ์เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาในการทำธุรกิจของตนเอง มีโอกาสปฎิบัติจริง ส่วนคนที่เป็นนักศึกษาเรียนจบมาใหม่ทำธุรกิจของตนเอง เทียบกับคนที่เคยเป็นลูกจ้างมาก่อนแล้วมาทำธุรกิจคนที่เป็นลูกจ้างมาก่อนย่อมได้เปรียบมากกว่า เพราะได้เพิ่มพูนความรู้ให้เติบโดตมากขึ้นแต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบอาชีพลูกจ้าง กับอาชีพเจ้าของธุรกิจแล้ว ย่อมมีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งคู่ ดังจะกล่าวต่อไป

ข้อดีของการเป็นลูกจ้าง


1. อาชีพรับจ้าง เป็นอาชีพมั่นคง ที่มีเงินได้เป็นประจำทุกเดือน พอสิ้นเดือนท่านจะมีเงินเป็นค่าขนมลูก ค่าใช้จ่ายทางบ้าน ค่าน้ำมันรถยนต์ และรายจ่ายอื่นๆ ที่จำเป็น

2. รายได้ของท่านสามารถสะสมเป้นเงินออมในรูปตัวเงิน ฝากธนาคาร หรือในรูปผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์ สิ้นปียังได้เงินเดือนขึ้นหรือได้รับโบนัสประจำปี หรือบริษัทมีกำไรก็นำมาแจกพนักงาน


3. อาชีพรับจ้างมีความสบายไปอีกแบบ ตื่นเช้าแต่งตัวโก้ ออกจากบ้าน เข้าที่ทำงานที่เป็นอาคารใหญ่โตหลายชั้น ติดแรแบบสบาย มีคนทำความสะอาดเรียบร้อย นั่งประจำอยู่โต๊ะทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ในสัปดาห์หนึ่งก็ทำงาน 5 วัน มีวันหยุด เสาร์ และอาทิตย์ หลังเลิกงานก็วางทุกอย่างไว้ที่ทำงานไม่ต้องนำกลับไปทำต่อที่บ้าน มีเวลาว่างพักผ่อนเป็นของตนเอง


4. ในแต่ละปีจะมีวันหยุดเทศกาลต่างๆ วันหยุดพักประจำปี หรือวันพักร้อน โดยจ่ายเงินให้ไม่ต้องไปทำงาน เวลาเจ็บป่วยได้รับการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล


5. การเป็นลูกจ้าง ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเจ้างของ แต่ต้องมีการรับผิดชอบมาก ทำงานหนัก ให้ธุรกิจนายจ้างเจริญเติบโต สิ่งที่ลูกจ้างได้รับคือความมีน้ำใจ และมีโอกาสได้แสดงความสามารถ สิ่งตอบแทนที่นายจ้างให้ท่านคือความไว้วางใจ ตอบแทนด้วยการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่ให้รับผิดชอบสูงขึ้น ให้เงินเดือนสูงขึ้น มีรถประจำตำแหน่ง เป็นที่นับหน้าถือตาของนายจ้างและเพื่อนร่วมงาน


การเป็นลูกจ้างมีข้อเสียเหมือนกัน


การทำงานแม้ว่าจะสบายในระดับหนึ่ง มีรายได้ประจำ มีความภูมิใจที่ทำให้ธุรกิจของเขาเจริญเติบโตด้วยการใช้ความสามารถสูง ทำงานหนึ่ง รับผิดชอบสูงจนธุรกิจของเขาก้าวมาได้ถึงขั้นนี้ ถ้าคนคิดมากหน่อยจะเกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำเกือบตายนั้นไม่ได้เป็นของเรา แต่ถ้ามีความพอใจในสิ่งที่เขาตอบแทนให้แล้วมีความสุขไปอีกอย่าง

การทำงานเป็นลูกจ้างนั้น ขึ้นอยู่กับความพอใจของนายจ้าง แม้ตัวท่านจะทำงานหนักทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานอย่างมาก แต่ทำงานไปอาจมองไม่เห็นอนาคตข้างหน้า ถ้ามีตำแหน่งสูงขึ้นอาจไม่ได้รับการพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งนั้น เมื่อยังมีญาติของเขาคอยอยู่ และในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ บริษัทมีนโยบายลดคนงาน หรืออาจจะต้องหยุดกิจการชั่วคราว ความไม่มั่นคงเหล่านี้ก็จะตกกับคนงาน


แม้แต่ลูกจ้างรัฐบาล ที่เห็นว่าเป็นงานที่มั่นคง มีเกียรติ ก็มีหลักการบริหารคล้ายคลึงกับเอกชนตรงที่ว่า บางครั้งผู้บริหารไม่มีความยุติธรรม แม้ท่านจะเป็นคนขยัน ทำงานดี รับผิดชอบสูงมีผลงานมาก แต่คนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น บางครั้งขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้เป็นหัวหน้าหรือขึ้นอยู่กับพรรคพวกเดียวกัน หรือมีการเมืองขอมา ทำให้ผู้ทำงานหมดกำลังใจ นอกจากนี้แม้ทำงานเก่ง ได้ผลแต่ไม่ได้ทำความพอใจให้ผู้บังคับบัญชาก็อาจเขย่าความมั่นคงของท่านได้เช่นกัน


ข้อดีของการเป็นเจ้าของธุรกิจ


คนเรามีความคิดแตกต่างกัน บ้างก็พอใจที่จะเป็นลูกจ้าง บ้างก็อยากเป็นเจ้านายตัวเอง บ้างก็อยากเป็นเจ้าของกิจการ ต่อไปนี้จะพูดถึงการทำธุรกิจเป็นของตนเองจะได้อะไรบ้าง


1. คนที่ทำธุรกิจเป็นของตนเอง มักจะมีความเชื่อว่า ธุรกิจของเราเอง แม้ว่าเราจะเริ่มจากเล็ก ๆ ก็ยังมีความภูมิใจ ได้ทำสิ่งที่ตนชอบ ถูกกับนิสัยและรักงานด้านนี้เท่ากับเป็นพลังให้เราต้องทำและขยายให้ใหญ่โตขึ้นให้ได้ เกิดความมั่นคงได้โดยไม่ต้องรอรับเงินเดือน


2. คนมีธุรกิจเป็นของตนเองนั้น มีความอิสระ พึ่งตนเอง โดยอาศัยความสามารถของตน ยืนอยู่บนขาของตนเอง และไม่ต้องฟังคำสั่งใคร เวลาไหนที่เราอยากได้เงินมากเราก็ยินดีทำงานหนักอย่างสุดกำลัง แต่ถ้าเวลาไหนจังหวะยังไม่อำนวยก็ค่อย ๆ ทำไป


3. ท่านมีโอกาสได้ค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ที่ผู้อื่นมองไม่เห็น แต่เรามองเห็นแล้วนำมาใช้


4. การมีธุรกิจของตนเองนี้เป็นงานที่ท้าท่ายใช้ความคิดตลอดเวลา สามารถออกคำสั่งเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้มายังสิ่งที่ยากทำ ไม่มีความเบื่อหน่าย


5. ท่านสร้างธุรกิจที่เป็นทรัพย์สินเหล่านี้ให้ตัวท่านเอง และทิ้งไว้ให้กับลูกหลานซึ่งลูกหลาน จะต้องสืบทอดเตจนารมย์ของท่านต่อไป และธุรกิจของท่านจะช่วยให้คนที่ร่วมงานกับท่านได้มีงานทำด้วย


ข้อเสียของการทำธุรกิจเอง


1. ท่านภูมิใจในความสำเร็จที่ท่านทำธุรกิจเป็นของตนเอง แต่ก่อนสิ่งที่ท่านจะได้มานั้นท่านต้องยอมลำบาก แต่ความลำบากน้นท่านถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเรา ท่านก็ต้องต่อสู้ โดยเฉพาะในระยะแรกที่ก่อตั้งธุรกิจต้องอดทนต่อสู้อย่างมาก ทำงานหนัก ความสบายที่สามารถนอนหัวค่ำตื่นสาย ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง มีวันหยุดสุดสัปดาห์พาคราอบครัวไปเที่ยวนั้น ตัดทิ้งไปได้ ท่านต้องทำงานวันละ 14 ชั่วโมง เลิกงานแล้วต้องหอบงานเอากลับไปคิดต่อที่บ้าน บางครั้งการนอนก็ไม่เป็นสุข ต้องกลับไปครุ่นคิดทำงานแก้ปัญหา


2. ต้องมีทุนทำธุรกิจ ทุนนี้เกิดจากการเก็บหอมรอมริบเอาไว้ก็ต้องนำมาใช้ในการลงทุนครั้งนี้ ถ้าท่านตัดสินใจลงทุนไม่ถูกต้องก็ต้องสูญเสียเงินทองทั้งหมดที่ลงไป


3. การเริ่มธุรกิจในระยะแรก พูดได้ว่ายังไม่มีรายได้ที่แน่นอน ซ้ำยังขาดทุนอีกด้วย ซึ่งต่างจากคนที่เป็นลูกจ้างจะได้รายได้แน่นอนทุกเดือน สำหรับการทำธุรกิจเอง นอกจากรายได้ไม่แน่นอนแล้ว ในเวลา 3-5 ปี ยังต้องขาดทุนอีกด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ


4. ตามที่ท่านเคยคิดว่าภูมิใจ แต่การทำธุรกิจเป็นอาชีพอิสระ ไม่มีเจ้านายคอยยืนบังคับบัญชา ยืนอยู่บนขาของตนเอง แต่ท่านลืมไปว่าลูกค้านี่แหละคือเจ้านายของท่าน และผู้ที่ท่านผูกพันในการทำธุรกิจ เช่นผู้ที่ส่งวัตถุดับ อะไหล่ หรือบริการต่าง ๆ ก็เป็นนายอีกคนที่ท่านต้องยอม


5. ถึงแม้ว่าขณะที่ธุรกิจกำลังดำเนินในระยะแรกนั้น แม้ว่าจะไปได้บ้าง หรือแม้ว่าจะต้องกำลังเผชิญศึกหนัก ตัวผู้ประกอบการจะขะมักเขม้นคิดหนัก ไม่มีเวลาให้กับเพื่อนและครอบครัว ทำงานแข่งกับเวลา ต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ได้คาดคิด กำลังอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะถอนตัวก็ไม่ได้ จำใจต้องต่อสู้ต่อไป หวังเพียงให้ธุรกิจรอดก่อน แล้วค่อยหาควาสุขใส่ตัวในภายหลัง


ท่านคงได้เห็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบในการเป็นเจ้าของธุรกิจหรือการเป็นลูกจ้างแล้ว ท่านคงพอนึกภาพออกบ้างแล้ว และได้ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ของการเป็นเจ้าของธุรกิจและการเป็นลูกจ้าง
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-

8 อาชีพทีสาวๆ ควรแต่งงานด้วย (**ขำขำนะครับ**)


8 อาชีพที่สาว ๆ ควรแต่งงานด้วย

(ขำๆครับ อย่าซีเรียสนะครับ)

1. นักปีนเขา

เพราะความใฝ่ฝันของนักปีนเขา คือ จุดสุดยอด
และเขามักไม่ไปคนเดียว


2. นักยิมนาสติก

ทุกท่าของเขาล้วนมีคะแนนเสมอ
เขาอาจจบด้วยท่าตีลังกาหลังเหยียดตรงสองรอบ
แถมเกลียวอีกครึ่งรอบให้คุณหวาดเสียวเล่น
และถ้าคุณเจอนักยิมนาสติกลีลาล่ะก็ ว๊าว...ว....ว.

3. นักกอล์ฟ

เขาสามารถตีได้ถึง 18 หลุม ในวันเดียว


4. นักฟุตบอล

คุณจะเลิกกังวลเรื่องเขาจะยิงเข้าทางประตูหลังไปได้เลย


5. นักเต้นรำ

เขาจะถามคุณก่อนเสมอว่า "ชอบจังหวะไหนครับ" ถ้าคุณชอบ
แทงโก้ก็บอกได้
หรือจะเอานุ่มนวลแบบ วอลซ์ ก็ไม่เลว


6. นักรักบี้

ลีลาการปล้ำของเขาสะใจอย่าบอกใคร



7. นักว่ายน้ำ

มีให้เลือกหลายท่า ทั้งท่ากบ ท่าฟรีสไตล์ กรรเชียง หรือผีเสื้อ


8. หมอฟัน

เพราะหมอฟัน มักจะถามคุณด้วยความห่วงใยเสมอว่า "เสียวไหมครับ???"

นักคณิตศาสตร์ประกันภัย คือ ใคร ? # ตอนจบ

อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยในประเทศไทย

ในประเทศไทย ได้มีการก่อตั้งสมาคมคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย (Acturial Association of Thailand) ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2517 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมวิชาชีพคณิตศาสตร์ประกันภัยให้ก้าวหน้า เพื่อสามารถรับใช้ประเทศชาติในด้านการประกันชีวิตและประกันภัยอื่น ๆ แต่สมาคมดังกล่าวยังไม่ได้มีบทบาทในการดำเนินการจัดสอนวิชาชีพคณิตศาสตร์ประกันภัยโดยตรงเหมือนในอเมริกา แต่มีการให้วุฒิบัตรเป็น Fellow ของสมาคม โดยผู้ที่จะได้ต้องสำเร็จปริญญาตรีหรือสูงกว่าหลักสูตรคณิตศาสตร์ประกันภัย หรือสำเร็จหลักสูตรคณิตศาสตร์ประกันภัยจากสถาบันซึ่งสมาคมคณิตศาสตร์ประกันภัยรับรอง และหลังจากนั้นได้ปฏิบัติงานคณิตศาสตร์ประกันภัยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือไม่ก็เป็นสมาชิกระดับ Fellow ของสมาคมคณิตศาสตร์ประกันภัยที่นานาชาติรับรอง เช่น F.S.A. หรือ F.I.A. (Fellow จาก Institute of Actuaries ของสหราชอาณาจักร) และขณะนี้ยังดำรงสมาชิกภาพนั้นอยู่

ในอดีตที่ผ่านมา มีผู้สนใจและเห็นความสำคัญของการประกันชีวิตในประเทศไทยจำนวนน้อย สังเกตได้จากผู้สนใจทำประกันชีวิตเพียง 4% เท่านั้นจากประชากรทั้งหมด ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับอารยประเทศ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น ที่มีคนทำประกันชีวิตสูงมาก ประมาณ 200% ยิ่งคนไทยที่มีความรู้คณิตศาสตร์ประกันภัยยิ่งหายากมาก บริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่จึงต้องจ้างชาวต่างประเทศไทยมาเป็นที่ปรึกษา

ในช่วงเวลา 2 ปีที่ท่านมา การประกันชีวิตในประเทศไทยได้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มีผู้สนใจและเห็นความสำคัญของการทำประกันชีวิตมากขึ้น จะเห็นได้จากในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2532 มีอัตราการเติบโตถึง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยพิจารณาจากเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรงของบริษัทประกันชีวิตทั้งหมด 12 บริษัท (รวมเบี้ยประกันภัยปีแรกและปีต่อไป) ประมาณ 3,129 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าเมื่อรวมทั้งปีจะคิดเป็นเงินไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท เงินดังกล่าวนี้จะช่วยพัฒนาการลงทุนในประเทศและทำให้เศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศเจริญเติบโตได้เป็นอย่างมาก

บทสรุป

จากข้อมูลที่กล่าวมาแล้วข้างต้นคงจะช่วยให้หลาย ๆ ท่านได้รู้จักนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ตลอดจนบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมและต่อการดำเนินงานของธุรกิจประกันภัยให้ราบรื่น มั่นคง และเจริญก้าวหน้า อาจกล่าวได้ว่า ตราบใดที่ยังมีการค้าธุรกิจและการเสี่ยงภัยของครอบครัวซึ่งอาจจะเกิดจากการสูญเสียชีวิตของหัวหน้าครอบครัว ตราบนั้น นักคณิตศาสตร์ประกันภัยก็จะยังเป็นที่ต้องการอยู่ จึงไม่เป็นการผิดพลาดที่จะกล่าวว่า ปัญหาการเสี่ยงภัยของสังคมนั้นนับวันก็จะขยายวงกว้างออกไปทุกที ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาที่จะต้องอาศัยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่ในประเทศไทยขณะนี้ยังขาดแคลนผู้มีความรู้ ความสามารถด้านนี้อยู่ไม่น้อย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยต่อธุรกิจประกันภัยและต่อสังคมก็เป็นได้

บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อมุ่งหวังให้บุคคลหลาย ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งนักคณิตศาสตร์ นักสถิติ นักธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์ ตลอดจนนักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจจะเข้าสู่อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งอาจไม่เคยมีความรู้มาก่อน หรือมีบ้างเล็กน้อยเกี่ยวกับอาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยได้มีความรู้ ความเข้าใจ และเห็นความสำคัญของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ช่วยกันส่งเสริมและเผยแพร่วิชาการด้านนี้ให้นักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจได้รู้จัก และเข้าใจ เพื่อวันข้างหน้าในอนาคต ประเทศไทยจะได้มีนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่มีความสามารถ อันจะนำพาให้กิจการประกันภัยมีความเจริญก้าวหน้า เป็นหลักประกันความมั่นคงของสังคม ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศมีความมั่นคงและเจริญก้าวหน้า ทัดเทียมอารยประเทศในอนาคตอันใกล้นี้



--------------------------------------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
"ข่าวประกัน" วารสารข่าวการเงินธนาคาร 8(82), (กุมภาพันธ์ 32) : 52
"ข่าวประกัน" วารสารข่าวการเงินธนาคาร 8(85), (พฤษภาคม 32) : 79
"นักคณิตศาสตร์ประกันภัย" จดหมายข่าวของสมาคมคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย (มกราคม 32) : 3
คณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย, สมาคม รายงานประจำปี 2521-2523 กรุงเทพฯ, 2524
The Casualty Actuarial Society and The Society of Actuaries.
The Actuarial Profession : Is Being an Actuary Right for you, Itasca, Illinois, 1986.
Huggins,. K. Operations of Life and Health Insurance Companies, Atlanta. Georgia :
Life Office Management Association, 1986.

--------------------------------------------------------------------------------
ที่มา: คนึงนิจ เสรีวงษ์, อาจารย์, สาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วารสาร สสวท. ปีที่ 17 ฉ. 4 ตค. - ธค. 2532

นักคณิตศาสตร์ประกันภัย คือ ใคร ? # 2


การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัย

"ถ้าท่านชอบคณิตศาสตร์ และอยากมีส่วนร่วมต่อสังคมอย่างมีคุณค่า อาชีพพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยอาจเหมาะกับท่าน"

อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยต้องการผู้มีความรู้ความสามารถทางคณิตศาสตร์เป็นอย่างดี เนื่องจาก งานที่ทำต้องเกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์ประกอบกับความรู้ ความเชียวชาญทางธุรกิจ ดังนั้น ท่านต้องเป็นผู้มีความกระตือรือร้น มีเหตุมีผล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีความสามารถในการตัดสินใจ

สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่คิดอยากเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ท่านต้องเป็นผู้มีใจรักคณิตศาสตร์ และสอบได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในเกณฑ์สูงกว่าคะแนนเฉลี่ย

สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ต้องการเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยในอนาคต ควรเลือกเรียนวิชาคณิตศาสตร์ไว้หลาย ๆ วิชาตลอดช่วง 4 ปี โดยเฉพาะวิชาพีชคณิตและการประยุกต์ ควรมีเวลาฝึกฝนให้มาก นอกจากนี้ควรเลือกเรียนวิชาทางแคลคูลัส ความน่าจะเป็น และสถิติศาสตร์
ท่านพึงระลึกถึงเสมอว่า ท่านกำลังเตรียมตัวเพื่อประกอบอาชีพในทางธุรกิจ ดังนั้น เพื่อความสำเร็จในอนาคต ท่านต้องมีการพัฒนาความคิด ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างกว้างไกล วิชาการต่าง ๆ ทางธุรกิจที่สำคัญที่ท่านควรเลือกเรียนในมหาวิทยาลัย ได้แก่ การจัดการ บัญชี การเงิน ประกันภัย เศรษฐศาสตร์ และวิชาการทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งนับเป็นวิชาที่มีบทบาทสำคัญ และนับเป็นเครื่องมือสำคัญของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยในปัจจุบัน การผสมผสานความรู้ความเข้าใจในวิชาการต่าง ๆ ดังกล่าวจะทำให้ท่านพัฒนาความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในอาชีพนี้

อาจกล่าวได้ว่า การเตรียมตัวที่ดีที่สุดเพื่อเข้าสู่อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยคือ ท่านควรเลือกเรียนวิชาเอกทางด้านคณิตศาสตร์หรือสถิติ หรือวิชาเอกทางด้านบริหารธุรกิจ โดยมีวิชาโททางคณิตศาสตร์หรือสถิติ หรือวิชาเอกทางเศรษฐศาสตร์ โดยมีวิชาคณิตศาสตร์หรือสถิติเป็นวิชาโท

ในประเทศไทยขณะนี้ยังไม่มีมหาวิทยาลัยใดที่เปิดสอนวิชาเอกด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยโดยตรง ส่วนใหญ่เปิดสอนเป็นวิชาด้านประกันภัย โดยเน้นหลักการทั่วไปของการประกันภัย ทั้งในส่วนของการประกันวินาศภัย และการประกันชีวิตมากกว่าสอนการคำนวณทางคณิตศาสตร์ประกันภัย โดยมีภาควิชาสถิติ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแห่งแรกที่เปิดสอนวิชาเอกด้านประกันภัย โดยมีวิธีด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยเป็นวิชาในกลุ่มวิชาเอกนี้ นอกจากนี้ ในหลักสูตรปริญญาโทสถิติได้เปิดสอนวิชาด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยในคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเปิดเป็นเพียงวิชาเลือกเท่านั้น ทั้งในหลักสูตรระดับปริญญาตรีและปริญญาโท แต่มีโครงการจะเปิดเป็นหลักสูตรวิชาโทคณิตศาสตร์ประกันภัยในปีการศึกษา 2533 ส่วนวิชาด้านประกันภัยทั่ว ๆ ไป ได้เปิดสอนอยู่แล้วในคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี

ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดามีมหาวิทยาลัยประมาณ 40 แห่งที่เปิดสอนหลักสูตรคณิตศาสตร์ประกันภัยที่สมบูรณ์แบบ ในระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท ซึ่งนับว่ามีจำนวนน้อย บางมหาวิทยาลัยจัดวิชาด้านนี้อยู่ในสาขาวิชาคณิตศาสตร์หรือสาขาวิชาสถิติ บางแห่งอาจจัดอยู่ในหลักสูตรบริหารธุรกิจ และบางแห่งจัดเป็นหลักสูตรร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์

อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยในอเมริกา และ แคนาดา

การเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่มีมาตรฐานของอาชีพเป็นที่ยอมรับกันในอเมริกาและแคนาดา ถ้าท่านสนใจงานในด้านการประกันชีวิต (Life insurance) การประกันสุขภาพ (Health insurance) และการวางแผนเกี่ยวกับเงินเลี้ยงชีพ (Pension Planning) ท่านต้องผ่านการสอบของ Society of Actuaries (SOA) แต่ถ้าท่านสนใจงานทางด้านการประกันวินาศภัย (Casualty insurance) ท่านต้องผ่านการสอบของ Casualty Actuarial Society (CAS) ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ SOA
ข้อสอบของสมาคม SOA มีทั้งหมด 10 ตอน ถ้าท่านผ่านการสอบทั้ง 10 ตอนท่านจะได้รับวุฒิบัตรเป็น Fellow ของสมาคม (F.S.A.) ซึ่งจัดเป็นคุณวุฒิสูงสุดสายอาชีพที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ความยากของการเป็น F.S.A. เปรียบเหมือนกับความยากในการทำปริญญาเอกทางคณิตศาสตร์ บริหารธุรกิจ หรือเศรษฐศาสตร์ ถ้าท่านสอบผ่านเพียง 5 ตอนแรก ท่านจะได้รับวุฒิบัตรเป็น Associate ของสมาคม (A.S.A.) และจะได้เป็นสมาชิกของสมาคม SOA ด้วย

การได้เป็น A.S.A. หรือ F.S.A. ของ SOA จะทำให้ท่านเป็นที่ยอมรับในมาตรฐานของวิชาชีพ และสามารถทำงานในบริษัทประกันชีวิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทั่วโลก และได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างสูง

จากข้อมูลในปี พ.ศ. 2527 พบว่า มีบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพในอเมริกาและแคนาดาจำนวน 2,362 บริษัท และมีการว่าจ้างงานในหน่วยงานดังกล่าวถึงประมาณ 1 ล้านคน นอกจากนี้พบว่า มีประชาชนชาวอเมริกันสนใจทำประกันชีวิตถึงประมาณ 200% กล่าวคือ โดยเฉลี่ยประชาชนแต่ละคนจะถือกรมธรรม์ประกันชีวิตคนละ 2 ฉบับ
จะเห็นได้ว่า อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องจบด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยโดยตรง เพียงแต่ท่านต้องสอบผ่านข้อสอบของ SOA หรือ CAS ท่านก็สามารถทำงานเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยได้ การเรียนจบด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยจะช่วยให้ท่านผ่านการสอบ 5 ตอนแรกได้เร็วขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงเปิดกว้างสำหรับทุกท่านที่สนใจและมีคุณสมบัติเหมาะสม ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เท่าที่ผ่านมาพบว่า นักศึกษาที่สนใจเข้าสู่อาชีพนี้มักจะหาประสบการณ์โดยการฝึกงานภาคฤดูร้อนกับบริษัทประกันชีวิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งให้ความร่วมมือและสนับสนุนการฝึกงานของนักศึกษาเป็นอย่างมาก

นักคณิตศาสตร์ประกันภัย คือ ใคร ?


จากข่าวที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ The Philadelphia Inquirer ฉบับวันที่ 20 พฤษภาคม 2531 ซึ่งได้มาจากหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นเล่ม ชื่อ "The Job Almanac" พิมพ์โดย American Reference Inc. แห่งเมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา ดังปรากฏข้อความในหน้าแรกของบทความนี้ เป็นผลของการสำรวจอาชีพยอดนิยม ซึ่งเป็นที่ชื่นชมของคนอเมริกัน

จากทั้งหมด 250 อาชีพ โดยพิจารณาจากเกณฑ์ 6 อย่าง ประกอบด้วย เงินเดือน ความกดดัน สภาพแวดล้อมของการทำงาน โอกาสในอนาคต หลักประกันความมั่นคง และความเหนื่อยยากของร่างกาย ผลปรากฎว่า อาชีพ "Actuary" ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาชีพที่ดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง อันดับรองลงมาได้แก่ อาชีพโปรแกรมเมอร์ นักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์ นักคณิตศาสตร์ และนักสถิติ ตามลำดับ อนึ่ง อาชีพที่ดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในที่นี้เป็นการจัดอันดับเมื่อพิจารณาจากเกณฑ์ 6 อย่างข้างต้นประกอบเข้าด้วยกัน แต่อาชีพดังกล่าว อาจไม่เป็นอันดับหนึ่งถ้าพิจารณาในแต่ละเกณฑ์ นั้นคือ อาจไม่ใช่อาชีพที่ได้เงินเดือนมากที่สุด หรือมีชื่อเสียงมากที่สุด ก็เป็นได้

ผลจากการสำรวจดังกล่าวข้างต้น คงทำให้หลาย ๆ ท่านเกิดความสังสัย พร้อมกับอาจเกิดคำถามในใจว่า "อาชีพอะไรกัน... Actuary..? ทำไมถึงได้รับยกย่องจากคนอเมริกันว่าเป็นอาชีพที่ดีสุดได้"
ถ้าบอกว่า อาชีพ "Actuary" ที่เป็นข่าวในหน้าแรกของบทความนี้ว่าเป็นอาชีพที่ดีที่สุดของคนอเมริกัน คือ "อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัย" นั่นเอง ท่านรู้จักไหม


นักคณิตศาสตร์ประกันภัย คือ ใคร
หากท่านไม่เคยได้ยินชื่อ นักคณิตศาสตร์ประกันภัยมาก่อนเลย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด แม้แต่ในอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญทางด้านประกันภัยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการประกันชีวิตจัดว่ามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของคนอเมริกัน ก็ยังมีคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้จักนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งอาจเป็นเพราะนักคณิตศาสตร์ประกันภัยส่วนใหญ่ชอบทำงานอยู่เบี้องหลังความสำเร็จของบริษัทประกันภัย

สำหรับศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาทางด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย ก็คือ คณิตศาสตร์ประกันภัย หรือที่เรียกกันว่า "Actuarial Science"

นักคณิตศาสตร์ประกันภัย คือ บุคคลซึ่งใช้เทคนิคทางคณิตศาสตร์และสถิติในการวิเคราะห์และประมาณการเกิดเหตุการณ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับคนทุกคนในอนาคต เช่น การเกิด การเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ การพิการ การเกษียณอายุ การว่างงาน เป็นต้น เพื่อช่วยให้ประมาณเหตุการณ์ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้ใกล้เคียงความเป็นจริง โดยการจัดทำในรูปของตาราง เช่น ตารางมรณะ และตารางสุขภาพ (Mortality and Morbidity Experience Tables) แล้วนำผลที่ได้มาใช้ประกอบกับความรู้ด้านการบริหารและการเงิน เพื่อคำนวณอัตราเบี้ยประกันเงินสำรอง และตัวเลขข้อเท็จจริงอื่น ๆ ทางการเงิน ซึ่งจะทำให้บริษัทประกันภัยสามารถดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่น มั่นคง และสามารถให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกัน หรือผู้รับประโยชน์ได้

นอกจากนี้ นักคณิตศาสตร์ประกันภัยยังต้องมีความเข้าใจ ในการดำเนินงานทั้งหมดของธุรกิจประกันภัยจะถือเป็นข้อผูกมัดทางการเงินของบริษัทในระยะยาว เป็นเวลาหลาย ๆ ปี จึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อนโยบายและการดำเนินงานอย่างเป็นระบบของบริษัท ด้วยเหตุนี้ นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงต้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในหลายขั้นตอน เช่น การจัดการทั่วไป การตลาด การวิจัย การพิจารณารับประกัน การลงทุน การบัญชี การบริหาร และการวางแผนระยะยาว

จากความหมายดังกล่าวข้างต้น อาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า นักคณิตศาตร์ประกันภัยคือ นักธุรกิจมืออาชีพซึ่งใช้ความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์เพื่อกำหนด วิเคราะห์ แก้ปัญหาทางสังคม และทางการเงิน โดยการสร้างโปรแกรมที่จะลดความเสี่ยงทางการเงินของการเกิดเหตุการณ์ที่อาจคาดการณ์ได้ หรือคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ นั่นเอง

หน้าที่ความรับผิดชอบของนักคณิตศาสตร์ประกับภัย

จากบทบาทของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อาจกล่าวได้ว่า หน้าที่และความรับผิดชอบของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยอาจรวมถึง

1. นักคณิตศาสตร์ประกันภัยต้องแน่ใจว่า บริษัทประกันภัยมีเงินสดสำรองในมือเพียงพอที่จะจ่ายเงินผลประโยชน์ หรือเงินสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เมื่อมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หรือเงินเลี้ยงชีพ จากผู้เอาประกัน หรือผู้รับประโยชน์
2. พิจารณากำหนดอัตราเบี้ยประกันที่บริษัทเรียกเก็บจากผู้เอาประกัน ให้มีความยุติธรรมเพียงพอ และสามารถทำให้บริษัทดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างราบรื่น และมั่นคง
3. ปรับปรุง และพัฒนาผลิตกรมธรรม์แบบใหม่ ๆ เพื่อสนองความต้องการของสังคมอยู่เสมอ
4. ให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่ของบริษัท ในการพิจารณารับประกันว่า รายใดที่รับได้และรายใดที่ควรปฎิเสธ เพราะเหตุใด หากจะรับได้แต่ต้องเพิ่มเบี้ยประกันควรจะเพิ่มในอัตราเท่าใด
5. มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัทในด้านต่าง ๆ
6. เตรียมจัดทำรายงานประจำปี แสดงสถานะทางการเงินของบริษัท เพื่อเสนอต่อสำนักงานประกันภัย และผู้ถือหุ้นของบริษัท
7. วิเคราะห์ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งหมดของบริษัทเมื่อสิ้นปีปฏิทิน เช่น การใช้ข้อสมมุติเกี่ยวกับอัตรามรณะ ค่าใช้จ่าย อัตราดอกเบี้ยจากการลงทุน วิเดราะห์การขาดอายุของกรมธรรม์ เงินคงเหลือจากการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น แล้วนำผลที่ได้มาประเมิน และสรุปว่าธุรกิจควรดำเนินต่อไปในทิศทางใด ส่วนใดควรปรับปรุงแก้ไข แบบประกันใดควรยุบหรือยกเลิก หรือควรสนับสนุนต่อไป

"อาชีพอิสระนักบัญชี" โดย ณรงค์วิทย์ แสนทอง


อาชีพอิสระนักบัญชี
โดย ณรงค์วิทย์ แสนทอง

“นักบัญชี” ถือเป็นอาชีพหนึ่ง ที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถเฉพาะทาง และร่ำเรียนมาโดยตรง ทำงานในสายงานบัญชี จนมีประสบการณ์มากพอสมควร ผ่านความรับผิดชอบเป็นสมุห์บัญชี หรือผู้จัดการฝ่ายบัญชีมาก่อน จึงจะได้รับการยอมรับให้เป็น “นักบัญชี”

“ผู้ทำบัญชี” เป็นวิชาชีพ ที่ปัจจุบันมีการตรากฎหมายออกมาเพื่อคุ้มครองอาชีพนี้โดยเฉพาะ คือ พระราชบัญญัติ การบัญชี พ.ศ.๒๕๔๓ “ผู้ทำบัญชี” ที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย แต่อาจไม่ใช่ “นักบัญชี” หากว่าผู้นั้นยังขาดประสบการณ์ในหน้าที่งานบัญชี และเช่นกัน “นักบัญชี” ผู้มีความสารมาถและประสบการณ์ ไม่อาจจะเป็น “ผู้ทำบัญชี” ได้หากว่าขาดคุณสมบัติวุฒิการศึกษาตามที่กฎหมายกำหนด


เมื่อกล่าวถึง “ผู้ทำบัญชี” ก็ต้องกล่าวถึง “ผู้สอบบัญชี” ซึ่งเป็นวิชาชีพอิสระอีกอาชีพหนึ่ง ที่ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ดังกฏที่ว่า งบการเงินของกิจการหนึ่ง ๆ ผู้ทำบัญชี และผู้ตรวจสอบบัญชีต้องมิใช่คนเดียวกัน หรือเรียกว่า คนทำไม่ตรวจ คนตรวจก็ไม่ทำบัญชี คล้ายกับอาชีพหมอ ที่ว่า แพทย์เป็นผู้ตรวจแล้วสั่งยา แต่ไม่หยิบยาเอง ส่วนเภสัชกรมีหน้าที่หยิบยา แต่ไม่มีหน้าที่สั่งยาให้คนไข้ หรือยกอีกตัวอย่างหนึ่ง คืออาชีพวิศวกร กับสถาปัตยกรรม ทั้งสองอาชีพทำหน้าที่คู่ขนานกัน

สำหรับนักบัญชี อย่างน้อย ๆ จะต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ 1 ใบ เพื่อขึ้นทะเบียนเป็น :


ผู้ทำบัญชี
ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)
ผู้สอบภาษีอากร (Tax Auditor)
อาชีพและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนักบัญชี
1.รับทำบัญชี
2.รับตรวจสอบบัญชี
3.รับวางระบบบัญชี
4.รับเขียนโปรแกรมบัญชี
5.ที่ปรึกษาภาษีอากร
6.เป็นวิทยากร / ผู้สอน วิชาบัญชี – ภาษีอากร
7.สถาบันอบรมบัญชี-ภาษีอากร
8.ผลิต/จำหน่ายโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป

ลำดับที่ 1 – 6 จะทำเป็นอาชีพอิสระด้วยตัวเองคนเดียวก็ได้

ณ ที่นี้จะขอกล่าวถึงอาชีพการรับทำบัญชี เพราะเป็นงานอิสระที่นักบัญชีส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยการรับทำบัญชี

รูปแบบของธุรกิจรับทำบัญชีนี้ เป็นอย่างไร ?
ท่านสามารถเลือกแบบธุรกิจ ซึ่งแบ่งตามขนาดที่ท่านต้องการ


1.One Man Show
นักบัญชีกลุ่มนี้มีจำนวนมาก บางรายรับทำบัญชี บางรายสอนงาน วางระบบ ที่ปรึกษา ตอนเริ่มต้นอาจทำด้วยตัวคนเดียว แล้วค่อย ๆ หาผู้ช่วยเพิ่มขึ้นตามปริมาณงาน แต่บางรายต้องการอิสระในการทำงาน ไม่ต้องอาศัยผู้ช่วยหรือทีมงาน ข้อดีคือควบคุมคุณภาพได้ที่เราอยากให้เป็น ข้อเสียคือถ้ารับงานมากเกินไปจะทำให้เครียดได้
หากเป็นประเภทรับทำบัญชีส่วนใหญ่เกิดจากในอดีตระหว่างทำงานประจำ รับจ๊อบทำบัญชีให้กับกิจการอื่นเป็นอาชีพเสริม พอมีมากขึ้น ๆ ก็ลาออกเปลี่ยนเอาจ๊อบบัญชีเป็นอาชีพหลัก ที่พบเห็นอีกกลุ่มที่ไม่น้อยเลยเป็นแม่บ้านมีภาระงานในบ้านพอสมควร ไม่อยากออกไปทำงานนอกบ้านจึงรับงานบัญชีมาทำที่บ้าน


2.Teamwork
อาจเริ่มต้นจากตัวคนเดียว แล้วหาผู้ช่วย(พนักงานบัญชี) เพิ่ม รวม ๆ ไม่เกิน 10 คน หรือเริ่มต้นจากการชวนเพื่อน 1-2 คน มาทำร่วมเป็นหุ้นส่วนกัน
บางทีได้งานรับวางระบบบัญชี ก็ต้องมีทีมงานที่สามารถเรียกมาช่วยกันได้โดยทันที


3.Firm
เมื่อกิจการมีทีมงานมากกว่า 5 คน เจ้าของกิจการจะขยายให้โตขึ้น มีพนักงาน 10 หรือ 20 คน แล้วแต่โอกาสและความต้องการ กิจการขนาดนี้ มี 3 แบบ คือ สำนักงานรับทำบัญชีอย่างเดียว สำนักงานรับตรวจสอบบัญชีอย่างเดียว และสำนักงานที่มีทั้งแผนกทำบัญชีและแผนกตรวจสอบบัญชีอยู่ในองค์กรเดียวกัน และอาจจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล บริษัทจำกัด

ด้านรายได้
ขึ้นอยุ่กับความสามารถในการหางาน และทำงาน ปัจจุบันองค์กรธุรกิจที่เป็นนิติบุคคล ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด ประมาณ 475,000 ราย หากเราจะขอแบ่งมาทำสัก 10-20 ราย ไม่น่าจะยากเกินกำลัง โดยเฉพาะผู้ที่มีวงพื่อนฝูงและญาติกว้างขวาง


รายได้มากน้อย จะขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการที่เราดูแล หากเป็นรายใหญ่จะมีค่าบริการค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงควรมีลูกค้าขนาดใหญ่ไว้บ้าง


อาชีพนี้จะมีรายได้สม่ำเสมอ หากรู้จักเก็บจะเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่ถ้าอยากจะรวยกับอาชีพนี้ ไม่ทราบจะบอกอย่างไรเพราะคำว่า “รวย” ของแต่ละคนพอใจจะรวยไม่เท่ากัน

ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?
มีข้อควรคิดถึงคุณสมบัติส่วนตัว และการเตรียมความพร้อม ดังนี้

ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ที่ผ่านมาคิดว่ามั่นใจเต็มที่แล้วหรือยัง เชื่อมั่นในตัวเองมากแค่ไหน โดยปรึกษาขอความเห็นจากเพื่อนนักบัญชีด้วยกัน หรืออดีตหัวหน้าฝ่ายบัญชีที่เราเคารพศรัทธา
เตรียมเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง จากเดิมที่เคยออกจากบ้านไปที่ทำงานทุกวัน แต่กลับต้องอยู่กับบ้าน เคยมีผู้ร่วมงานคอยเป็นเพื่อนคุย ต่อไปนี้เราจะค่อนข้างเหงา ต้องใช้เวลาในการปรับสภาพความเป็นอยู่ระยะหนึ่ง
ไม่หยุดการเรียนรู้ ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเคิมตลอดเวลา และไม่ลืมที่จะต้องเข้าอบรมวิชาบัญชี-ภาษี ให้ครบ 27 ชั่วโมงทุก ๆ 3 ปี ตามที่สภาวิชาชีพการบัญชีกำหนด
มีที่ปรึกษาส่วนตัว หรือแหล่งที่จะขอคำปรึกษาได้ เพราะไม่มีใครที่พร้อม 100% วิชาการค้นหาได้จากหนังสือ แต่ภาคปฎิบัติต้องอาศัยปรึกษาจากผู้ที่มีประสบการณ์
เวลางาน กับเวลาส่วนตัว ต้องจัดแบ่งให้ลงตัวอย่างเหมาะสม หากแบ่งเวลาให้กับงานน้อยไป หรือผลัดวันประกันพรุ่งจะทำให้งานค้างจำนวนมาก เป็นผลเสียในด้านการให้บริการ
จัดหาอุปกรณ์เครื่องใช้ให้พอเพียง อย่างน้อยต้องมีอุปกรณ์สำนักงานครบ และที่ขาดไม่ได้คือ โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป ที่มีประสิทธิภาพ

ปัจจัยที่จะทำให้เกิดความล้มเหลวในอาชีพนี้


1.รับงานที่มีความเสี่ยงสูง
บางคนรับงานทำบัญชีทุกราย โดยไม่เลือกว่ากิจการใดประกอบธุรกิจอย่างซื่อสัตย์หรือไม่ ช่วยเหลือลูกค้าเลี่ยงภาษีอากร บันทึกตัวเลขบัญชีโดยไม่มีเอกสารหลักฐานที่ถูกต้อง ให้การช่วยเหลือลูกค้าจนเกินเหตุ ขาดจรรยาบรรณ ท่านอาจเป็นคนกลุ่มแรกที่จะถูกเพิกถอนใบอนุญาต หรือถูกดำเนินคดีได้


2. ยักยอกเงินภาษี
บางรายให้บริการยื่นชำระภาษีแทนลูกค้า โดยรับเงินสดจากลูกค้าเพื่อไปยื่นแบบชำระภาษีให้สรรพากร แรก ๆ ก็ทำเป็นปกติ ต่อมาการเงินส่วนตัวมีปัญหา นำเงินภาษีที่รับมาจากลูกค้าไปหมุน แล้วนำส่งภาษีไม่ทันอีก เกิดการค้างมากขึ้น ๆ บางรายทำอย่างนี้กับลูกค้าทุกรายที่มี ได้เงินไปหลายแสน บางรายได้ไปนับล้าน จนต้องหนีหายตัวไป ผลเสียกตกกับลูกค้าที่ค้างส่งภาษี ทำให้เสียสถาบันวิชาชีพอย่างร้ายแรง


3.บริการแย่ลง
บางรายมีลูกค้าติดต่อมาว่าจ้างมากขึ้น ๆ ปริมาณงานที่รับมากเกินกว่าที่จะทำได้ทัน ไม่รีบเร่งแก้ปัญหา รับปากกับลูกค่าว่าจะเสร็จแล้ว ผลัดวันประกันพรุ่ง มีข้อผิดพลาดบ่อย ลืมนัด เลื่อนนัดเป็นประจำ ทำให้ลูกค้าต้องตีจากให้คนอื่นมาทำแทน


4. ขาดการเอาใจใส่
ขาดการดูแลเอาใจใส่ลูกค้า ปีหนึ่งลูกค้าได้เห็นหน้าเพียงครั้งเดียว หรือไม่ได้ไปพบลูกค้าเลยเป็นปี ๆ และบางรายปล่อยให้ลูกจ้างทำงาน โดยไม่ได้ติดตามผลงาน ถ้าลูกจ้างบริการไม่ดีผลเสียจะตกกับเรา บางรายมีลูกจ้างให้บริการดีเราก็ดีด้วย แต่บางทีลูกจ้างที่ดีลาออกไป ไม่ออกเปล่าแถมดึงลูกค้าเราติดไปด้วยอย่างนี้ก็มีเยอะ


5. ขาดการพัฒนาตนเอง
ไม่มีการติดตามข่าวสารภาษีอากร กฎหมาย กฎกระทรวง ที่ออกมาใหม่ เพื่อนำมาประกอบการใช้งาน จนทำให้การทำงานมีข้อผิดพลาด การศึกษาทางธุรกิจด้านอื่น ๆ ก็ต้องมีความรู้พอเท่าทันลูกค้าบ้างเหมือนกัน


ความภูมิใจในอาชีพนักบัญชี


1.เป็นอาชีพที่มีเกียรติ
ทั้งนี้ผู้ประกอบวิชาชีพต้องปฎิบัติตน ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ มีระเบียบวินัย และธำรงไว้ซึ่งจรรยาบรรณในวิชาชีพ ท่านจะได้รับเกียรติและการยอมรับจากลูกค้าและบุคคลทั่วไป


2. สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ
ถือว่ามีส่วนร่วมในสังคม เป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างความยุติธรรม ความโปร่งใส ธรรมาภิบาล อันทำให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ


3. ความมีเอกภาพ
นักบัญชีที่ดีต้องมีเอกภาพ มีอิสระที่จะปฎิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องตรงไปตรงมา ฝ่ายผู้ประกอบการต้องการเสียภาษีน้อย แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่สรรพากรต้องการเก็บภาษีให้ได้มาก ๆ เรานักบัญชีเป็นผู้อยู่ตรงกลาง ทำอย่างไรจึงจะให้ได้รับความพอใจทั้งสองฝ่าย และอยู่บนเงื่อนไขความ
ถูกต้องด้วย

บุคลิกภาพและการพูดสัมภาษณ์ให้ได้งาน


พลังแห่งบุคลิกภาพและการพูดสัมภาษณ์อย่างไรให้ได้งาน
การเตรียมตัวสมัครงาน


เหตุเพราะอะไรที่ทำให้คนไม่ได้งานซักที
1. บางคนคิดว่าตัวเองไม่สวย ไม่หล่อ ไม่เก่งเลยทำให้ขาดความมั่นใจ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีความรู้ความสามารถ
2. บางคนกลัวตัวเองไม่สวย ไม่หล่อพอ เลยแต่งตัวซะเต็มที่ งานนี้ทุ่มสุดตัวกะเอาคืนทีหลัง (จึงทำให้งบหมด เงินก็หมด แถมงานก็ไม่ได้ทำ)
3. บางคนคิดว่างเรื่องการแต่งตัวไม่สำคัญ คิดว่าฉันเก่งซะอย่าง เรียนจบปริญญาตรี ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ปรากฏว่าแทนที่จะได้งานตำแหน่งดี ๆ เหมาะสมกับคุณสมบัติอันเลิศเลอ กลับถูกส่งไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมกับตนเอง หรือบางทีเค้าก็ไม่กล้ารับเข้าทำงาน เพราะกลัวจะทำให้เสียชื่อเสียงบริษัท

4. บางคนดูจากใบสมัครงานก็ดูดี พอเรียกนัดมาสัมภาษณ์เจอตัวจริง ดูดีจริง แต่พอเอ่ยปากพูดเท่านั้นก็อาจจะไม่ดีอย่างที่เห็นในรูป

เมื่อเราได้รับการนัดไปสัมภาษณ์
? การนัดไปสัมภาษณ์นั้นเป็นเพียงการที่เค้าต้องการอย่างเห็นความรู้ความสามารถของเรา จากใบสมัครงาน หรือจากจดหมายสมัครงาน เค้าก็เลยอยากจะขอดูตัวสิว่า ตัวจริงจะดูดีเหมือนในรูปไหม กริยาท่าทาง การใช้คำพูดวาจาเป็นอย่างไร ทัศนคติเป็นอย่างไรบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้จะบ่งบอกปฏิภาณไหวพริบ ความรู้ความสามารถอันเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำงานในทุกตำแหน่งและหน้าที่

?การนัดมาสัมภาษณ์นั้นไม่ได้หมายความว่าเราได้เข้าทำงานแล้ว เพราะจริง ๆ แล้วเค้ามีคนไปสัมภาษณ์กันตั้งมากมาย แต่อาจรับแค่คนเดียว หรือรับไม่กี่คนเท่านั้นเอง อย่างพึ่งคิดว่าเราได้รับคัดเลือกไปแล้ว

? หน้าที่ของเราคือ "ทำตัวอย่างไรให้ดูดีที่สุด ให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่เค้ารับมากที่สุด ถ้าเค้าจ้าเราแล้วจะคุ้มค่ามากที่สุด นั่นคือหน้าที่ของเรา"

เตรียมพร้อมก่อนวันสัมภาษณ์

1. ทบทวนก่อนว่าบริษัทที่นัดเราไปสัมภาษณ์นั้นชื่ออะไร ตำแหน่งที่เราสมัครไว้คืออะไร และเราเขียนรายละเอียดอะไรไปบ้าง เพราะเราอาจสมัครงานไว้หลายที่ แต่ละที่อาจจะระบุตำแหน่งงานไม่เหมือนกัน
2. ศึกษาข้อมูลว่าเรามีความรู้ความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ในการทำงาน และเพิ่มเติมข้อมูลให้เค้าพิจารณาในวันสัมภาษณ์บ้างไหม
3. ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเอาไว้บ้าง ว่าค้าขายกับใคร ติดต่อกับใคร เป็นต้น ถ้าเค้าถามอะไรจะได้ตอบได้ แสดงว่าคุณสนใจที่จะทำงานกับเค้ามาก
4. ลองคิดว่าคุณจะถูกถามอะไรบ้าง แล้วจะตอบว่าอะไรจึงจะแสดงว่า คุณเป็นคนฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณ ถ้าคุณคิดว่าาจะต้องตอบโดยภาษาต่างประเทศอาจศึกษาได้จากคู่มือการสมัครงาน ของการกรมการจัดหางาน หรือไปปรึกษาเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานก็ได้
5. อย่าลืมจดวันนัดสัมภาษณ์เตือนความจำ
6. ควรเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่มีแบบและลวดลายที่สุภาพ ควรเลือกแบบเสื้อผ้าที่เหมาะกับงานที่ทำ เช่น
? เลขานุการ ควรแต่งกายให้ดูดีมีสง่าภาคภูมิ
? ประชาสัมพันธ์ ควรแต่งกายให้ดูสดใสงดงาม
? พนักงานขาย ควรแต่งกายให้ดูน่าเชื่อถือ เป็นต้น

7. สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในวันที่ไปสัมภาษณ์งาน
คือ "เราต้องรู้จักว่าบริษัท ที่เราจะไปสัมภาษณ์งานนั้นตั้งอยู่ที่ไหน ต้องเดินทางไปอย่างไร และต้องใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่ ต้องศึกษาเส้นทางให้รู้เพื่อป้องกันการหลงทาง หรือไปถึงเวลาที่จะสัมภาษณ์ก่อนกำหนด"

เมื่อเราจะเข้าพบผู้ที่จะสัมภาษณ์งาน
1. ทำใจให้สบาย ๆ
2. รวบรวมสมาธิให้ดี
3. ทำตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง ยิ้มนิด ๆ
(เป็นการแสดงถึงบุคลิกแห่งความเชื่อมั่น มั่นคง จริงใจ เป็นมิตร)
4. ถ้าพร้อมแล้วก็เข้าไปสัมภาษณ์ได้เลย
5. ถ้าผู้สัมภาษณ์อยู่ในห้องอย่าลืมเคาะประตู เพราะเป็นการแสดงออกถึงมารยาทที่ดี

สรุปพลังแห่งบุคลิกภาพและการพูดสัมภาษณ์อย่างไรให้ได้งาน
1. การแต่งกาย
2. วัน เวลา ที่นัดหมาย
3. ต้องรู้ที่ตั้งของบริษัทที่จะไปสมัครงาน
4. หาข้อมูลของบริษัท และตำแหน่งงานที่สมัคร
5. เตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่คาดว่าจะถูกถามเอาไว้บ้าง
6. ควรไปถึงก่อนเวลานัดหมายซักเล็กน้อย
7. เมื่อพบผู้สัมภาษณ์ ไม่ต้องตื่นเต้นอะไร เพราะเราก็มีความรู้ความสามารถตรงกับที่เค้าต้องการ
8. แสดงกริยาสุภาพ เวลาเค้าถามอะไรต้องตั้งใจฟังให้รู้เรื่องก่อนจะคิดและก็ตอบ ไม่ต้องรีบร้อน พูดให้เค้าได้ยินอย่างชัดเจน พูดชัดถ้อยชัดคำ มองสบตาผู้สัมภาษณ์และอย่าลืมมารยาทแบบไทย คือ "การไหว้" เป็นสิ่งที่ดี

?"ทั้งหมดนี้จะทำให้คุณมีบุคลิกภาพที่ดี ทำให้ผู้สัมภาษณ์เกิดความพอใจ และเชื่อถือได้ว่าคุณเป็นพนักงานที่มีคุณภาพ ควรค่าแก่การรับเข้าทำงานในบริษัทของเค้า

คนแบบคุณ เหมาะกับงานแบบไหน



Marie Claire - คนบางคนใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตกว่าจะค้นเจอว่างานแบบไหนที่ตนเองชอบและใช่ ก็เลยมีแบบสำรวจบุคลิกนิสัยใจคอมาให้ลองตรวจสอบดูว่าคนแบบคุณน่าจะเหมาะกับงานแบบไหน ...

เป็นคนมีเหตุมีผล เต็มไปด้วยหลักการชอบการประมวลเรื่องราวเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ลักษณะเหล่านี้เหมาะจะทำงานด้านการจัดการ บัญชี ช่างไฟฟ้า โปรแกรมเมอร์ รวมไปถึงงานทางด้านเทคนิค

คนประเภทอ่อนไหว มีสัญชาตญาณในการดูแลปกป้อง ลองมองหางานประเภทเป็นที่ปรึกษา เป็นพยาบาล หรือสอนหนังสือ

คนกระตือรือร้น ชอบพูดคุย มีความทะเยอทะยาน ชัดเจนเลยว่างานที่เกี่ยวข้องกับทีวี วิทยุ โฆษณา น่าจะเหมาะกับคุณ

คนมองโลกในแง่ดี อยากรู้อยากเห็นเต็มไปด้วยพลัง น่าจะสนใจอาชีพที่ไม่ต้องอยู่นิ่งตลอดเวลา อย่างเช่น ไกด์หรือมัคคุเทศก์ หรือแม้แต่พนักงานขายที่ต้องเดินทางไปโน่นมานี่บ่อย ๆ

ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนพิถีพิถัน ประณีตเรียบร้อย ชำนาญการวิเคราะห์ ชอบให้คำแนะนำแบบลงลึก อาชีพที่น่าจะเหมาะกับคุณคืองานด้านวิจัย สถิติ หรือสืบสวนสอบสวน

คนประเภทเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ ไม่ชอบอยู่ใต้บังคับใคร แต่ขณะเดียวกันก็ชอบอยู่ในสังคมมากกว่าตามลำพัง น่าจะลองมองหาที่ว่างในตำแหน่งที่ได้แสดงพลัง อย่างเช่น ซีอีโอ บรรณาธิการ หรือแม้แต่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คนช่างจินตนาการ เจ้าบทบาทมีความคิดลึกซึ้งในเชิงปรัชญา งานที่จะทำให้คุณสนใจได้ก็คือนักจิตวิทยา จิตแพทย์ นักแสดง และศิลปินทุกแขนงไม่ว่าจะเป็นศิลปะหรือดนตรี

คนใจบุญสุนทาน ชอบสั่งสอน และชอบที่จะมองเห็นพัฒนาการหรือการเจริญเติบโต มักสนใจงานประเภทสังคมสงเคราะห์ นักบุญ ผู้พิพากษา

คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีสายตาแหลมคมลึกซึ้ง มีเซ้นส์ หรือพรสวรรค์ในการแยกแยะความสวยงาม คงเหมาะที่สุดกับงานกราฟิก ถ่ายภาพ หรือถ้าเป็นเชฟก็จะสามารถปรุงอาหารรสเลิศได้อย่างไม่ต้องพยายามมาก * ศศิธร

อยากเป็นนักเขียน(มืออาชีพ) มีเคล็ดลับมาบอก


Post Today - อาชีพนักเขียน เป็นอาชีพหนึ่งที่ให้ทั้งความรู้ สาระ และความบันเทิงแก่ ผู้อ่าน ทั้งเป็นอาชีพที่สร้างชื่อเสียงและรายได้อาชีพหนึ่ง บางคนมีรายได้จากอาชีพนี้มหาศาล อย่าง เจ.เค.โรว์ลิ่ง เจ้าของผลงานสะท้านโลก Harry Potter ที่เสกเธอให้เป็นเศรษฐินีในพริบตา ...

การที่จะประสบความสำเร็จเช่นนั้น นอกจากการมีพรสวรรค์เป็นต้นทุน สิ่งสำคัญผู้นั้นต้องมีฉันทะคือพรแสวงเต็มเปี่ยม พยายามฝึกฝนพัฒนาฝีมืออยู่เสมอ เมื่อนั้นการได้เป็นนักเขียนมืออาชีพเป็นที่ติดอกติดใจของ นักอ่านย่อมไม่ไกลเกินเอื้อม แต่การที่จะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ นอกจากการฝึกฝนและการพัฒนาตนอย่างที่กล่าวมาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ จะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นคือ เคล็ดลับวิธีจากนักเขียนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย
ปลูกนิสัย...รักการอ่าน

วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง นักเขียนสารคดีอิสระ เจ้าของรางวัลชนะเลิศ เซเว่นบุ๊ค อะวอร์ด ปี 2550 ประเภทสารคดี ผลงาน “ให้ความรักนำทาง” เป็นผู้หนึ่งที่กล้ายืนยันว่าไม่มีนักเขียนคนไหนประสบความสำเร็จโดยไม่ผ่านการอ่านมาก่อน รวมถึงตัวเขาที่อ่านทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น บทกวี และอื่นๆ
“ผมมาจุดนี้เพราะอ่านหนังสือทุกประเภท ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น แม้แต่บทกวี ทำให้ได้ ทั้งสำนวน ภาษา ลีลา การดำเนินเรื่องราว การขึ้นต้น ลงท้าย จากการเขียนของนักเขียนแต่ละคน จากนั้นก็มาทดลองเขียนโดยเริ่มที่เรื่องสั้น 2-3 เรื่อง แล้วให้เพื่อนอ่านเพื่อนว่าเรื่องที่เขียนไม่ใช่เรื่องสั้นแต่เป็นสารคดี ดูยังไงก็เป็นสารคดี ตั้งแต่นั้นจึงเลือกเขียน สารคดีมาถึงวันนี้” วีระศักดิ์เล่าถึงเส้นทาง นักเขียนของเขา

หาแนวให้เจอ
การจะเป็นนักเขียนนั้น สิ่งสำคัญจะต้องหาแนวของตัวเองให้เจอ เพราะไม่อย่างนั้นจะหาดีสักอย่างไม่ได้ ซึ่งการที่จะเป็นนักเขียนนั้นต้องดูว่าตนเองชอบแบบไหน ถนัดแนวไหน เมื่อรู้ว่าชอบหรือถนัดแนวไหน จงหมั่นฝึกหัดในแนวนั้นๆ หรือหากไม่ชอบไม่ถนัด ก็สามารถที่จะเปลี่ยนไปลองเขียนแนวอื่นบ้าง จนกว่าจะหาแนวที่ตนถนัดและชอบ

“บางคนอยากเป็นนักเขียนนวนิยาย แต่พอเขียนไปกลายเป็นว่าเล่าเรื่องไม่เป็นเรื่อง ลำดับเรื่องไม่เป็น ขึ้นต้นลงท้ายไม่เป็น ฝึกอย่างไรก็แล้ว ก็อาจจะไปเขียนบทกวี เรื่องสั้น หรือเป็นนักวาดรูป อะไรสักอย่างก็ได้ เพื่อ ค้นดูว่าตัวเองชอบและถนัดอะไร อย่างผมตอนแรกเขียนเรื่องสั้น แต่เขียนยังไงก็ไม่เป็นเรื่องสั้น เพื่อนบอกเป็นสารคดี ก็เขียนสารคดีตั้งแต่นั้น” วีระศักดิ์ กล่าวอย่างอารมณ์ดี
ฝึกอย่างอดทนจากง่ายไปยาก

ประชาคม ลุนาชัย นักเขียนนวนิยาย ผู้หนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมล่ารางวัล เพราะผลงานของเขา 14 เล่ม ไม่นับรวมผลงานในปี 2551 ซึ่งมีประมาณ 3 เล่ม จากที่ได้ส่งเข้าประกวด ทั้งซีไรต์งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เซเว่นบุ๊ค อะวอร์ด และที่อื่นๆ ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้งหมด 12 เล่ม ซึ่งแม้จะไม่มีรางวัลซีไรต์สักเล่ม แต่ก็ถือว่าเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง
ประชาคมเริ่มต้นการเป็นนักเขียนด้วยบทกวีที่เขาบอกว่าตัวหนังสือไม่มาก จากนั้นก็เปลี่ยนมาเขียนเรื่องสั้นและนวนิยาย

“ผมเริ่มงานเขียนใหม่ๆ ยังไม่ไปถึงนวนิยาย แต่เริ่มที่อะไรมันดูง่ายกว่าคือบทกวี ความจริงบทกวีก็ยาก แต่บทกวีตัวหนังสือน้อย ใช้เวลาและเนื้อที่ก็น้อย พอเริ่มบทกวี ไประยะหนึ่งก็ดูไม่เป็นกวี กลายเป็นไป ซ่อมกลอนประตูหน้าต่างให้ชาวบ้านเขา จึงเปลี่ยนไปเขียนเรื่องสั้น ส่งไปลงตามนิตยสารต่างๆ” ประชาคมเล่าอย่างมีความสุข
ประชาคมเล่าว่า ถ้าเราฝึกความอดทนบ่อยๆ ก็จะทำให้มีความอดทนเพิ่มขึ้น เหมือนนักยกน้ำหนัก ซึ่งตอนยกแรกๆ เริ่มต้นด้วยการยกคานเปล่าๆ ต่อมาก็เพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เมื่ออดทนกับตัวหนังสือน้อยๆ ได้อย่างบทกวีทนกับตัวหนังสือที่มากขึ้นอย่างเรื่องสั้นได้ จากนั้นจึงมาทดสอบกับนวนิยายซึ่งมีตัวหนังสือที่มากกว่า

เคล็ดเด็ด...เคล็ดลับง่ายๆ
ประชาคมแม้จะออกตัวว่าเขามิใช่นักเขียนที่ประสบความสำเร็จ และรางวัลมิใช่เป้าหมายสูงสุดของเขาในชีวิตของการเป็นนักเขียน โดยให้เหตุผลว่า งานเขียนหรืองานศิลปะทั้งหลายถ้ามีเป้าหมายอยู่ที่รางวัลจะทำให้เสียความบริสุทธิ์ เพราะเป็นการทำงานโดยพื้นฐานของตัณหาราคะ ความอยากเด่นอยากดัง และรางวัลก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่จูงใจให้นักอ่านเข้ามาดูผลงานเท่านั้น
แต่ประชาคมก็ไม่หวงวิชาที่ได้สั่งสมมา 10 กว่าปี ได้เปิดเผยถึงเคล็ดลับที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเอาไว้
1.เรียนรู้จากผู้อื่น : หมายถึงการอ่านหนังสือของผู้อื่น อ่านประวัติของนักเขียน ศิลปิน บุคคลที่ประสบความสำเร็จ บุคคลที่ล้มเหลว บุคคลสำคัญๆ ศึกษาการเดินทางของคนรุ่นก่อนๆ ซึ่งพวกเขามีเส้นทางให้ได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวเป็นตัวอย่างอยู่มากมาย
“การอ่านงานของคนอื่นนอกจากเราจะมีความสุข ความรื่นรมย์แล้ว ยังได้เทคนิค กลวิธี ได้ภาษา และอะไรอีกมากมาย หลายอย่าง” ประชาคม ยืนยัน

2.ตื่นขึ้นมาทำงาน : ประชาคมเล่าว่า อะไรที่คิดไว้แต่เมื่อคืนจะตื่นขึ้นมาทำเรื่องราวอะไรที่คิดไว้เมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เรื่องไหนที่กระตุ้นตัวเราที่สุดก็ต้องตื่นขึ้นมาเขียนทุกๆ วัน โดยไม่คิดว่าจะได้รวมเล่มไหม จะได้รางวัลไหม รู้เพียงว่าเป็นงานที่ทำแล้วมันเติบโตข้างใน สำนึกเราดีขึ้น

3.จินตนาการถึงความสำเร็จ : งานที่ดีต้องมีทีเด็ดในการสร้างสรรค์ ต้องมีอะไรพิเศษ ซึ่งต่างจากงานพื้นๆ ซึ่งจะเป็นงานที่ไม่ถูกกล่าวถึงและถูกหลงลืม เพราะฉะนั้นการเขียนจะต้องมีกลวิธีพิเศษ การใช้ภาษาพิเศษ มีการนำเสนอพิเศษ และพลังของเรื่องมันก็ต้องมีพลังที่พิเศษ
“ช่วงที่ผมเขียนหนังสืออยู่นั้นไม่มีความสำเร็จอะไร ทั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ห้องเช่าแคบๆ ทำงานวันต่อวัน ไม่มีพัดลม ไม่มีแอร์ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ทำงานเหงื่อท่วมตัวกับพิมพ์ดีดเครื่องเก่าๆ ถ้าอนาคตผมอยู่ในสิ่ง ที่ดีกว่านี้ สักวันหนึ่งงานของผมจะได้การ รวมเล่ม สักวันหนึ่งงานของผมจะมีคนอ่านทั่วประเทศ สักวันหนึ่งงานของผมจะได้ถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศ”
นี่คือจินตนาการ แม้เราจะอยู่ในที่ที่ไม่สวยงาม ในที่ที่แคบๆ แต่จินตนาการของเราต้องกว้างใหญ่ไพศาลกว่านั้น

4.ทำความคิดให้ใหม่สด : เรื่องราวอะไรต่างๆ คนอื่นนำเสนอมาหมดแล้ว แต่นักเขียนที่ฉลาดจะต้องเสนอ แง่มุมของตนให้แปลกต่างจากคนอื่น อย่างเรื่องประวัติศาสตร์ ถ้าจะเขียนเชิดชูวีรบุรุษ วีรสตรี ก็มีคนเขียนมากแล้ว ในเรื่องนี้เราอาจหยิบตัวละครที่ไม่สำคัญหรือตัวละครกบฏ ก็ได้มานำเสนอ
นี่คือการมีมุมมองและความคิดที่แตกต่างจากคนอื่น

5.บดให้ละเอียด : ประชาคมเล่าว่า การจะเขียนถึงสิ่งไหนจะต้องรู้แจ้งในสิ่งที่จะเขียน ข้อมูลของตัวละคร ข้อมูลของเหตุการณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องกระจ่างแจ้งในใจเรา

6.ต้องละเมียดละไม : เรื่องราวทุกเรื่องจะต้องมีความหมดจดงดงาม ตั้งแต่การใช้ภาษา ตัวเรื่อง นักเขียนจะมีฝีมือมากน้อยกว่ากัน อยู่ที่ว่าใครจะทำเนื้อหาให้กลืนเข้าไปในเนื้อเรื่องได้ดีกว่าคนอื่น ทำให้มันกลมกลืนเหมือนอาหารสำรับหนึ่งที่ปรุงได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนคนอ่าน ไม่อาจแยกออกเลยว่า ตรงไหนเป็นเนื้อหา ตรงไหนเป็นเนื้อเรื่อง

7.ถอดหัวใจให้กับงาน : ประชาคมอธิบายว่า นักเขียนที่ดีจะต้องใส่ใจกับงานที่ตนเขียน หนังสือทุกเล่มของ นักเขียน เขาบอกว่ามีหยดเยิ้มของหัวใจของนักเขียนอยู่ทุกตัวอักษร

8.ขยันให้เป็นปกติ : ประชาคมเล่าว่า การที่จะเป็นนักเขียนมืออาชีพนั้น อย่าพูดถึงวินัย อย่าพูดถึงการบังคับตัวเอง แรงบันดาลใจสามารถสร้างได้ ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องอ้อนวอนขอพรพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นักเขียนทั้งหลาย แรงบันดาลใจสร้างได้ อารมณ์สร้างได้
“ผมก็ไม่เก่งหรอก แต่ในระยะ 10 กว่า ปีที่ผ่านมา ทำงานเขียนโดยไม่เอียงคิ้ว ความขยันหมั่นเพียรเป็นความปกติ เป็น กิจวัตรตื่นขึ้นมาทำงาน วางแผนวางโครงเรื่องอะไรไว้ทำได้ตามที่คิด ทำได้เท่าที่คิด เหมือนชาวสวนที่ตื่นเช้ามาก็ออกไปทำสวน เหมือนชาวนาที่รุ่งเช้าเอาควายออกไป ท้องทุ่ง ผมก็เหมือนกัน ตื่นเช้ามาก็เข้าสู่ โต๊ะทำงาน ไม่ใช่ความขยันหมั่นเพียรแต่ เป็นเรื่องวิถีชีวิตปกติ” ประชาคมเล่าด้วย รอยยิ้ม
อย่างไรก็ตาม ประชาคมทิ้งท้ายว่า การที่จะมีนักเขียนเกิดขึ้นนั้นจะต้องมีนักอ่านที่ดีด้วย เพราะก่อนที่จะเป็นนักเขียนที่ดี ก็ต้องเป็นนักอ่านที่ดีมาก่อน ถ้ามิได้เป็นนักอ่านที่ดี ไม่เคยเห็นงานของคนอื่น ไม่เคยคิดที่จะอ่าน ไม่เคยสร้างจินตนาการจากงานของคนอื่นๆ พอเวลามาถึงงานของตัวเองก็จะไม่สามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จได้

“ผมคิดว่าไม่ว่าใครก็ตามที่อยากเป็น นักเขียน ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้ว ผมเชื่อว่าเขา ต้องได้รางวัลและก็มีความสุขอย่างแน่นอน” ประชาคมย้ำหนักแน่น

คัมภีร์บริหารจากภูมิปัญญาจีน


Post Today - ในแวดวงธุรกิจถ้าเอ่ยชื่อ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี. ออลล์ หลายคนรู้จักเขาฐานะผู้ปลุกปั้นกิจการร้านค้าสะดวกซื้อให้กลายเป็นร้านค้า ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทยมากที่สุด โดยหลักวิธีการบริหารแบบ “การเล่นโกะ” ...


สำหรับในแวดวงหนังสือ คนรักการอ่านล้วนลึกซึ้งกันอย่างดีกับหลักการสะบัดธงรุกอีกหลายรูปแบบ ที่ก่อศักดิ์บันทึกไว้ในรูปแบบ พ็อกเกตบุ๊กด้วยความชื่นชมปรัชญาแบบตะวันออก เป็นตำราสำหรับนักธุรกิจรุ่นลูกรุ่นหลานต่อมา เช่น ซีอีโอ โลกตะวันออก ที่ออกมาแบบ 2 ภาคต่อ คือ ฉบับลีลาบริหารสามมิติ ฉบับรวยอย่างไรให้ยั่งยืน รัฐศาสตร์ไท่จงและมหาอาณาจักรฮั่น ทั้งหมดสร้างความฮือฮาให้แก่วงการหนังสือเมืองไทย เพราะไม่เพียงแต่ให้ความรู้ด้านวิชาการ

แต่ยังอ่านสนุกด้วยลีลาการเขียนล้ำลึก ทุกตัวอักษรมีคุณค่าสำหรับผู้ที่มุ่งมั่นก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ผู้อ่านจะรู้สึกเสมือนเป็นผู้หนึ่งที่ได้เข้าร่วมอยู่ในทีมงานซึ่งมีซีอีโอ ก่อศักดิ์เป็นผู้นำ ผลงานเล่มล่าสุด CEO สอนน้อง ซึ่งบรรดามนุษย์ทำงานก็ยังอดไม่ได้ที่ต้องหยิบขึ้นมาจากแผงหนังสือ และเมื่อเปิดอ่านบทแรก “คัมภีร์บริหารจากภูมิปัญญาจีน” โดยเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ขุนนางเลว-ดี ดูที่ตรงไหน? ก็วางไม่ลงเสียแล้วโดยเฉพาะคนที่วางแผนอยากก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ ซึ่งต้องมีคุณสมบัติในการมองคนให้ได้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่ในก้าวแรก


ขุนนางดี 6 ประเภท


ในคัมภีร์ “ฉางต่วนจิง” ก่อศักดิ์บอกเป็นคัมภีร์ว่า ด้วยการบริหาร การปกครองที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่งของจีน ได้แบ่งประเภทของขุนนางไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้


- ประเภทที่ 1 : ขุนนางอริยะเมธี

ผู้ปรีชาเห็นการณ์ล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุ คะเนเภทภัยได้ก่อนจะปรากฏ ทั้งยังสามารถสกัดป้องกันไว้ตั้งแต่ต้น เป็นผลให้กษัตริย์ของตนอยู่เหนือภยันตรายและดำรงเกียรติยศปรากฏขจรไกลชั่ว กาลนาน ในประวัติศาสตร์ ขุนนางระดับหัวกะทิเช่นนี้ล้วนดำรงตำแหน่งเป็นราชครูในราชสำนัก


- ประเภทที่ 2 : ขุนนางผู้ยิ่งใหญ่
ผู้ถวายความเห็นอย่างอ่อนน้อม โน้มน้าวให้กษัตริย์ปฏิบัติพระองค์ตามจารีตประเพณีอันดีงาม และยึดมั่นในครรลองคลองธรรม คอยกราบทูลให้ทรงใช้สายพระเนตรที่ยาวไกลคำนวณผลอย่างรอบด้านเป็นผู้ที่จะ เสริมจุดดีและสลายจุดด้อยให้แก่กษัตริย์ของตน
ประเภทนี้ในสมัยโบราณเรียกว่า “ขุนนางกระดูกเหล็ก” แม้ตัวเองจะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งโดยทันทีก็ไม่นำพา เพียงมุ่งหวังให้องค์กษัตริย์ดำเนินไปบนหนทางที่ถูกต้องดีงาม เมื่อใดที่ผู้เป็นนายปฏิบัติมิชอบก็กล้ากราบทูลว่าไม่ บังควร ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์มักจะปรากฏขุนนางเช่นนี้
อาทิ ช่วงต้นรัชสมัยกษัตริย์ ซ่งไท่จู่ มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้หนึ่งเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ในยามนั้นฮ่องเต้ทรงฉลองพระองค์ในชุดบรรทมอยู่ในพระตำหนัก เขาจึงหันหลังกลับและหยุดอยู่ที่หน้าประตู ฮ่องเต้ทรงเห็นดังนั้นจึงตรัสสั่งมหาดเล็กให้ไปสอบถามว่าเหตุใดจึงไม่เข้ามา ในพระตำหนัก ขุนนางจึงกราบทูลว่า “ฮ่องเต้มิได้ทรงฉลองพระองค์อย่างเป็นทางการ”
วาจาเพียงประโยคเดียวบันดาลให้พระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นสีแดง รีบกลับเข้าไปเปลี่ยนฉลองพระองค์ตามแบบแผนที่ถูกต้องแล้วจึงออกมาพบขุนนาง ผู้นั้น แม้จะดูว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ขุนนางประเภทนี้ก็มิยอมมองข้าม เหตุเพราะฮ่องเต้เป็นสัญลักษณ์แทนประเทศชาติ ไม่อาจปฏิบัติตามอำเภอใจได้


- ประเภทที่ 3 : ขุนนางจงรักภักดี
ทุ่มเททำงานทั้งเช้า-ค่ำ แนะนำคนดีมาช่วยชาติโดยมิเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย มักกราบทูลเรื่องราวของเมธีกษัตริย์และปวงปราชญ์แต่โบราณกาลเพื่อเป็นแบบ อย่างถวายองค์กษัตริย์อย่างสม่ำเสมอ


- ประเภทที่ 4 : ขุนนางชาญฉลาด
มีสายตาแหลมคม มองเห็นเหตุแห่งความสำเร็จและล้มเหลว สามารถช่วยเหลือป้องกันได้ตั้งแต่ต้น โดยการอุดช่องโหว่รากเหง้าแห่งปัญหา แปรหายนะเป็นชัยชนะ กษัตริย์จึงไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล


- ประเภทที่ 5 : ขุนนางสุจริต
ขุนนางผู้เคารพกฎหมายเคร่งครัดในระเบียบข้อบังคับ มีความรับผิดชอบสูงไม่กินสินบน ไม่โลภโมโทสัน ดำรงชีพด้วยความสมถะมัธยัสถ์


- ประเภทที่ 6 : ขุนนางซื่อตรง
ไม่ประจบสอพลอ ในยามบ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวายกล้าทัดทานท้วงติงสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อหน้า พระพักตร์แม้ในยามที่ทรงพิโรธรุนแรงในยามวิกฤตคับขันบ้านเมืองต้องการคนพูด ความจริง ในสถานการณ์ที่เจ้าเหนือหัวไม่พร้อมจะรับฟังสิ่งใดๆ ไม่มีใครกล้าท้วงติงในสิ่งที่มีเหตุผล ขุนนางประเภทนี้พร้อมจะเผชิญหน้าและแจกแจงถึงข้อผิดพลาดของผู้บังคับบัญชา เป็นคนตรงที่ยอมเสี่ยงตายเพื่อส่วนรวม


ขุนนางเลว 6 ประเภท


- ประเภทที่ 1 : ขุนนางกะล่อน
ทำงานเรื่อยเฉื่อย โลภโมโทสัน ไม่ใส่ใจงานหลวง คอยดูทิศทางลม เปลี่ยนสีตามสถานการณ์ มีคนบางประเภทประพฤติตนตามกฎระเบียบที่วางไว้เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งได้นาน ที่สุด ระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดก็สามารถรับเงินเดือนได้ทุกเดือน งานการก็ทำไปตามหน้าที่ แต่ไม่ได้กระตือรือร้นทุ่มเทเอาใจใส่ คอยปรับตัวตามกระแส เอาตัวรอดตามแต่สถานการณ์ ไม่มีจุดยืนที่แน่นอน


- ประเภทที่ 2 : ขุนนางสอพลอ
กษัตริย์ตรัสสิ่งใดล้วนเออออว่าดีงาม กษัตริย์ทรงกระทำการใดล้วนเห็นว่าถูกต้องแอบสืบแสวงสิ่งซึ่งกษัตริย์ทรงโปรด และเสาะหามาถวาย มุ่งเพียงให้กษัตริย์สำราญพระราชหฤทัยโดยไม่คำนึงถึงผลร้ายภายหลัง
ในบันทึกประวัติศาสตร์ยุค “จ้านกว๋อ” (สงครามระหว่างรัฐ) มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า กษัตริย์ฉีเหิงกง ไม่โปรดปรานสีม่วงจึงถาม กว่านจ้ง ว่า “สมควรทำเช่นไร?” เขาทูลตอบว่า “ง่ายดายอย่างยิ่ง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปหากพระองค์พบเห็นผู้ใดสวมใส่เสื้อผ้าสีม่วงเดิน ผ่านหน้าพระพักตร์ก็ขอให้ตรัสว่า ช่างเหม็นเหลือเกิน! หลีกไปให้ไกลๆ” กษัตริย์ผู้นี้ก็ปฏิบัติตามคำแนะนำ
หลังจากนั้น 1 เดือนทั้งเมืองไม่มีใครใส่เสื้อผ้าสีม่วงอีกเลย เพราะฉะนั้นเบื้องบนนิยมสิ่งใด ผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะกระทำตาม นี่คือพลังอำนาจที่รุนแรงอย่างยิ่ง ขุนนางสอพลอเพียงต้องการประจบเอาใจผู้เป็นนายแม้จะต้องปฏิบัตินอกลู่นอกทาง จนนำความเสื่อมเสียมายังเจ้านายของตนก็ไม่นำพา


- ประเภทที่ 3 : ขุนนางบ่างช่างยุ
มีความรู้มากแต่ใช้เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตน ชำนาญการเจรจาใช้คารมยุแยงให้แตกสามัคคีทั้งในพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง ทั่วราชสำนัก


- ประเภทที่ 4 : ขุนนางโฉด
จิตใจเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย เปลือกนอกดูสุภาพนุ่มนวล เจรจาไพเราะชวนฟัง เค้าหน้าเมตตา การุณย์ แต่ส่วนลึกริษยาคนดีมีความสามารถ เมื่อจะสนับสนุนผู้ใดก็จะกล่าวถึงเฉพาะข้อดีไม่เอ่ยถึงข้อด้อยผู้นั้น เมื่อจะทำลายใครก็จะขยายข้อด้อยของผู้นั้นจนใหญ่โต แต่ไม่กล่าวถึงข้อดีของผู้นั้นเลย เป็นเหตุให้กษัตริย์ทรงพิจารณาคุณ-โทษอย่างไม่เที่ยงธรรม


- ประเภทที่ 5 : ขุนนางปล้นชาติ
รวบอำนาจแผ่อิทธิพล ทำผิดเป็นถูก สร้างก๊กส่วนตัว เสาะหาความร่ำรวยส่วนตนแอบอ้างพระราชโองการเพื่อให้ตนได้ผลประโยชน์


- ประเภทที่ 6 : ขุนนางล้างชาติ
สนับสนุนให้กษัตริย์ทรงดำเนินไปบนหนทางที่ไม่ถูกต้องและโยนความผิดทั้งหมดไป ให้ผู้เป็นนาย สมคบกับพวกพ้องปิดบังพระเนตรพระกรรณ ยังผลให้องค์กษัตริย์มิอาจจำแนกผิดชอบชั่วดี เป็นที่ประณามของอาณาประชาราษฎร์และแว่นแคว้นใกล้เคียง


ประวัติศาสตร์มักจะแสดงให้เห็นว่า เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาบกพร่องในหน้าที่ ประชาชนก็จะด่าว่าผู้บังคับบัญชา ดังนั้นการเป็นหัวหน้าคนที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจอย่างยิ่งเพราะ มักจะตกที่นั่งลำบากเพราะลูกน้องของตนอยู่เสมอ เป็นเช่นนี้มานานตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และคงจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต
การพิจารณาคนในแบบคัมภีร์บริหารจากภูมิปัญญาจีน จึงเป็นตำราที่ผู้นำรุ่นใหม่สามารถหยิบจับไปใช้คัดเลือกคนทำงานได้เป็นอย่างดี

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การทำดอกไม้สดอบแห้ง


ดอกไม้สดอบแห้ง เป็นวิธีการทำให้ดอกไม้แห้งยังคงความสวยงามตามธรรมชาติไว้ได้มากที่สุด โดยเทคนิคการอบแห้งด้วยซิลิกาทราย และซิลิกาเจล แล้วนำดอกไม้ที่แห้งแล้วไปจัดลงในโถแก้วรูปทรงต่างๆ ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาดอกไม้ได้นานขึ้นหลายปี


วิธีการทำ


เลือกดอกไม้สำหรับอบแห้ง ดอกไม้สดเกือบทุกชนิดสามารถนำมาทำเป็นดอกไม้อบแห้งได้ ที่นิยมก็อาทิ กุหลาบ กล้วยไม้ คาร์เนชั่น ลิลลี่ เป็นต้น ทริคก็คือหากเลือกดอกกุหลาบ ควรเลือกกุหลาบดอกใหญ่ สด กลีบดอกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีรอยช้ำหรือเน่าเสีย ไม่เป็นโรค หรือถูกหนอนกัดกิน ถ้าเลือกดอกกล้วยไม้ ควรเลือกดอกแก่โดยสังเกตจากโคนดอก (ถ้าเป็นดอกอ่อนโคนดอกจะเป็นสีเขียว) เลือกดอกที่สมบูรณ์ ไม่มีรอยหักพับ ช้ำ และกลีบดอกไม่ควรหนามาก เพราะกลีบหนาจะอุ้มน้ำมากเมื่อนำมาอบอาจทำให้ดอกเน่าใช้งานไม่ได้ สีที่โดดเด่นคือสีม่วงเข้ม โดยเฉพาะม่วงลายเสือ สำหรับคาร์เนชั่น ทุกสีอบได้สวยเช่นกัน เพียงแต่จะมีสีอ่อนลง ส่วนลิลลี่ ควรเลือกดอกที่มีขนาดพอเหมาะ เพราะดอกใหญ่จะหาแก้วจัดได้ยาก และควรเลือกสีชมพู


วิธีการอบแห้งดอกกุหลาบ คาร์เนชั่น และลิลลี่

นำดอกกุหลาบแช่น้ำไว้ 1 คืน เพื่อให้ดอกบาน (ไม่มาก) ส่วนคาร์เนชั่น และลิลลี่ ไม่ต้องแช่น้ำ แต่ต้องเช็ดน้ำออกให้แห้ง
นำกุหลาบขึ้นจากน้ำ เด็ดกลีบเสียทิ้ง สลัดน้ำออกอย่างเบามือที่สุด หรือใช้สำลีก้านซับ ตัดก้านออกให้เหลือ 2-3 ซ.ม.
ถ้าดอกไหนแช่น้ำแล้วยังไม่บานพอ ให้ใช้สำลีก้านค่อยหมุนไปตามรอบโคนกลีบขณะเช็ดน้ำ
เทซิลิกาทรายใส่กล่องพลาสติก (ชนิดกลมหรือเหลี่ยมก็ได้) ประมาณครึ่งกล่อง
ใช้คีมจับก้านดอกปักลงในซิลิกาทรายให้ดอกตั้งขึ้นเว้นระยะห่างพอประมาณ อย่าให้ดอกซ้อนทับกัน จากนั้นค่อยๆเทซิลิกาทรายลงบนดอกไม้ให้ทั่ว กลบให้ท่วมดอก
ปิดฝากล่องพลาสติกให้สนิท อบนาน 5-7 วัน ทิ้งไว้ในที่ร่ม ครบกำหนดเทซิลิกาทรายออก ใช้คีมจับก้านดอกดึงออกมา คว่ำดอกลงแล้วใช้คีมอีกอันเคาะคีมที่จับก้านดอกเบาๆ เพื่อให้ซิลิกาทรายที่ติดดอกหลุดออกให้หมด ใส่ดอกลงกล่องพลาสติกที่มีซิลิกาเจลรองพื้น ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ในที่ร่ม

วิธีการอบดอกกล้วยไม้

วิธีการคือเด็ดดอกออกจากช่อโดยให้มีก้านเหลือประมาณ 3-4 ซ.ม. เทซิลิกาทรายใส่กล่องพลาสติกกลม ประมาณครึ่งกล่อง ใช้ด้ามคีมเกลี่ยซิลิกาไปไว้ข้างๆ กล่อง พร้อมหมุนกล่องพลาสติกวนไปให้รอบ (ลักษณะของทรายที่เกลี่ยเสร็จแล้วจะเป็นหลุมตรงกลาง) ใช้คีมโค้งจับก้านดอกกล้วยไม้ให้หันด้านหน้าเข้าหาตัว กดดอกลงบนทรายข้างๆ กล่อง ใช้นิ้วชี้มือซ้ายกดตรงกลางดอกเบาๆ อย่าให้ดอกดันขึ้นจากทรายจัดกลีบดอกให้สวยด้วยการใช้ด้ามคีมกรีดกลีบดอกกลีบเล็กทั้ง 3 กลีบ (กลีบซ้าย กลีบขวา และกลีบบน) 1 ครั้งเพื่อให้กลีบดอกจมทราย ใช้ด้ามคีมเกลี่ยทรายหนุนกลีบเล็กด้านล่างให้สูงขึ้นจากทรายนิดหน่อย และหนุนกลีบดอกกลีบใหญ่ทั้ง 2 กลีบด้วย ปักดอกกล้วยไม้ให้เต็มกล่อง ตักซิลิกาทรายเทปิดดอกเบาๆ จนมิด นำเข้าอบไมโครเวฟประมาณ 1-1.5 นาที โดยไม่ต้องปิดฝากล่อง เสร็จแล้วนำออกมา ปิดฝากล่องพลาสติกอบไว้ 3 วัน

การทำเทียนหอม สร้างรายได้


เทียนหอม มีหลายประเภท ได้แก่ เทียนหอมบล็อค เทียนหอมประดับชนิดลอยน้ำ เทียนประดับที่บรรจุในภาชนะ เทียนรูปดอกไม้ และเทียนหอมประดิษฐ์ ประเภทดอกไม้สนาม ความหมายของคําที่ใช้ ในมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ชุมชน คำว่า เทียนหอม หมายถึง ผลิตภัณฑ์ ที่ได้จากการนําพาราฟิน และไขผึ้งมาหลอมละลายรวมกัน อาจเติมสีแล้วเติมน้ำมันหอมระเหยนําไปปั้นด้วยมือ หรือหล่อแบบขึ้นรูป หรือกดจากพิมพ์ ให้ มีรูปทรงตามต้ องการอาจประกอบด้วยวัสดุอื่นเพื่อให้
เกิดความสวยงาม เช่น ดอกไม้ แห้ง มีไส้ เทียนสําหรับจุดไฟ และมีกลิ่นหอมของน้ามันหอมระเหย

วิธีการทำเทียนหอม

วัสดุ


วัตถุดิบหลักที่สำคัญ ได้แก่ พาราฟิน โพลีเอสเตอร์ น้ำหอม ไส้เทียน และสีเคลือบดอก
โดยแหล่ง Supplier ที่สำคัญจะอยู่ในประเทศจีนและไต้หวัน



ขั้นตอน และกระบวนการผลิตเทียนหอม

สำหรับกระบวนการผลิต และขั้นตอนการผลิตสามารถจัดลำดับแผนกของการผลิตได้ดังนี้


1. พาราฟิน 1 กก.

2. บีแวกซ์ 1 ขีด

3. เทียนเหนียว 1 ขีด

4. สีเทียน หรือ สีน้ำมันผง

5. ไส้เทียน

6. หัวน้ำหอมกลิ่นที่ชอบ 15 cc

7. พิมพ์รูปต่างๆ

วิธีทำเทียนหอม

นำพาราฟินใส่ภาชนะตั้งไฟละลายจากนั้นใส่บีแว็กซ์ และเทียนลงไป พอละลายเข้ากันใส่สีเทียน หรือสีน้ำมันผงให้สีอ่อนเข้มตามต้องการตักหยอดใส่พิมพ์เมื่อเทียนเริ่มแข็งตัวใส่ไส้เทียนที่เตรียมไว้

* วิธีทำไส้เทียนให้แข็ง ทำได้โดยนำฝ้ายดิบสำหรับทำใส้เทียนจุ่มลงในพาราฟิน ที่ต้มละลายแล้ว จากนั้นดึงใส้เทียนให้ตึง พอแห้งจะได้ใส้เทียนเป็นเส้นตรง จากนั้นตัดตามยาวตามต้องการ

ช่องทางทำเงินด้วย 2 สูตรสบู่เหลว


สบู่เหลวเป็นสบู่ที่คนนิยมใช้กันมาก เพราะสบู่เหลวมีคุณสมบัติการใช้งานดีกว่าสบู่ก้อน ตรงที่มีความระคายเคืองต่อผิวน้อยกว่า และมีสีสันสดใสกว่าสบู่ก้อน สำหรับผู้สนใจ หากนำ 2 สูตรที่จะกล่าวถึงในต่อไปนี้ มาพัฒนาจนเป็นสูตรของตนเองได้ ก็อาจผลิตสบู่ธรรมชาติเป็นอาชีพ เพิ่มรายได้ให้มากยิ่งขึ้น

ขั้นตอนการทำสบู่เหลว

อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสบู่เหลว ได้แก่


1. เครื่องชั่ง เพื่อใช้ชั่งน้ำมัน ด่าง และน้ำ
2. หม้อต้มสแตนเลส 2 ชั้น หากไม่มี ผู้ทำสามารถใช้หม้อสแตนเลส 2 ใบ ใบใหญ่ 1 ใบ และใบเล็ก 1 ใบ สำหรับใช้เคี่ยวสบู่
3. เทอร์โมมิเตอร์ 2 แท่ง
4. ชามแก้ว หรือถ้วยตวงแก้ว ใช้ผสมสารละลายด่าง
5. ไม้พายพลาสติก
6. ขวดพลาสติก หรือขวดแก้ว

สูตรที่ 1 สบู่รำข้าว มีส่วนผสม ดังนี้

- น้ำมันปาล์ม 200 กรัม

- น้ำมันมะพร้าว 200 กรัม

- น้ำมันรำข้าว 100 กรัม

- โปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH)หรือด่าง 105 กรัม

- น้ำที่ใช้สำหรับผสมกับ KOH 250 กรัม

- น้ำที่ใช้เจือจางสบู่ 950 กรัม

- บอแรกซ์ 12 กรัม

ขั้นตอนการทำ

1. เทน้ำที่ใช้สำหรับผสมด่างปริมาณ 250 กรัมลงในชามแก้ว แล้วเทด่างทั้งหมดลงในน้ำ (ไม่ควรเทน้ำลงในด่าง เพราะจะทำให้เกิดความร้อนสูง) ใช้ช้อนสแตนเลสกวนด่างให้ละลายในน้ำจนหมด และใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดให้ได้อุณหภูมิประมาณ 40-45 องศาเซลเซียส
2. ในขณะเดียวกัน เอาน้ำมันทั้งหมด คือ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันรำข้าวตาม สัดส่วนที่กำหนด เทใส่หม้อสแตนเลสใบเล็ก แล้วนำไปตั้งไฟให้มีอุณหภูมิ 40-45 องศาเซลเซียส
3. เมื่อส่วนผสมตามข้อ1และข้อ 2 ได้อุณหภูมิที่ใกล้เคียงกัน คือประมาณ 40-45 องศา ให้เทสารละลายด่าง (ในข้อ 2) ลงในน้ำมัน แล้วใช้ไม้พายพลาสติกกวนส่วนผสมให้เข้ากัน
4. เอาหม้อใบใหญ่ขึ้นตั้งไฟ เติมน้ำเปล่า 950 กรัม ลงในหม้อใบใหญ่ แล้วจึงนำหม้อใบเล็ก (ที่มีส่วนผสมน้ำมันกับด่างในข้อ 3) ใส่ซ้อนหม้อใบใหญ่ ใช้ไฟอ่อนๆ คุมให้อุณหภูมิของส่วนผสมไม่สูงเกินไป คืออยู่ประมาณ 50-60 องศาเซลเซียส ตลอดเวลาที่เคี่ยวสบู่
5. ใช้ไม้พายคนส่วนผสมสบู่ในหม้อใบเล็กไปเรื่อย ๆ คนนานประมาณ 15 นาทีถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อสบู่เริ่มจับตัว ให้คนต่อไปอีกจนสบู่เริ่มมีลักษณะเหนียวข้นคล้ายแป้งเปียก ให้เคี่ยวต่อไปโดยใช้ไม้พายกวนสบู่ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เมื่อเคี่ยวสบู่ไปประมาณ 2 ชั่วโมง สบู่จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองขุ่นหรือสีเหลืองใส ให้เคี่ยวต่ออีก 1 ชั่วโมง
6. จากนั้น ยกหม้อสบู่ใบเล็กออกจากหม้อใบใหญ่ เทน้ำในหม้อใบใหญ่ทิ้ง แล้วเติมน้ำสะอาดประมาณ 1,000 กรัม ลงในหม้อใบใหญ่
7. นำหม้อใบใหญ่ขึ้นตั้งไฟ จากนั้น จึงตักเนื้อสบู่ทั้งหมดจากหม้อใบเล็กใส่ลงในหม้อใบใหญ่ เปิดไฟปานกลางจนน้ำเดือด กวนเนื้อสบู่ในหม้อด้วยไม้พาย หรือใช้ไม้พายตัดเนื้อสบู่ที่เหนียวข้นออกเป็นชิ้นเล็ก กวนไปสักครู่ 5-10 นาทีจึงปิดไฟ นำหม้อลงจากเตา ปิดฝา ทิ้งไว้ข้ามคืน
8. ตอนเช้า เนื้อสบู่จะละลายเป็นสบู่เหลว ถ้าละลายไม่หมด ให้ตั้งไฟทิ้งไว้อีกสักครู่ ก็จะละลายหมด จากนั้น จึงใช้บอกแรกซ์ 12 กรัม ละลายน้ำ 25 กรัมใส่ลงไป กวนให้เข้ากัน ก็จะได้สบู่เหลวตามที่ต้องการ และหากจะเติมกลิ่นน้ำหอมลงไป ก็สามารถเติมได้ในขั้นตอนนี้
9. บรรจุลงขวดแก้วหรือขวดพลาสติกที่มีฝาปิด เก็บไว้อีก 1-2 สัปดาห์ ก็สามารถนำออกมาจำหน่ายได้

สูตรที่ 2 สบู่เหลวน้ำมันงา มีส่วนผสม ดังนี้

- น้ำมันถั่วเหลือง 350 กรัม

- น้ำมันมะพร้าว 50 กรัม

- น้ำมันปาล์ม 50 กรัม

- น้ำมันงา 50 กรัม

- โปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH)หรือด่าง 95 กรัม

- น้ำ (สำหรับใช้ละลายด่าง KOH) 220 กรัม

- น้ำ (สำหรับเจือจางสบู่) 950 กรัม

- บอแรกซ์ 12 กรัม

ขั้นตอนการทำ

สำหรับการทำสบู่เหลวน้ำมันงา จะมีขั้นตอนเหมือนกับสูตรที่ 1 ทุกประการ

สร้างรายได้ด้วยตัวเอง สบู่เหลวเป็นสบู่ที่มีผู้ใช้มาก ขั้นตอนการทำก็ไม่ยุ่งยาก ลู่ทางทำกินนี้จึงสดใส และหากผู้สนใจต้องการจะผลิตสบู่เหลวสูตรอื่นๆ ก็สามารถทำได้โดยคำนวณสัดส่วนผสมจากตัวอย่างที่ยกมาให้ ในด้านการจำหน่าย ผู้ผลิตสามารถวางขายได้ตามร้านเครื่องสำอางสมุนไพร หรือตามตลาด ซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป เป็นการสร้างรายได้ในอีกทางหนึ่ง

ที่มาของบทความ อาชีพเสริม

ต้นไม้ในขวดแก้ว สร้างรายได้



“ ต้นไม้จิ๋วในขวดแก้ว ” ใช้ชื่อสินค้าว่า “ Love Flora ”

เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่เหมาะสำหรับคนที่ใช้ชีวิตในเมือง ที่รักต้นไม้แต่ไม่ค่อยมีเวลาดูแล เพราะต้นไม้จะสามารถโตขึ้นเองได้โดยอาศัยสูตรอาหารที่ใส่ลงไป ไม่จำเป็นต้องดูแล
วิธีการดูแลก็ไม่ยุ่งยาก วางไว้ในบริเวณที่มีแสงสว่างแต่ไม่โดนแสงแดดโดยตรง ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ต้องดูแล แค่ให้อาหาร ต้นไม้ในขวดแก้วก็จะค่อย ๆ โตขึ้นเอง เมื่อเจลอาหารหมดต้นกล้าในขวดก็จะโตเต็มที่ จากนั้นสามารถจะย้ายออกมาปลูกข้างนอกได้ต่อ โดยค่อย ๆ เปิดฝาเล็กน้อยก่อนจะย้ายประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้ความชื้นสัมพัทธ์ในขวดลดลง หลังจากนั้นก็นำกล้าไม้ออกจากขวด ระวังอย่าให้ต้นช้ำ ล้างวุ้นเจลออกจากรากให้สะอาด นำไปปลูกในภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วก็ดูแลตามปกติเหมือนการปลูกต้นไม้ทั่วไป


ต้นไม้ที่ใส่ในขวดแก้วได้มีกว่า 30 ชนิด ส่วนใหญ่จะเป็นพวกกล้วยไม้ กุหลาบ ไม้มงคล
ขั้นตอนการทำต้นไม้จิ๋วในขวดแก้ว
1. ต้องหาสายพันธุ์ไม้ที่ต้องการจะนำมาใส่ การหาสายพันธุ์ก็จะต้องหาสายพันธุ์ที่ดี มีลักษณะเด่นที่สุด นำไปบรรจุในขวดแก้วที่มีสูตรอาหารรองไว้ก้นขวด เมื่อบรรจุเรียบร้อยก็ทำการปิดฝาให้สนิท ไม่ให้อากาศเข้าไปได้
2. ขั้นตอนการบรรจุพันธุ์ไม้ลงไปในขวดแก้วนั้นจะต้องทำกันใน “ ห้องปลอดเชื้อ ” ขวดแก้วที่ใช้บรรจุก็จะต้องใช้ขวดที่มีเนื้อเกรดเอ เพราะขวดแก้วที่ใช้จะต้องนำไปทำการอบฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา โดยใช้เครื่องอบความดัน ใช้อุณหภูมิอยู่ที่ 121 องศาเซลเซียส ความดัน 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว อบประมาณ 20 นาที ขวดแก้วที่ใช้จึงต้องสามารถทนแรงดันได้ดี
3. ทำสูตรอาหารที่ทำก็มีอาหารหลักของต้นไม้อยู่ไม่กี่ตัว ได้แก่ แหล่ง คาร์บอน กับแหล่ง ไนโตรเจน ส่วนอาหารเสริมได้แก่ วิตามิน และสารเร่งการเจริญเติบโตหรือที่เรียกว่า ฮอร์โมนพืช
ชิ้นงานประเภทนี้สร้างรายได้ตั้งแต่ 20-5,000 บาทต่อชุด ขึ้นอยู่กับขนาดของภาชนะที่ใส่ และสายพันธุ์ไม้ ใครสนใจ “ ต้นไม้ในขวดแก้ว ” และมีพื้นทางด้านนี้อยู่บ้างก็อาจจะนำแนวคิดนี้ไปทดลองทำ นำไปต่อยอด คิดทำสินค้าที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง...อาจจะได้สินค้า “ ของขวัญ ” ทำเงินดีในช่วงปีใหม่ !! ก็ได้นะคะ
ที่มา : จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2549 คอลัมน์ช่องทางทำกิน

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ผัก ผลไม้ แปรรูป สร้างรายได้


เงินลงทุน ประมาณ 500 – 1,000 บาท

วัสดุ/อุปกรณ์ มีด กะละมัง ถาด หม้อ ตะแกรง ขวดโหล ขวดแก้วหรือไหที่มีฝาปิด ถุงพลาสติก



ผักกาดดองสามรส

ส่วนผสม หัวผักกาด 1 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 4 ถ้วยตวง
แครอท 3 ขีด น้ำส้มสายชู 3 ถ้วยตวง

หอมแดง 2 ขีด เกลือ ¼ ถ้วยตวง

พริกชี้ฟ้า เขียว เหลือง แดง 2 ขีด น้ำ ½ ถ้วยตวง

วิธีทำ 1. ล้างหัวผักกาด แครอท ปอกเปลือกหั่นเป็นแท่งยาวขนาด 2 นิ้ว
2. ปอกหอมล้างน้ำแล้วผ่าครึ่ง ล้างพริกหั่นออกเป็น 3 - 4 ท่อน

3. นำผักไปแช่กรดมะนาว 5% (กรดมะนาว 5 กรัมในน้ำ 1 ลิตร) นาน 20 นาที

4. จากนั้นนำไปแช่ในแคลเซียมคลอไรด์ 5% (แคลเซียมคลอไรด์ 5 กรัมในน้ำ 1 ลิตร)

นาน 20 นาที

5. นำผักไปลวกในน้ำเดือด แครอทลวก 2 นาที ผักอื่น ๆ ลวก 1 นาที นำขึ้นผึ่ง

ในตะแกรงในสะเด็ดน้ำ

6. เตรียมน้ำเชื่อมโดยผสมน้ำ น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู และเกลือเข้าด้วยกันนำไปต้ม

ทิ้งไว้ให้เย็น

7. เรียงผักในขวดโหลเทน้ำเชื่อมลงไป ใช้ถุงพลาสติกปิดทับ และนำถุงอีกใบใส่น้ำ

ทับไว้เพื่อไม่ให้ผักลอย (ถุงใบแรกใส่เพื่อกันน้ำในถุงแตกจะได้ไม่ปนกับน้ำ

ผักกาดดอง) ทิ้งไว้ 3 วัน นำขึ้นมารับประทานได้



ผักกาดเขียวปลีดอง
ส่วนผสม ผักกาดเขียวปลี 1 กิโลกรัม เกลือ 75 กรัม

น้ำ 1 ลิตร น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

เกลือ (สำหรับเคล้าผัก) 40 กรัม

วิธีทำ 1. ล้างผักกาดให้สะอาด นำไปตากให้เหี่ยว เคล้าเกลือให้ทั่ว

2. ต้มน้ำเกลือ (เกลือ 75 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร) ให้เดือดทิ้งไว้ให้เย็น

3. นำผักใส่โหลหรือไห ใส่น้ำเกลือให้ท่วมผักกาด ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ 10 - 15 วัน

รับประทานได้



ขิงดอง
ส่วนผสม ขิงอ่อนเป็นแง่ง 1 กิโลกรัม เกลือ 3-4 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ขีด มะนาว 3 ผลใหญ่





วิธีทำ 1. นำขิงมาล้างแล้วปอกเปลือก ใช้มีดคมหั่นตามยาวบาง ๆ (บางที่สุดเท่าที่จะทำได้)

นำมาเคล้ากับเกลือจนขิงนิ่ม ล้างน้ำบีบน้ำออก ผึ่งในตะแกรง

2. นำขิงใส่ภาชนะบีบมะนาวให้ทั่ว ขิงจะเป็นสีแดง ๆ โดยไม่ต้องใส่สี หรือใช้น้ำส้ม

สายชู (มะนาวเป็นตัวทำให้เปรี้ยว)

3. ทำน้ำเชื่อมที่ใช้ดองขิง โดยนำน้ำ 1 ถ้วยตวง น้ำตาล 2 ขีด เกลือ 3 ช้อนชา

ผสมให้เข้ากัน

4. เตรียมขวดแก้วสะอาดมีฝาปิด เรียงขิงในขวดแก้ว เทน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ลงไป

ปิดฝาให้สนิท แช่ไว้ในตู้เย็นจะเก็บได้นาน



มะม่วงดองแห้ง 3 รส
ส่วนผสม มะม่วงดอง 3 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 2 – 2.5 กิโลกรัม

เกลือ ¼ ถ้วยตวง กรดมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ 1. นำมะม่วงที่ดองแล้วมาแช่น้ำ (เพื่อลดความเค็ม) ประมาณ 1-2 ชั่วโมง

2. ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็น 2 แก้ม หั่นตามขวางเป็นเส้นยาว ข้าง ๆ เม็ดก็หั่นใช้ให้หมด

3. นำมะม่วงมาผสมกับน้ำตาล เกลือ กรดมะนาว นวดให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง

4. นำมะม่วงขึ้นจากน้ำเชื่อม วางในตะแกรงจนสะเด็ดน้ำเชื่อม นำไปใส่ถาดตากแดด

เก็บไว้รับประทานได้นาน



มะม่วงอบแห้ง 3 รส
ส่วนผสม มะม่วงดิบ 5 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 1,800 กรัม (10 ถ้วยตวง)

เกลือ 1 ¼ ถ้วยตวง กรดมะนาว 2 ½ ช้อนชา

น้ำตาลกลูโคส หรือน้ำตาลไอซ์ซิ่งสำหรับคลุก 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ 1.ปอกเปลือกมะม่วงล้างให้สะอาด (มะม่วง 1 ลูกฝานออกเป็น 2 แก้ม) แล้วหั่นตามขวาง

เป็นเส้นยาว ส่วนข้างเม็ดก็หั่นออกจนหมด

2. นำมะม่วงมาผสมกับน้ำตาล เกลือ กรดมะนาว นวดให้เข้ากันจนนิ่ม หมักทิ้งไว้

ประมาณ 24 ชั่วโมง

3. นำมะม่วงขึ้นจากน้ำเชื่อม วางในตะแกรงจนสะเด็ดน้ำเชื่อม นำไปใส่ถาดตากแดด

หรือนำไปอบแห้ง อย่าให้แห้งจนแข็งจะไม่อร่อย จากนั้นนำมาคลุกกับน้ำตาลกลูโคส

หรือน้ำตาลไอซ์ซิ่ง มะม่วงจะมีสีขาวนวลน่ารับประทาน เก็บใส่ขวดโหลปิดฝา

ให้สนิท หรือใส่ถุงพลาสติกผนึกปิดให้สนิท เก็บไว้รับประทานได้นาน

หมายเหตุ ถ้าตากแดดหรืออบแห้งเกินไป ให้นำไปใส่ลังถึงนึ่งประมาณ 3 - 4 นาที นำออกมาผึ่งลม

พอแห้ง คลุกด้วยน้ำตาลกลูโคส

กล้วยกวน


เงินลงทุน ประมาณ 1,000 – 2,000 บาท (บางอย่างมีอยู่แล้วไม่ต้องซื้อ)

วัสดุ/อุปกรณ์ มีด กะละมัง ถาด เครื่องปั่น กระทะทองเหลือง ไม้พาย กระดาษแก้ว

ส่วนผสม กล้วยน้ำว้าสุกปอกเปลือกแล้ว 2.5 กิโลกรัม น้ำตาลมะพร้าว 4 ขีดครึ่ง

น้ำตาลทราย 5 ขีดครึ่ง แบะแซ 5 ขีดครึ่ง

มะพร้าว 1.5 กิโลกรัม หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง

หางกะทิ 5 ถ้วยตวง

วิธีทำ 1. นำกล้วยน้ำว้าสุกงอมมาปอกเปลือกแล้วตัดหัวท้าย จากนั้นหั่นพอหยาบใส่เครื่องปั่น

ปั่นให้ละเอียด

2. มะพร้าวคั้นเอาแต่หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง จากนั้นคั้นหางกะทิอีก 5 ถ้วยตวง

3. นำหัวกะทิมาตั้งไฟ เคี่ยวให้น้ำแห้งไปบ้าง แต่ไม่ต้องถึงขนาดแตกมัน

4. นำกล้วย น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทราย แบะแซ หางกะทิ 5 ถ้วยตวง ใส่ลงใน

กระทะทองเหลืองตั้งไฟอ่อน ๆ ใช้ไม้พายกวนตลอดเวลาระวังก้นกระทะไหม้

กวนจนกระทั่งเหนียวเป็นก้อนเนื้อเดียวกันไม่ติดกระทะ ยกลง นำมาปั้นเป็นก้อน ๆ

ห่อด้วยกระดาษแก้วหรือบรรจุกล่องพลาสติก หรือขวดโหลมีฝาปิดมิดชิด เก็บไว้

ได้นาน

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ตลาด ร้านค้า บริษัท หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต
ข้อแนะนำ เคล็ดลับอยู่ที่รสชาดและการบรรจุหีบห่อ อาจหาขวดแก้วหรือขวดโหลสวย ๆ ผูกริบบิ้น

ถ้าบรรจุถุงพลาสติกต้องดัดแปลงให้สวยงามเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มีราคามากขึ้น

(ก่อนที่จะทำขายหรือแจก ควรทดลองชิมดู 2-3 ครั้งก่อนเพื่อความมั่นใจ)



สับปะรดกวน
เงินลงทุน ประมาณ 2,000 – 3,000 บาท

วัสดุ/อุปกรณ์ เครื่องปั่น เครื่องกวน (ในช่วงแรกควรใช้แรงงานคนก่อนเนื่องจากมีราคาแพง) กระทะ

ไม้พาย อุปกรณ์อื่นที่เห็นว่าจำเป็น (ส่วนมากใช้วัสดุในครัวที่มีอยู่แล้ว)



สับปะรดกวนแบบธรรมดา
ส่วนผสม ผลสับปะรดสด 10 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม

แบะแซ ½ กิโลกรัม เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ ปอกสับปะรดหั่นเป็นชิ้น หรือสับให้ละเอียด นำไปเข้าเครื่องปั่น ผสมส่วนผสมทั้งหมด

เข้าด้วยกัน กวนในกระทะจนหนืดได้ที่



สับปะรดกวนแบบใส่กะทิ


วิธีทำ จากส่วนผสมสับปะรดกวนแบบธรรมดา ถ้าต้องการใส่กะทิเพิ่มความหวานมัน ให้ใส่
ไปตามแต่จะเห็นสมควรว่าไม่แห้งหรือแฉะเกินไป ใช้เวลาในการกวนเพิ่มอีกประมาณ

30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง


สับปะรดกวนแบบแก้ว
วิธีทำ นำสับปะรดกวนแบบธรรมดา ไปคลุกน้ำตาล เกลือ พริกสดตำละเอียด (อย่าใส่พริก

มากเกินไปจะเผ็ด ไม่เหมาะกับรสชาดของขนม)



สับปะรดกวนแบบท้อฟฟี่
วิธีทำ จากส่วนผสมสับปะรดกวนแบบธรรมดา ใส่นมข้นหวาน 7 กระป๋อง และเนย 1 ½

กิโลกรัม กวนเพิ่มจนได้ที่

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ร้านค้าทั่วไปหรือสถานที่ท่องเที่ยว

ข้อแนะนำ 1. ควรเพิ่มรูปแบบ รสชาด และการบรรจุหีบห่อให้หลากหลาย

2. ควรมีฉลากชัดเจนว่าใครผลิต และผลิตที่ไหน

3. ผู้ที่สนใจทำจำหน่าย ควรชิมสับปะรดกวนจากหลาย ๆ ที่ เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุง

ให้ดีขึ้น


ขอบคุณที่มาของ บทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้

http://lib-krabi.tripod.com/income/p47.htm

สูตรอาหารสร้างอาชีพ ขายหมูกระทะ(บุฟเฟ่ต์)


เงินลงทุน อุปกรณ์ 30,000 บาท ขึ้นไป (ไม่รวมค่าเช่า ค่าปลูกสร้างร้าน-ที่ดิน) และทุนหมุนเวียน 7,000บาท/วัน
แรงงาน 6 – 7 คน

รายได้ 10,000 บาท/วัน ( คิดค่าบริการหัวละ 79 บาท)

วัสดุ/อุปกรณ์ โต๊ะ เก้าอี้-เตา กระทะ (สั่งทำ) โต๊ะยาวตั้งอาหาร จาน ช้อน ถ้วยน้ำจิ้ม ตะกร้าใส่ผัก ถาดลึก-

ใส่อาหารโชว์ โถใส่น้ำจิ้ม ตะเกียบ หม้อขนาดใหญ่สำหรับใส่น้ำจิ้ม และต้มน้ำซุป กะละมัง

ถังใส่น้ำแข็ง กาน้ำซุป ทัพพี ที่คีบอาหาร ถ้วยขนมหวาน

ส่วนประกอบเนื้อสัตว์ เนื้อหมู หมูสามชั้น คอหมูหมักงา ไก่ ตับหมู เซี่ยงจี๊ ปลาหมึกสด

ปลาหมึกแช่ ปลาหมึกหลอด ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นไก่ เนื้อปลาสด

ส่วนประกอบผัก ข้าวโพดอ่อน กะหล่ำปลี ผักบุ้งจีน ผักกาดขาว ต้นหอม ขึ้นฉ่าย ผักชีฝรั่ง

เห็ดหูหนู (ขาว ดำ) โหระพา แครอท วุ้นเส้น

อาหาร ข้าวผัดไข่ บะหมี่ และยำชนิดต่าง ๆ

ขนมหวาน ทับทิมกรอบ ถั่วแดง เฉาก๊วย แห้ว ลอดช่อง วุ้นมะพร้าว (สลับกันในแต่ละวัน)

ผลไม้ตามฤดูกาล

วิธีทำ น้ำซุป ต้มน้ำสะอาดจนเดือด ใส่โครงไก่ ปรุงรสด้วยซุปก้อน เกลือ ซีอิ๊วขาว รากผักชี พริกไทย

การหมักเนื้อ เพื่อให้ความนุ่ม หอม อร่อย เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว คอหมู หมูสามชั้น

เนื้อ 1 กิโลกรัม น้ำมันงา 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอย 3 ช้อนโต๊ะ

น้ำมันสลัด 3 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1 กรัม งาขาว 1 กรัม

เหล้าจีน 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ เกลือนิดหน่อย หมักทิ้งไว้ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง

- ถ้าเป็นปลาหมึก ตับหมู เซี่ยงจี้ หัวใจหมู ปลาแซลมอน ปลาโลนัน ซึ่งเป็นปลาทะเล ไม่ต้องหมัก

น้ำจิ้ม - น้ำจิ้มสุกี้ พริกชี้ฟ้าแดง 300 กรัม พริกขี้หนูแดง 500 กรัม

เต้าหู้ยี้ 300 กรัม นำมาปั่นผสมให้เข้ากันผสมกับซอสพริก ½ ขวด ซอสมะเขือเทศ ½ ขวด

น้ำส้มสายชู ½ ขวด งาขาว 300 กรัม น้ำตาลปี๊บ 500 กรัม น้ำมันงา 300 กรัม คนให้เข้ากัน

- น้ำจิ้มซีฟู้ด กระเทียมกลีบใหญ่ 1 กิโลกรัม พริกขี้หนูสวน 2 กิโลกรัม รากผักชี 200

กรัม นำมาปั่นหรือโขลกให้เข้ากัน นำมาผสมน้ำมะนาว 500 กรัม น้ำปลาดี 1 กิโลกรัม น้ำตาลปี๊บ

500 กรัม ผงชูรสนิดหน่อยคนให้เข้ากัน

- น้ำจิ้มแจ่วฮ้อน นำข้าวคั่วป่น 500 กรัม พริกป่น 800 กรัม น้ำตาลปี๊บ 300 กรัม

น้ำปลาดี 1 ½ กิโลกรัม หอมแดงซอย 300 กรัม ต้นหอมซอย - ผักชีฝรั่งซอยพอประมาณ

มาผสมกัน

วิธีเสริฟ นำเตาที่ใส่ถ่านแดง ๆ ยกไปตั้งที่โต๊ะ นำกระทะย่างเนื้อไปวางบนเตา เทน้ำซุปลงในช่องน้ำซุปซึ่งอยู่

รอบ ๆ กระทะ นำมันหมูแข็งวางบนกระทะเพื่อไม่ให้เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ติดกระทะ (เสร็จแล้วเสริฟชุด

อาหารที่จัดเตรียมไว้ (สามารถเติมได้) กรณีไม่จัดบุฟเฟ่ต์ก็ให้จัดเป็นชุดถาด

แหล่งจำหน่าย ทำเลริมถนนที่มีคนผ่านมาก ๆ

สูตรอาหารสร้างอาชีพ น้ำปลาหวานมะม่วงใส่กระปุก


เงินลงทุน 40,000 – 41,000 บาท (ทุนค่าอุปกรณ์ประมาณ 35,000 บาท ทุนสำหรับใช้หมุนเวียน

5,000 บาท /1,000 กระปุก)

รายได้ 15,000 บาท /1,000 กระปุก (กระปุกละ 15 บาท)

วัสดุ/อุปกรณ์ เตาแก๊ส หม้อสแตนเลส ไม้พาย ทัพพี ครกหิน มีด เขียง เครื่องแพ็คกระปุก กะละมัง

กระดาษฟอยล์ ตะแกรง ปรอทสำหรับวัดอุณหภูมิ กระปุกพลาสติก

ส่วนผสม น้ำตาลปี๊บ 10 กิโลกรัม น้ำปลาอย่างดี 1 ½ ขวด

หอมหัวแดง 2 กิโลกรัม พริกขี้หนูสด ½ กิโลกรัม

กุ้งแห้งเนื้อขนาดตัวเล็ก

วิธีทำ 1. นำกุ้งแห้งมาแช่น้ำประมาณ 5 นาที นำมาผึ่งในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปใส่ใน

ครกหิน โขลกพอให้กุ้งแห้งเนื้อยุ่ยเล็กน้อย

2. ใส่น้ำตาลปี๊บลงในหม้อ เทน้ำปลาทั้งหมดลงไป ใช้ไม้พายคนให้น้ำตาลละลายเข้ากัน

3. นำหอมแดงมาปอกเปลือกออกให้หมด นำมาล้างน้ำก่อนหั่นซอยบาง ๆ

4. นำพริกขี้หนูมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นฝอย ๆ

5. ใส่กุ้งแห้ง หอมแดงซอย พริกขี้หนูในหม้อน้ำตาล ยกหม้อขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ เมื่อส่วน

ผสมเริ่มจมลงก้นหม้อให้คนบ้าง (ไม่ต้องคนบ่อย) เพราะจะทำให้ไหม้ พอน้ำตาลเริ่มข้น

ให้ใช้ไม้พายคนแล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ (ใช้เวลาในการเคี่ยวนานประมาณ 2 ชั่วโมง) ยกลง

จากเตา พักไว้สักครู่แล้วนำปรอทวัดอุณหภูมิไม่ให้เกิน 70 องศาเซลเซียส

6. นำมาใส่กระปุกที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว (ความร้อนของน้ำปลาหวานต้องไม่เกิน 70 องศา

เซลเซียส) นำเข้าเครื่องปิดกระปุก ซึ่งจะต้องปิดด้วยกระดาษฟอยล์ก่อนปิดฝาบน

7. นำไปแช่ในน้ำเย็น (เรียกว่าการน็อก) นานประมาณ 30 - 40 นาที เพื่อให้น้ำปลาหวาน

เก็บได้นานหลายเดือน (บรรจุกระปุกขนาด 100 กรัมได้ 100 กระปุก) ส่วนมะม่วงที่

นิยมส่วนใหญ่จะเป็นมะม่วงเปรี้ยว ได้แก่ มะม่วงแก้ว มะม่วงแรด มะม่วงพิมเสน

มะม่วงมันเดือนเก้า มะม่วงน้ำดอกไม้ ฯลฯ แล้วแต่ผู้ซื้อจะเลือกหรือตามที่มีจำหน่าย

ในตลาด

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ขายส่งร้านค้าทั่วไป ตลาดนัดในหมู่บ้าน สหกรณ์ สถาบันอุดมศึกษา แผงลอยในตลาด-

จตุจักร

ข้อเสนอแนะ 1. ควรทดลองทำจำนวนน้อยก่อน โดยลดอัตราส่วนผสมลง

2. อย่าโขลกกุ้งแห้งจนละเอียด เพราะจะทำให้กุ้งแห้งปนกับน้ำปลาหวานจนเป็นน้ำ

ไปหมดดูไม่ชวนรับประทาน

3. รับฟังข้อติชมของลูกค้า เพื่อการปรับปรุงรสชาด
ที่มาของบทความ อาชีพเสริมสร้างรายได้

สูตรอาหารสร้างอาชีพ สารพัดยำ


งินลงทุน ทุนครั้งแรกประมาณ 5,000 บาท (ไม่รวมเตาแก๊ส) ทุนหมุนเวียน 2,000 บาท/วัน แรงงาน

1-2 คน

รายได้ ไม่ต่ำกว่า 1,500 บาท/วัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ขาย) ขายกล่องละ 20-30 บาท

วัสดุ/อุปกรณ์ รถเข็น กะละมังสแตนเลส กระจาดพลาสติก หม้ออลูมิเนียม ตะแกรง ทัพพี เขียง มีด

เตาถ่านหรือเตาแก๊ส กล่องโฟมหรือถุงพลาสติก หนังยางรัดถุง ถุงใส่ของ

ส่วนประกอบของสด 1. เห็ดหูหนูขาว 1/2 กก. 6. แมงกะพรุน 2 กก

2. ขาไก่ (เล็บมือนาง) 5 กก. 7. หอยแครงลวก 1 กก.

3. ไก่ยอ (หรือหมูยอ) ปูอัด 1 กก. 8. ยอดมะพร้าว ½ กก.

4. ไส้กรอกไก่ (หรือไส้กรอกหมู) ½ กก. 9. เนื้อไก่สับ 1 กก.

5. ปลาหมึกสด (เน้นปีกปลาหมึกและหนวดปลาหมึก) 6 กก.

วิธีทำของสด 1. นำปลาหมึกมาล้างและหั่นเป็นชิ้น ๆ ลวกให้สุก หอยแครง หอยแมลงภู่ แกะเนื้อออก

ลวกเตรียมไว้ให้เรียบร้อย

2. ปูอัด ไส้กรอก ยอดมะพร้าว หั่นเตรียมให้เสร็จ

3. เนื้อไก่นำมาสับแล้วต้มให้สุก (ใส่ภาชนะไว้)

การลวกของสด ใช้น้ำเปล่าต้มเดือดและใส่ตะไคร้เพื่อดับกลิ่นคาว เวลาขายยำ น้ำสำหรับลวกต้องเดือด

ตลอดเวลา ควรใช้เตาถ่านเพราะไม่สิ้นเปลืองและปลอดภัยกว่าการใช้แก๊ส

ส่วนประกอบของยำ 1. วุ้นเส้น 5 กก. 2. เส้นเซี่ยงไฮ้ (สีเขียว) ½ กก.

3. เส้นมาม่า รสต้มยำกุ้ง 1 ลังเล็ก 4. ของสดจำพวกปลาหมึก เห็ดหูหนูขาว เนื้อไก่

เล็บมือนาง ต้องแช่ในตู้เย็นหรือน้ำแข็งตลอดเวลา

เครื่องปรุงรส น้ำมะนาว น้ำปลา พริกสดตำ ข้าวคั่ว พริกป่น น้ำพริกเผา ผงชูรส น้ำตาล ผักสด

ที่ใช้ยำและผักแกล้ม ผักกระเฉดมัดใหญ่ (เด็ดให้เรียบร้อย) ใบโหระพา 1 กก.

กะหล่ำปลี 3 กก. ถั่วฝักยาว 2 กก. หอมแดง 1 กก.

ต้นหอมผักชีฝรั่ง ใบสะระแหน่ (ใส่ตามความเหมาะสม) ทุกอย่างล้างให้สะอาด

วิธีทำยำมาม่า/ยำวุ้นเส้น 1. แกะมาม่าออกจากห่อใส่ตะแกรงนำไปต้มในหม้อที่มีน้ำเดือด

2. เทเครื่องในซองลงในกะละมังสำหรับยำ ใส่ไก่สับ หอมแดงซอย ใส่ของสดที่ลวกไว้

ทุกอย่าง 2-3 ชิ้น ยกเว้น ปูอัดนำไปลวกในหม้อก่อน

3. เมื่อเส้นมาม่าสุก ตักใส่กะละมังสำหรับยำ ปรุงด้วยเครื่องปรุงรส (ควรถามลูกค้าว่า

ชอบรสแบบใด) จะได้ถูกใจลูกค้า เสร็จแล้วตักใส่กล่องโฟม (หรือถุงพลาสติก)

ใส่ปูอัด 2 ชิ้น แต่งหน้าให้สวยงาม ปิดกล่องใส่ถุงพร้อมผักต่าง ๆ

4. วุ้นเส้นยำรวมมิตร วิธีทำเช่นเดียวกับยำมาม่า ต่างกันตรงที่นำวุ้นเส้นไปลวกพอประมาณ

เท่านั้น ส่วนมาม่าต้องต้มให้สุก

ลาบปลาหมึก
วิธีทำ 1. ใส่หอมแดงซอยลงในกะละมังยำ ใส่ปลาหมึกที่ลวกแล้ว ใส่เครื่องปรุงรสตามใจ
ลูกค้า
2. ใส่ข้าวคั่ว เน้นรสเปรี้ยว เผ็ดเป็นหลัก ตักใส่กล่องโฟม (หรือถุงพลาสติก)

โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย และใบสะระแหน่

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ย่านชุมชน ปากซอยคนพลุกพล่าน ตลาดโต้รุ่ง

ข้อแนะนำ ต้องมีฝีมือในการปรุง (ฝีมือคงที่) ทำง่ายขายคล่อง ลงทุนไม่แพง

สูตรอาหารสร้างอาชีพ ขนมเปียกปูน


เงินลงทุน เงินลงทุนเบื้องต้น ประมาณ 1,000 – 2,000 บาท
(เงินทุนหมุนเวียนซื้อวัตถุดิบ ประมาณ 500 บาท/วัน)



รายได้ ประมาณ 400 – 500 บาท/วัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณลูกค้าและผลผลิต)



วัสดุ/อุปกรณ์ เตาแก๊สพร้อมถัง หรือเตาถ่าน กระทะทองเหลือง ไม้พาย ผ้าขาวบาง ถาด เล็บแมว (เครื่องมือทำขนม) กะละมังอลูมิเนียม กาบมะพร้าว



แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ เวิ้งนครเกษม (กรุงเทพฯ) ร้านขายอุปกรณ์ทำขนมทั่วไป ตลาดสด



ส่วนผสม แป้งข้าวเจ้า 1 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 2 กิโลกรัม

น้ำปูนใส (ปูนแดงที่กินกับหมาก) มะพร้าวขูดพอประมาณ

กาบมะพร้าวเผา



วิธีทำ 1. นำกาบมะพร้าวมาเผาไฟจนไหม้เป็นสีดำ จากนั้นนำมาแช่ในน้ำสะอาดแล้วนำ

มากรอง

2. นำน้ำจากกาบมะพร้าวที่กรองแล้ว ผสมกับแป้งข้าวเจ้า น้ำตาลและน้ำปูนแดงใส่

ในกระทะ ใช้ไม้พายคนจนแห้งและมีความหนืดเหนียว ใช้เวลาในการคนประมาณ

2 ชั่วโมง ซึ่งในช่วงแรก ๆ ยังเป็นน้ำเหลวอยู่จะคนได้ง่าย แต่พอเริ่มเหนียวหนืด

จะคนยากขึ้น ต้องใช้ไม้พายคนให้ถึงก้นกระทะ ห้ามหยุดเพราะจะทำให้ส่วนที่อยู่

ก้นกระทะไหม้

3. เมื่อแป้งเหนียวหนืดได้ที่แล้ว ยกลงจากเตา ตักใส่ถาดทิ้งไว้ให้เย็น โรยหน้าด้วย

มะพร้าวทึนทึกขูดผสมเกลือเล็กน้อยเพื่อรอจำหน่าย



ตลาด/แหล่งจำหน่าย ตลาด แหล่งชุมชน ส่งขายตามห้างสรรพสินค้า



ข้อแนะนำ การโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดผสมเกลือเล็กน้อย เพื่อเพิ่มรสชาดความหอมมัน และสีขาวของมะพร้าวขูดจะทำให้ขนมเปียกปูนที่เป็นสีดำเงาดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น

สูตรอาหารสร้างอาชีพ ขนมจีบ - สังขยา


เงินลงทุน ทุนอุปกรณ์ประมาณ 10,000 บาท ทุนวัตถุดิบ 1,700 บาท/500 ชิ้น
รายได้ 2,300 – 2,400 บาท/500 ชิ้น

วัสดุ/อุปกรณ์ เตาอบขนม เตาแก๊ส (เตาถ่าน) ไม้คลึงแป้ง เครื่องนวดแป้งไฟฟ้า ถาดสำหรับอบขนม

กะละมัง ถ้วย หม้อสแตนเลส โต๊ะสำหรับเตรียมแป้ง ที่คีบขนม ไม้พาย แปรงทาสี

(ใช้สำหรับชุบไข่ทาขนม) ผ้าขาวบาง กระชอน ใบตอง

ส่วนผสม แป้งสาลี 3 กิโลกรัม ไข่ไก่ 50 ฟอง

น้ำมันปาล์ม 1 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 4 กิโลกรัม

น้ำตาลปี๊บ 2 ขีด น้ำกะทิ 2 กิโลกรัม

น้ำสะอาด 1 กิโลกรัม เกลือนิดหน่อย ใบตอง

วิธีทำ ไส้ขนมหรือสังขยา

1. ตอกไข่ใส่ในหม้อสแตนเลส นำใบตองมาฉีกเป็นริ้ว ๆ ประมาณ 8 – 10 ชิ้น นำไป

ขยำกับไข่ในหม้อ เพื่อดับกลิ่นคาว

2. เติมน้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บและน้ำกะทิลงไปในหม้อสแตนเลสให้เข้ากัน เมื่อน้ำตาล

ละลายหมดแล้ว นำผ้าขาวบางมาวางบนหม้อเพื่อกรองเอาเศษใบตองออก

3. นำหม้อสังขยาขึ้นตั้งบนเตาไฟ (ใช้ไฟอ่อน) คนด้วยไม้พายไปในทิศทางเดียวกัน

คนไปเรื่อย ๆ เพื่อกันไม่ให้สังขยาไหม้ติดก้นหม้อ จนสังขยางวดเป็นครีม ยกลง

จากเตาพักไว้ให้เย็น

การทำตัวแป้ง แบ่งแป้งออกเป็น 2 ส่วน คือ แป้งชั้นนอกและแป้งชั้นใน (แป้งซ้อ)
ส่วนผสมแป้งชั้นใน-นอก แป้งสาลี 3 กิโลกรัม น้ำมันปาล์ม 1 กิโลกรัม

น้ำสะอาด 1 กิโลกรัม เกลือ ½ ขีด

วิธีทำ 1. เทแป้งสาลีใส่ลงในกะละมัง แล้วใส่น้ำมันปาล์ม น้ำสะอาดและเกลือลงไปผสม

นวดคลึงจนเป็นเนื้อเดียวกัน

2. ปั้นแป้งเป็นแท่งยาว ๆ แล้วแบ่งแป้งออกเป็นก้อนเท่า ๆ กัน พักไว้ในภาชนะที่มี

ผ้าขาวบางคลุม เพื่อบ่มให้แป้งอยู่ตัว

3. การทำแป้งชั้นในวิธีทำทำเหมือนการทำแป้งชั้นนอก

การห่อ

1. นำแป้งชั้นนอกที่แบ่งเป็นก้อนแล้วมาวางบนโต๊ะ 1 ก้อน ใช้นิ้วมือค่อย ๆ ขยายแป้ง

ให้แผ่ออก แล้วหยิบแป้งชั้นในวางไว้ด้านบน



2. ใช้ไม้คลึงให้แป้งชั้นนอกแผ่ออกเป็นแผ่นบาง ๆ กว้างประมาณ 5 – 6 นิ้ว นำมาม้วน

เหมือนแยมโรล จากนั้นใช้ไม้คลึงแป้งชั้นในให้แผ่ออกเป็นรูปวงรี มีขนาดกว้าง 3 นิ้ว

โดยให้แป้งทั้ง 2 ชิ้นมีความหนา – บาง เท่า ๆ กันทั่วทั้งแผ่น ทำไปจนหมดแผ่นแป้ง

3. ปาดไส้สังขยาใส่ตรงกลางแผ่นแป้งที่เตรียมไว้ จากนั้นม้วนแป้งห่อให้มิดไส้ และแต่ง

ริมให้สวยงามโดยการจับจีบหรือบิดแป้งตรงขอบให้เป็นรูปเกลียว (เหมือนปั้นสิบ)

ทำไปจนหมดแผ่นแป้ง

4. นำขนมที่ม้วนเสร็จแล้วมาเรียงใส่ถาด โดยวางให้ห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร

แล้วนำเข้าเตาอบด้วยความร้อน 400 องศาฟาเรนไฮด์ ประมาณ 30 นาที

5. นำขนมออกจากเตาอบ รอให้เย็นก่อนบรรจุกล่องขาย กล่องละ 7 ชิ้น ราคาขายส่ง

30 บาท ราคาขายปลีก 40 บาท ขนมนี้จะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 20 วัน
ที่มาของบทความอาชีพเสิรม สร้างรายได้
http://lib-krabi.tripod.com/income/p35.htm
ตลาด/แหล่งจำหน่าย แหล่งชุมชน ขายส่งตามร้านทั่วไป ท่ารถ (จำหน่ายเป็นของฝาก) ห้างสรรพสินค้า

ตลาด ศูนย์อาหาร เป็นต้น



สูตรอาหารสร้างอาชีพ ขนมไข่นกกระทา



เงินลงทุน ใช้เงินลงทุนเป็นค่าอุปกรณ์ประมาณ 10,000 บาท เงินทุนสำหรับหมุนเวียนและค่าใช้จ่าย
ประจำวัน 300-500 บาท/วัน


รายได้ 1,000-1,200 บาท/วัน



วัสดุ/อุปกรณ์ รถเข็น 4 ล้อ เตาแก๊ส หม้อนึ่ง กะละมัง กระทะ ตะแกรงทอด ถาด ฯลฯ



ส่วนผสม มันเทศ (นึ่งสุก) 1 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 300 กรัม

แป้งมัน 400 กรัม แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะแป้งสาลี 4 ช้อนโต๊ะ ผงฟู 3 ช้อนชา

เกลือป่น ¼ + ¼ ช้อนชา นมสด 8-16 ช้อนโต๊ะ

เนย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันสำหรับทอด



วิธีทำ 1. นำมันเทศมาปอกเปลือกแล้วล้างน้ำให้สะอาด นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นนำมา

แช่น้ำเกลือไว้ (เพื่อไม่ให้ผิวมันเทศดำ) หลังจากนั้นนำมานึ่งให้สุก

2. นำแป้งมัน แป้งข้าวเจ้า ข้าวสาลี และผงฟูมาร่อนรวมกัน

3. นำมันเทศที่นึ่งสุกแล้วใส่ในกะละมัง เติมน้ำตาลและเกลือนวดจนส่วนผสมเข้ากัน

แล้วนำแป้งที่ร่อนแล้วมานวดต่อจนเหนียวหนืดเป็นเนื้อเดียวกัน

4. นำส่วนผสมมันเทศในข้อ 3 มาปั้นเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเท่าลูกชิ้น เทน้ำมันใส่กระทะ

ตั้งไฟจนน้ำมันร้อนใส่แป้งขนมไข่นกกระทาที่ปั้นไว้ลงไปทอด โดยเร่งไฟให้แรงขึ้น

เพื่อไม่ให้ขนมอมน้ำมัน

5. ใช้ตะแกรงค่อย ๆ เกลี่ยขนมไข่นกกระทาไปรอบ ๆ กระทะจนขนมไข่นกกระทาลอย

ขึ้นมา ใช้ด้านหลังตะแกรงกดไข่นกกระทาลงไป กลับ – ไปมาเพื่อให้ขนมไข่นก-

กระทากรอบ

6. สุกแล้วใช้ตะแกรงตักขึ้นมาเขย่าให้สะเด็ดน้ำมันตักใส่ถาด หรือวางบนกระดาษ

ซับน้ำมัน



ตลาด/แหล่งจำหน่าย ตลาด แหล่งชุมชน หน้าสถาบันการศึกษา-สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า (วางจำหน่าย

ในราคา 12-15 ลูก : 10 บาท)
ขอบคุณที่มาของบทความ

สูตรอาหารสร้างอาชีพ ไก่/หมู กะทิทรงเครื่อง

ไก่/หมูกะทิทรงเครื่องเมืองนคร
งินลงทุน ทุนเบื้องต้นประมาณ 5,000 บาท ทุนวัตถุดิบ /วัน 600 บาท /50 ไม้
รายได้ 1,000 บาท / 50 ไม้ (ขายไม้ละ 20 บาท)

วัสดุ/อุปกรณ์ เตาย่างไก่ ทัพพี หม้อสแตนเลส กะละมัง ถาด ใบตอง ไม้ไผ่หนีบไก่ กระชอน มีด

ถ่านอัดแท่งไร้ควัน เขียง เครื่องปั่น ลวดขนาดเล็ก (ใช้มัดปลายไม้ไผ่หนีบไก่)

วัตถุดิบ ไก่สด (อกไก่)/ เนื้อหมูสด / 3 กิโลกรัม มะพร้าวขูด1 ½ กิโลกรัม

(คั้นเอาแต่หัวกะทิ ½ กิโลกรัม) น้ำตาลทราย 3 ขีด

เกลือป่นนิดหน่อย

เครื่องแกงสมุนไพร พริกแห้งเม็ดใหญ่ ½ กิโลกรัม หอมแดง 2 กิโลกรัม

กระเทียม 3 ขีด รากผักชี 4-5 ต้น

วิธีทำ 1. นำพริกเม็ดใหญ่มาแกะเอาเมล็ดออก นำมาแช่น้ำสักครู่ให้นุ่ม ตักขึ้นใส่ตะแกรงให้

สะเด็ดน้ำ

2. นำหอมแดง กระเทียมมาปอกเปลือก ล้างรากผักชีให้สะอาด นำทั้งหมดมาปั่นหรือตำ

ให้ละเอียด

3. นำหัวกะทิที่คั้นไว้มาผสมลงในเครื่องแกง ปรุงด้วยน้ำตาลทรายและเกลือ ใช้ทัพพีคนให้

เข้ากัน เสร็จแล้วตักใส่ถุงพลาสติกหรือภาชนะนำไปแช่ในตู้เย็นเพื่อให้เข้มข้น

4. นำเนื้อไก่หรือเนื้อหมูมาล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งให้หมาด ๆ นำมาแล่เป็นชิ้น ๆ ตามขนาด

ที่ต้องการคลุกด้วยเกลือเล็กน้อยทิ้งไว้สักครู่

5. นำเนื้อไก่หรือเนื้อหมูมาเข้าไม้ไผ่เพื่อหนีบ ใช้ลวดมัดปลายไม้นำไปย่างไฟปานกลาง

ค่อนข้างอ่อน (ถ้าไฟแรงเนื้อไก่หรือหมูจะไหม้ได้ ถ้าไฟอ่อนเกินเนื้อจะกระด้าง)

6. พอเนื้อไก่หรือเนื้อหมูเริ่มสุกให้นำมาจุ่มราดเครื่องแกงจนทั่ว นำไปย่างต่อ พอเครื่องแกง

แห้งเกาะเนื้อที่ย่างแล้ว ให้ราดเครื่องแกงซ้ำอีก ย่างต่อ (ทำ 3 ครั้ง)

ตลาด/แหล่งจำหน่าย

ตลาดนัด ย่านชุมชน

สูตรอาหารสร้างอาชีพ ก๋วยเตี๋ยวลุยสวนขึ้นบก


เงินลงทุน ทุนเบื้องต้นประมาณ 2,000 บาท ทุนหมุนเวียน 200 – 300 บาท /วัน
รายได้ 500 บาทขึ้นไป

วัสดุ/อุปกรณ์ เตาแก๊ส มีด เขียง กะละมัง กระทะ ถาด จาน ทัพพี ครก (อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัว)

วัตถุดิบ เส้นก๋วยเตี๋ยวที่เป็นแผ่น เนื้อหมูส่วนสะโพก 1 กิโลกรัม

ซีอิ๊วขาว 6 ช้อนโต๊ะ ซอสหอยนางรม 7 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ผงคนอร์หรือผงปรุงรสนิดหน่อย

แครอท เห็ดหอม ผักกาดหอม โหรพา ผักชี น้ำมันพืช น้ำมะนาว กระเทียม

น้ำตาลทราย น้ำต้มสุก



วิธีทำ 1. นำเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นเขียวหรือขาวที่เป็นแผ่นมาตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาด 9 x 9 ซม.

2. นำเนื้อหมูมาล้างให้สะอาด เสร็จแล้วบดให้ละเอียดใส่ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม

พริกไทยป่น น้ำส้มสายชูและผงปรุงรสนิดหน่อยคลุกเคล้าให้เข้ากัน เทใส่ภาชนะ

ปิดฝาให้สนิทนำเข้าตู้เย็นช่องธรรมดาหมักทิ้งไว้ 1 คืน

3. นำเห็ดหอมมาแช่น้ำสะอาดจนนิ่ม นำขึ้นมาใส่กระทะต้มให้สุกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ

ส่วนแครอทปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด นำมาหั่นเป็นรูปสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาด

1 x 1 ซม. ต้มพอสุก เสร็จแล้วนำผักมาล้างให้สะอาดผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ใช้เป็นเครื่องเคียง

4. นำหมูที่หมักไว้มาผัดกับน้ำมันพืชไฟแรงพอสุก ใส่เห็ดหอมและแครอทผัดให้เข้ากัน

พอแห้งตักออกใส่ถ้วย นำผักกาดหอม ผักชี โหระพามาหั่น ใส่ถ้วยไว้

5. นำแผ่นก๋วยเตี๋ยวมาวางบนจานเรียบ ตักไส้ใส่ตรงกลางแผ่นก๋วยเตี๋ยว ใส่ผักชี ผักกาดหอม

และโหระพาพอประมาณ พับทีละมุมเป็นรูปสี่เหลี่ยม



น้ำจิ้ม นำพริกขี้หนูสวน 5 ขีดมาเด็ดขั้วออก กระเทียม 2 ขีดนำมาปอกเปลือกออกล้างให้สะอาด

ปั่นหรือตำให้ละเอียดมาผสมน้ำต้มสุกนิดหน่อย ใส่น้ำตาลทราย เกลือ น้ำมะนาวตามต้องการคนให้เข้ากัน



ตลาด/แหล่งจำหน่าย ตลาด ย่านชุมชนทั่วไป



ข้อแนะนำ เป็นอาชีพที่ทำไม่ยาก ใช้ต้นทุนต่ำ สามารถขายคู่กับขนมกุยช่าย และของหวานอื่น ๆ เช่น

ลอดช่องใบเตย เฉาก๊วย
ขอบคุณที่มาของ อาชีพเสริม

สูตรอาหารสร้างอาชีพ ทองม้วนปลาช่อน



เงินลงทุน 500 บาท (ไม่รวมอุปกรณ์)

รายได้ 1,000 – 1,200 บาท ราคาขาย 30 บาท /1 ถุง (จะได้ 40 – 48 ถุง บรรจุถุงละประมาณ

200 – 300 กรัม)

วัสดุ/อุปกรณ์ 1. เครื่องปิ้งทองม้วน (ชนิด 2 หัวราคาประมาณ 6,500 บาท ชนิด 3 หัว ราคา

ประมาณ 9,500 บาท) เครื่องปิ้งทองม้วนชนิดใช้ขดลวดจะทำให้ขนมสุกและ

สีสวยน่ารับประทานมากกว่าชนิดใช้แผ่นความร้อน

2. เครื่องตีแป้งราคา 4,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดและยี่ห้อ)

3. เตาย่างปลา ใช้แบบเตาธรรมดาแต่เชื้อเพลิงให้ใช้ขี้เลื่อย กาบมะพร้าว ซังข้าวโพด

เพราะเหมาะสำหรับย่างปลาแบบรมควัน

4. อุปกรณ์และของใช้ในครัว

สถานที่จำหน่ายวัสดุ/อุปกรณ์ ร้านขายอุปกรณ์ทำขนม ห้างสรรพสินค้า

ส่วนผสม แป้งมัน 2 กิโลกรัม แป้งสาลี 1 กิโลกรัม
แป้งข้าวเจ้า 1 กิโลกรัม กะทิ 3 กิโลกรัม

เนื้อปลาช่อนย่าง 400 กรัม น้ำตาลปี๊บ 4 กิโลกรัม

ผักชีหั่นฝอย 300 กรัม งาขาว (คั่วพอสุก) 300 กรัม

งาดำ (คั่วพอสุก) 300 กรัม ไข่ไก่ 4 ฟอง

เกลือไอโอดีนพอประมาณ

วิธีทำ 1. นำปลาช่อนตัวใหญ่ปานกลางน้ำหนักประมาณ ½ - 1 กิโลกรัมมาชำแหละเอา

เครื่องในและเลาะเอาก้างปลาออกแล้วผ่าปลาตามยาว แผ่ปลาออกมาล้างทำความ

สะอาดให้เรียบร้อย นำปลาช่อนไปย่างแบบรมควัน ลอกหนังออกแล้วนำมายี

ด้วยมือให้ละเอียดเป็นเส้น

2. ใส่แป้งมัน แป้งสาลี แป้งข้าวเจ้ามาผสมให้เข้ากันในกะละมัง เติมเครื่องปรุง

ได้แก่ กะทิ น้ำตาลปี๊บ งาขาว งาดำ ไข่ไก่ เกลือ ผักชีหั่นฝอยลงในกะละมัง

คนให้เข้ากันแล้วใส่เนื้อปลาช่อนที่ยีคนให้เข้ากัน จากนั้นเตรียมเครื่องปิ้งทองม้วน

ให้ร้อน

3. นำแป้งที่ผสมเสร็จในข้อ 2 หยอดลงบนแบบพิมพ์ที่ร้อนประมาณ 1 ช้อนชาพูน ๆ

ปิดฝาพิมพ์ไว้ให้แป้งสุกประมาณ 2 – 3 นาที ใช้ไม้เขี่ยแป้งออกจากพิมพ์พับเป็น

รูปตามต้องการทันที (ในขณะที่แป้งยังร้อน)

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ร้านขายของฝากทั่วไป ซุปเปอร์มาร์เก็ต



- 2 -



ข้อแนะนำ 1. ปลาช่อนไม่ต้องนำมาตากแดดก่อนรมควันเพราะเนื้อปลาจะไม่ขึ้นฟูและไม่ต้อง

ปรุงรส

2. ให้ใช้เนื้อปลาเท่านั้น ไม่ควรยีเนื้อปลาพร้อมหนังปลาเพราะหนังปลาจะทำให้

ขนมมีสีไม่สวยและมีกลิ่นคาว

3. ให้ยีเนื้อปลาช่อนด้วยมือ ไม่ให้ใช้เครื่องปั่นเพราะเส้นใยของเนื้อปลาจะขาด

(เละเกินไป)

4. ควรใช้ปลาที่จับจากธรรมชาติเพราะจะได้เนื้อปลาที่ฟูมากกว่าปลาที่เลี้ยงในบ่อ

ด้วยอาหารปลา

5. เมื่อขนมสุกแล้วให้รีบหยิบออกจากพิมพ์และรีบพับขนมก่อน เมื่อขนมเย็นลง

ตามปกติรีบนำใส่ถุง ปิดปากถุงให้สนิทไม่ให้อากาศเข้าได้เพื่อไม่ให้ความชื้น

ทำให้ขนมไม่กรอบ

6. ในการวางขาย ไม่ควรตากแดดเพราะขนมจะนิ่มไม่กรอบ

สูตรอาหารสร้างอาชีพ เกี๊ยวซ่า



เงินลงทุน ประมาณ 7,000 บาท ทุนหมุนเวียน 1,000/วัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ขาย)

รายได้ ราคาขาย 20 ตัว 80 บาท / ทุน 3.30 – 3.50 บาท (ยังไม่ทอด) สำหรับเกี๊ยวซ่าที่ทอดแล้ว
จะขาย 4 ตัว 20 บาท (พร้อมเครื่องเคียง)
วัสดุ/อุปกรณ์ รถเข็น ของใช้ในครัว เช่น ลังถึง กระทะ ถาด ตะแกรงตั้งตัวเล็ก ตะหลิว กะละมัง กระชอน คีมคีบ ครก มีด เขียง

ส่วนประกอบ แผ่นเกี๊ยวซ่ากิโลกรัมละ 90 บาท ทำได้ 80 ตัว (หาซื้อได้ที่ตลาดบางรัก หรือที่

โทร 0 7242 4634)

เนื้อหมู 1 กิโลกรัม กุ้งสด 2 ขีด

พริกไทยป่น 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 1 ขีด

แครอท รากผักชี ต้นหอม กะหล่ำปลี เกลือเล็กน้อย (จะใส่หรือไม่ก็ได้ระวังอย่าให้

เนื้อหมูเค็มเกินไป) น้ำมันพืช

วิธีทำ 1. นำเนื้อหมูมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำไปบดหรือสับตามความต้องการแล้วพักไว้

2. นำกุ้งสดมาล้างแกะเปลือกออก สับละเอียดพอประมาณ จากนั้นนำเนื้อหมูบด/สับ

ในข้อ 1 มาปนกับเนื้อกุ้งสับต่อจนเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้

3. นำกระเทียมมาปอกเปลือกออก รากผักชีล้างน้ำให้สะอาดใส่ในครก จากนั้นใส่เกลือ

และพริกไทยป่นโขลกให้เข้ากัน นำมาผสมกับเนื้อหมูและกุ้งที่สับไว้ นวดให้เหนียว

4. นำผัก แครอท (ปอกเปลือก) กะหล่ำปลี ต้นหอมไปล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาหั่น

เป็นเส้นเล็ก ๆ ฝอย ๆ คลุกกับไส้เกี๊ยวซ่า (เพื่อช่วยให้มีสีสวยงามด้วย)

5. ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว เกลือ น้ำตาลทราย หมักทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง

6. การห่อ นำแผ่นเกี๊ยวซ่ามาแผ่ออก ตักไส้หมูใส่ประมาณ 1 ช้อน ใช้นิ้วมือ (5 นิ้ว)

จับจีบแผ่นเกี๊ยวให้เป็นสามจีบแบบหยิบขึ้น โดยให้ปลายแผ่นเกี๊ยวชนกันแล้วบีบ

เบาๆ ให้ได้รูปทรงสวยงาม

7. เสร็จแล้วนำมาเรียงในลังถึงนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วตักใส่ถาดผึ่งไว้

ให้เย็นนำมาบรรจุใส่ถุง ๆ ละ 20 ตัว

ข้อแนะนำ ใช้น้ำมันพืชทอดแผ่นเกี๊ยว (ปริมาณน้ำมันพอท่วมตัวเกี๊ยว) เร่งไฟให้ร้อนปานกลาง

ใส่ตัวเกี๊ยวลงในกระทะเมื่อน้ำมันร้อน อย่าใส่เกี๊ยวซ่ามากจนแน่นกระทะ เพราะจะทำ

ให้แป้งเกี๊ยวสุกไม่เสมอกัน





- 2 -



น้ำจิ้ม

ส่วนผสม จิ๊กโฉ่วหรือซอสญี่ปุ่น 1 ขวด น้ำมันงา 1 ขวดเล็ก
น้ำอุ่น น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชูอย่างละพอประมาณ (ขึ้นอยู่กับปริมาณการทำ)
วิธีทำ นำจิ๊กโฉ่ว น้ำมันงา น้ำอุ่น น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู เทผสมกันในหม้อ ใช้ทัพพี

คนให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด ชิมรสตามชอบแล้วยกลง

เครื่องเคียง กะหล่ำปลีหั่นฝอย น้ำจิ้มแบบญี่ปุ่น

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ใกล้ย่านชุมชน ใกล้โรงเรียน หน้าตลาด หน้าตลาดในหมู่บ้านจัดสรร ขายส่ง

(ยังไม่ทอด)

ข้อเสนอแนะ 1. ควรบรรจุใส่ถุง ๆ ละ 20 ตัว ขายราคา 80 บาท

2. ถ้าขายไม่หมดควรเก็บไว้ในตู้เย็นไม่เกิน 3 วัน

บทความที่ได้รับความนิยม

บทความ ใหม่ล่าสุด

Superman (It's Not Easy)
















...............................................................................
I can't stand to fly
I'm not that naive
I'm just out to find
The better part of me

I'm more than a bird:I'm more than a plane
More than some pretty face beside a train
It's not easy to be me

Wish that I could cry
Fall upon my knees
Find a way to lie
About a home I'll never see

It may sound absurd:but don't be naive
Even Heroes have the right to bleed
I may be disturbed:but won't you conceed
Even Heroes have the right to dream
It's not easy to be me

Up, up and away:away from me
It's all right:You can all sleep sound tonight
I'm not crazy:or anything:

I can't stand to fly
I'm not that naive
Men weren't meant to ride
With clouds between their knees

I'm only a man in a silly red sheet
Digging for kryptonite on this one way street
Only a man in a funny red sheet
Looking for special things inside of me

It's not easy to be me.


ฉันไม่ได้อยากจะเหาะไปเหาะมาทุกวัน
ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น
ฉันก็แค่อยู่เพื่อค้นหา
ตัวตนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

ฉันเป็นมากกว่านก ฉันเร็วกว่าเครื่องบิน
เป็นมากกว่าหน้าตาหล่อๆ ที่คอยบินตามหยุดรถไฟ
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

ฉันหวังจะได้ร้องไห้เสียบ้าง
ซบหน้าลงกับท่อนแขน
เฝ้าแต่โกหกแก้ตัว
ถึงเรื่องบ้านเกิด ที่ไม่เคยแม้ได้เห็น

อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่โปรดอย่าหัวเราะ
เพราะแม้จะเป็นซูเปอร์แมน แต่ก็เลือดไหลได้เหมือนกัน
ฉันอาจจะพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง แต่โปรดอย่าได้ถือสา
กระทั่งเป็นซูเปอร์แมนก็มีความฝันกับเขาได้เหมือนกัน
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

บินบินไปบนฟ้า หนีไปจากตัวเอง
ไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณๆก็ยังคงหลับฝันดีได้
ฉันไม่ใช่คนบ้านะ

วันๆเอาแต่เหาะไปมา
ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ
ผู้ชายน่ะไม่ได้เกิดมา
เพื่อบินเล่นบนก้อนเมฆหรอกนะ

ฉันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ในผ้าคลุมสีแดงตลกๆ
ขุดหาคริปโตไนท์บนถนนเส้นเดิม
ก็แค่ผู้ชายธรรมดาในชุดสีแดงงี่เง่าๆ
มองหาบางสิ่งพิเศษให้กับตัวเอง

ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นซูเปอร์แมน

The Key (เดอะ คีย์) หนังสือจากสำนักพิมพ์ ต้นไม้

เรียกได้ว่าเป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือ เดอะซีเคร็ต ถ้าคุณเป็นหนอนหนังสือตัวจริง ผมว่าคุณคงจะรู้จักหนังสือเหล่านี้ดี ครั้งแรกที่ผมอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ตนั้น ผมยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของ กฎของแรงดึงดูดที่ว่า ใครมีความคิดเช่นไรก็จะเป็นคนเช่นนั้น ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จหรือกำลังล้มเหลวในชีวิต ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความคิดของเราเอง ผมคงไม่สามารถบรรณยาย ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้หมดสิ้น แต่ด้วยความปราถนาดีจากผมจริงๆที่ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผุ้อื่นบ้าง

ปฏิญญาณของผู้มองแง่ดี

สัญญากับตัวเองว่า

จะเข้มแข็งเสียจนไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนความสงบสุขทางใจของคุณได้
จะพูดถึง สุขภาพดี ความสุข และความรุ่งเรือง แก่ทุคคนที่คุณพบ
จะทำให้เพื่อนทั้งหมดของคุรรู้สึกว่ามีบางสิ่งดีๆในตัวพวกเขา
จะมองที่ด้านสว่างของทุกสิ่งและทำให้การมองแง่ดีของคุณกลายเป็นความจริง
จะคิดแต่เรื่องที่ดีที่สุด ทำงานให้แก่คนดี ให้แก่สิ่งดีที่สุด และคาดหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุด
จะมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้อื่นมากเท่ากับของคุณเอง
จะลืมความผิดพลาดในอดีตและเพียรพยายามไปสู่การบรรลุความสำเร็จของอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
จะดำรงใบหน้าอันร่าเริงตลอดเวลาและทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่คุณพบยิ้ม
จะให้เวลาแก่การปรับปรุงพัฒนาตัวเองมากเสียจนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะวิจารณ์คนอื่นๆ
จะเป็นคนที่ใหญ่กว่าความกังวล สง่างามกว่าความโกรธ แข็งแกร่งกว่าความกลัวและมีความสุขเกินกว่าที่จะอนุญาตให้มีความยุ่งยาก
จะคิดแก่ตัวเองและอ้างสิทธิ์ข้อเท็จจริงแก่โลก ไม่ใช่ด้วยคำพูดดังแต่ด้วยการกระทำที่ยิ่งใหญ่
จะใช้ชีวิตโดยศัทธาว่าโลกทั้งใบอยู่ข้างคุณตราบนานเท่าที่คุณยังเที่ยงตรง ต่อสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในตัวคุณ

หมายเหตุ จาก ปฏิญญาของผู้มองแง่ดี ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1912 หนังสือของ คริสเตียน ดี ลาร์สัน ชื่อ Your Forces and How to Use Them ฉบับย่อของมันใช้กันทุกวันนี้ โดย Optimist Interna tional ซึ่งเป็นกลุ่มคนทั่วโลกที่มุ่งไปที่การทำให้ความแตกต่าง ที่เป็นบวกเกิดขึ้นในโลก

**คัดมาจากหนังสือ เดอะคีย์ จากสำนักพิมพ์ ต้นไม้