วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เศรษฐีหอบ 2,000 ล้านลงทุนนอก

เศรษฐีเงินออม เดินหน้าหอบ 2,000 ล้านบาท ตั้งกองทุนส่วนบุคคลลุยไฟต่างประเทศ บลจ.เผยเหตุ ลูกค้าตื่นตัวกระจายความเสี่ยงหนีพิษเงินเฟ้อและเพื่อปรับตัวรับพ.ร.บ.ค้ำประกันเงินฝากที่มีผลบังคับใช้สิงหาคมนี้ แนะเทน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนหุ้นเสี่ยง เผยบรรดาเศรษฐีลงทุนต่างประเทศเพิ่มสัดส่วนเป็น 20-30% ดันสินทรัพย์ทั้งระบบพุ่งเฉียด 3 แสนล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท ส่วนบอนด์เกาหลียังเป็นขวัญใจรายย่อย



ภายใต้สถานการณ์การลงทุนทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบและแรงกดดันจากวิกฤติเงินเฟ้อ สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน สมาคมนักวิเคราะห์ปรับลดเป้าดัชนีลงแล้ว โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯเฉลี่ย ณ ปลายปี 2551 อยู่ที่ 927 จุด จากเดือนมกราคมที่ผ่านมาเคยคาดการณ์ไว้ที่ 958 จุด ในด้านของผู้ออมและผู้ลงทุนรายใหญ่นั้น ได้มีความเคลื่อนไหวการบริหารเงินออมเพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคล(ไพรเวทฟันด์)เพื่อลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ

***ครึ่งปีหลังแห่ลงทุน 2,000 ล้าน

ทั้งนี้นางพัชรินทร์ เตชะเคหะกิจ รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ไทยพาณิชย์ คาดว่าครึ่งปีหลังนี้นักลงทุนรายใหญ่จะลงทุนต่างประเทศด้วยการจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลประมาณ 1,800-2,000 ล้านบาท โดยคาดว่าบลจ.ที่มีส่วนแบ่งตลาดกองทุนส่วนบุคคลสูงสุด 10 อันดับแรก(ดูตารางประกอบ) มีลูกค้าสนใจไปลงทุนต่างประเทศอย่างน้อยบริษัทละ 10 ราย โดยมีวงเงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อราย (ประมาณ 15 ล้านบาทต่อราย)

"ส่วนของบลจ.ไทยพาณิชย์ฯ ขณะนี้มีลูกค้าแสดงความสนใจเกิน 10 รายแล้ว ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่สนใจลงทุนในตราสารหนี้ "

***เตือนหลีกเลี่ยงหุ้นโลก

นางพัชรินทร์ กล่าวว่า บริษัทไม่แนะนำให้ลูกค้าตั้งกองทุนส่วนบุคคลเพื่อลงทุนในหุ้นเพียว ๆเพราะตอนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความเสี่ยงทำให้อาจไม่คุ้มค่ากับการตั้งกองทุน แต่แนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมทั่วไปที่ลงทุนต่างประเทศ( FIF )

ขณะที่แนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกคาดว่าให้ผลตอบแทนที่ดีจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น อีกทั้งจากเงินบาทที่แข็งค่าถือเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อหรือทำให้เงินลงทุนมีมูลค่ามากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้แนวโน้มเงินบาทจะอ่อนค่าลง แต่คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งนี้ ปัจจุบันลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลของบลจ.ไทยพาณิชย์ฯ มีจำนวน 350 ราย โดยส่วนใหญ่หรือคิดเป็น 80% ของเงินลงทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ คิดเป็นวงเงินลงทุนต่อราย 30 ล้านบาท ส่วนอีก 20 % มีนโยบายลงทุนในหุ้น คิดเป็นวงเงินลงทุนต่อราย 10 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าทั้งปีจะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในส่วนกองทุนบุคคลและธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล 20,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท

ด้านนายประเวช องอาจสิทธิกุล รองเลขาธิการอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)กล่าวช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า บลจ. ส่งรายชื่อลูกค้าบุคคลธรรมดาที่สนใจจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลเพื่อนำเงินลงทุนต่างประเทศ 10-20 ราย ส่วนบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ได้ออกไปลงทุนต่างประเทศแล้วมูลค่ารวม 30-40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 990-1,320 ล้านบาท )

รายงานข่าวจากก.ล.ต.ระบุว่า ณ วันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีลูกค้าบลจ.ที่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งกองส่วนบุคคลเพื่อลงทุนต่างประเทศแล้ว 13 ราย คิดเป็นวงเงินลงทุนรวม 6.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 214.50 ล้านบาท )

***เศรษฐีไทยลงทุน 30% ของพอร์ต

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า แม้ภาพรวมการลงทุนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเงินเฟ้อ ในส่วนของนักลงทุนรายใหญ่(ไฮเน็ต เวิร์ธ) หรือกลุ่มไฮเอนด์ เชื่อว่าส่วนใหญ่ยังสนใจลงทุนในต่างประเทศในรูปแบบการจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคล แม้ว่าที่ผ่านมาลูกค้ากลุ่มนี้ได้ลงทุนต่างประเทศ ผ่านกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ( FIF ) ไปบ้างแล้วแต่ก็มีสัดส่วนน้อยคือ ประมาณ 10% ของพอร์ตเท่านั้น ขณะที่เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของเศรษฐีในทวีปเอเชียพบว่ามีสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศถึง 50%ของพอร์ตเลยทีเดียว

ฉะนั้นเชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐีไทยที่เป็นกลุ่มลูกค้าส่วนบุคคลจะทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศเป็น 20-30%ของพอร์ต ซึ่งสาเหตุหนึ่งเพราะรัฐบาลให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกองทุนส่วนบุคคลที่ไปลงทุนต่างประเทศ โดยหากลงทุนเกิน 1 ปีไม่ต้องเสียภาษีผลตอบแทนการลงทุน(แคปปิตอลเกน) เช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลในประเทศยังต้องเสียภาษีอยู่ ดังนั้นเชื่อว่าลูกค้าสนใจตั้งกองทุนส่วนบุคคลเพื่อลงทุนในต่างประเทศมากกว่า

สำหรับบลจ.ทิสโก้ฯ ปัจจุบันมีลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล 200 กว่าราย แบ่งเป็นลูกค้าประเภทบุคคลประมาณ 80% และลูกค้าสถาบันประมาณ 20% โดยลูกค้าประเภทบุคคลมีเงินลงทุน 40 ล้านบาทต่อรายขึ้นไป ส่วนลูกค้าสถาบันมีเงินลงทุน 100 ล้านบาทต่อรายขึ้นไป

***ดันสินทรัพย์พุ่งเฉียด 3 แสนล.

นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน รองกรรมการผู้จัดการ บริหารสายงานจัดการลงทุน บลจ.กรุงไทยฯ และในฐานะอุปนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุนหรือสมาคมบลจ.ด้านธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้นักลงทุนรายใหญ่สนใจจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลเพื่อลงทุนในต่างประเทศ คือ การมีพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากซึ่งทำให้ต้องกระจายความเสี่ยงในการลงทุน อีกทั้งรัฐบาลส่งเสริมให้ไปลงทุนต่างประเทศด้วยการลดหย่อนภาษีกำไรจากการลงทุน

ดังนั้นเชื่อว่าในระยะ 2 ปีข้างหน้านักลงทุนกลุ่มนี้จะเข้าใจและสนใจลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น คาดว่าทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ(เอ็นเอวี)กองทุนส่วนบุคคลทั้งอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอีก 100,000 ล้านบาท เป็น 270,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีขนาดสินทรัพย์ประมาณ 170,000 ล้านบาท ส่วนลูกค้าส่วนบุคคลของบริษัทที่สนใจนั้นส่วนใหญ่เป็นลูกค้าสถาบัน เช่น บริษัทประกัน เป็นต้น เพราะบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าส่วนบุคคลเป็นสถาบันถึง 70% ส่วน 30% เป็นลูกค้าบุคคล

นายธีรพันธุ์ ยอมรับว่าช่วงนี้ลูกค้าอาจจะอยู่ในช่วงประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้น หากเสนอขายกองทุนต่างประเทศ คงไม่ได้รับความสนใจมากนัก และคาดว่าช่วงไตรมาส 3 เป็นจังหวะที่ดีที่จะออกกองทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อขายนักลงทุนทั่วไป

***ลงทุนรับพ.ร.บ.ครองเงินฝาก

นายวนา พูนผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี(ไทย)ฯ กล่าวว่า บริษัทเสนอโปรดักต์กองทุนต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น เช่นเดียวกับกองทุนส่วนบุคคลที่บริษัทจะเสนอขายด้วย ซึ่งจากการสำรวจความสนใจของลูกค้าพบว่าหุ้นต่างประเทศยังเป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะช่วงเดือนสิงหาคมนี้ที่พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากประกาศใช้ เชื่อว่าลูกค้าส่วนหนึ่งที่เป็นกลุ่มเศรษฐีจะสนใจลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น

"ในสภาวะที่บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อสูง โดยเฉพาะตลาดหุ้น สำหรับบลจ.ยูโอบีฯ ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นเอเชียเหนือ น่าสนใจลงทุนมากที่สุด แต่ยอมรับว่าต้องเลือกด้วย ยกตัวอย่างตลาดหุ้นจีนที่ปรับลงมามากแล้วประมาณ 40% ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าปีนี้ เศรษฐกิจจีนยังมีโอกาสเติบโตในระดับ 9% ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่าช่วงครึ่งปีหลังนี้หุ้นจีนจะปรับขึ้นจากการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ซึ่งจากสถิติในอดีตพบว่าประเทศที่เป็นเจ้าภาพหุ้นจะปรับขึ้นในช่วงฤดูกาลแข่งขัน

***บอนด์เกาหลีอายุ 2 ปี ได้ 5.25% /ปี

สำหรับบลจ.ทหารไทยฯ ซึ่งได้ออกกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันรวมทั้งสิ้น 16 กองทุน คิดเป็นเงินระดุมครั้งแรก(IPO ) รวม 28,483 ล้านบาท และระหว่างวันที่ 17-24 มิถุนายนนี้ ได้เปิดขายกองที่ 17 มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท อายุ 2 ปี

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทยฯ เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดขายกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีให้เลือกทั้งระยะสั้นอายุ 6 เดือน และระยะยาวอายุ 2 ปี ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ก็ยังน่าสนใจ เนื่องจากยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยเฉพาะกองทุนทหารไทยพันธบัตรเกาหลีใต้ อายุ 2 ปี จะมีอัตรารับซื้อคืนไม่ต่ำกว่า 5.25% ต่อปี และจ่ายผลตอบแทนถึงปีละ 4 ครั้ง ซึ่งถือเป็นอัตราผลตอบแทนที่สูงสุดในขณะนี้ หากเปรียบเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปี ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2551 ให้ผลตอบแทนในอัตรา 4.67% ต่อปีเท่านั้น

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดขาย กองทุนทหารไทยพันธบัตรเกาหลีใต้ 6M3 อายุ 6 เดือน อัตรารับซื้อคืนไม่ต่ำกว่า 3.50% ต่อปี ซึ่งทั้ง 2 กองทุนมีนโยบายการลงทุนในพันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรธนาคารแห่งชาติที่รัฐบาลเกาหลีใต้ เป็นผู้ออกหรือเป็นผู้ค้ำประกันไม่น้อยกว่า 99% จึงมีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำมาก เพราะพันธบัตรเกาหลีใต้มีเครดิตเรตติ้งสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทย อีกทั้งยังมีการแปลงเงินลงทุนในต่างประเทศเป็นเงินบาทแล้ว ทำให้ไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการรับผลตอบแทนที่แน่นอน แต่ได้รับผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าการฝากเงินกับธนาคาร

ส่วนบลจ.ทิสโก้ฯ อยู่ระหว่างการเปิดขาย"กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% # 2" ซึ่งเป็นกองทุนรวมต่างประเทศที่เน้นลงทุนผ่านกองทุนหุ้นกลุ่มประเทศในเอเชียแปซิฟิกยกเว้นประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกองทุนต่อเนื่องจากกองแรกที่สามารถสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมาย( 15% ) ได้ในระยะเวลาเพียงสองเดือนเศษ โดยเปิดขายเพียงครั้งเดียว ถึงวันที่ 20 มิถุนายนนี้ ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท

***กบข. ตั้งรับเศรษฐกิจโลกถดถอย

นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ยอมรับว่า การลงทุนในปีนี้เผชิญกับความผันผวนค่อนข้างมาก สำหรับพอร์ตลงทุนของกบข. ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 380,000 ล้านบาท ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย และครึ่งปีหลังนี้ กบข.จะกระจายการลงทุนไปยังหลักทรัพย์ประเภทนิติบุคคลเอกชนต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ให้ผลตอบแทนสัมพันธ์กับอัตราเงินเฟ้อ

ส่วนนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้ธนาคารกลางหลายประเทศ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งสัญญาณปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดแรงกดดันปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้หรือพันธบัตรของกบข.จำเป็นต้องมีการลดการถือครองพันธบัตรระยะยาว และหันมาถือครองพันธบัตรที่มีอายุสั้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ตการลงทุน




หมายเหตุ: ที่มา ฐานเศรษฐกิจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

บทความ ใหม่ล่าสุด

Superman (It's Not Easy)
















...............................................................................
I can't stand to fly
I'm not that naive
I'm just out to find
The better part of me

I'm more than a bird:I'm more than a plane
More than some pretty face beside a train
It's not easy to be me

Wish that I could cry
Fall upon my knees
Find a way to lie
About a home I'll never see

It may sound absurd:but don't be naive
Even Heroes have the right to bleed
I may be disturbed:but won't you conceed
Even Heroes have the right to dream
It's not easy to be me

Up, up and away:away from me
It's all right:You can all sleep sound tonight
I'm not crazy:or anything:

I can't stand to fly
I'm not that naive
Men weren't meant to ride
With clouds between their knees

I'm only a man in a silly red sheet
Digging for kryptonite on this one way street
Only a man in a funny red sheet
Looking for special things inside of me

It's not easy to be me.


ฉันไม่ได้อยากจะเหาะไปเหาะมาทุกวัน
ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น
ฉันก็แค่อยู่เพื่อค้นหา
ตัวตนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

ฉันเป็นมากกว่านก ฉันเร็วกว่าเครื่องบิน
เป็นมากกว่าหน้าตาหล่อๆ ที่คอยบินตามหยุดรถไฟ
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

ฉันหวังจะได้ร้องไห้เสียบ้าง
ซบหน้าลงกับท่อนแขน
เฝ้าแต่โกหกแก้ตัว
ถึงเรื่องบ้านเกิด ที่ไม่เคยแม้ได้เห็น

อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่โปรดอย่าหัวเราะ
เพราะแม้จะเป็นซูเปอร์แมน แต่ก็เลือดไหลได้เหมือนกัน
ฉันอาจจะพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง แต่โปรดอย่าได้ถือสา
กระทั่งเป็นซูเปอร์แมนก็มีความฝันกับเขาได้เหมือนกัน
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

บินบินไปบนฟ้า หนีไปจากตัวเอง
ไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณๆก็ยังคงหลับฝันดีได้
ฉันไม่ใช่คนบ้านะ

วันๆเอาแต่เหาะไปมา
ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ
ผู้ชายน่ะไม่ได้เกิดมา
เพื่อบินเล่นบนก้อนเมฆหรอกนะ

ฉันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ในผ้าคลุมสีแดงตลกๆ
ขุดหาคริปโตไนท์บนถนนเส้นเดิม
ก็แค่ผู้ชายธรรมดาในชุดสีแดงงี่เง่าๆ
มองหาบางสิ่งพิเศษให้กับตัวเอง

ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นซูเปอร์แมน

The Key (เดอะ คีย์) หนังสือจากสำนักพิมพ์ ต้นไม้

เรียกได้ว่าเป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือ เดอะซีเคร็ต ถ้าคุณเป็นหนอนหนังสือตัวจริง ผมว่าคุณคงจะรู้จักหนังสือเหล่านี้ดี ครั้งแรกที่ผมอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ตนั้น ผมยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของ กฎของแรงดึงดูดที่ว่า ใครมีความคิดเช่นไรก็จะเป็นคนเช่นนั้น ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จหรือกำลังล้มเหลวในชีวิต ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความคิดของเราเอง ผมคงไม่สามารถบรรณยาย ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้หมดสิ้น แต่ด้วยความปราถนาดีจากผมจริงๆที่ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผุ้อื่นบ้าง

ปฏิญญาณของผู้มองแง่ดี

สัญญากับตัวเองว่า

จะเข้มแข็งเสียจนไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนความสงบสุขทางใจของคุณได้
จะพูดถึง สุขภาพดี ความสุข และความรุ่งเรือง แก่ทุคคนที่คุณพบ
จะทำให้เพื่อนทั้งหมดของคุรรู้สึกว่ามีบางสิ่งดีๆในตัวพวกเขา
จะมองที่ด้านสว่างของทุกสิ่งและทำให้การมองแง่ดีของคุณกลายเป็นความจริง
จะคิดแต่เรื่องที่ดีที่สุด ทำงานให้แก่คนดี ให้แก่สิ่งดีที่สุด และคาดหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุด
จะมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้อื่นมากเท่ากับของคุณเอง
จะลืมความผิดพลาดในอดีตและเพียรพยายามไปสู่การบรรลุความสำเร็จของอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
จะดำรงใบหน้าอันร่าเริงตลอดเวลาและทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่คุณพบยิ้ม
จะให้เวลาแก่การปรับปรุงพัฒนาตัวเองมากเสียจนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะวิจารณ์คนอื่นๆ
จะเป็นคนที่ใหญ่กว่าความกังวล สง่างามกว่าความโกรธ แข็งแกร่งกว่าความกลัวและมีความสุขเกินกว่าที่จะอนุญาตให้มีความยุ่งยาก
จะคิดแก่ตัวเองและอ้างสิทธิ์ข้อเท็จจริงแก่โลก ไม่ใช่ด้วยคำพูดดังแต่ด้วยการกระทำที่ยิ่งใหญ่
จะใช้ชีวิตโดยศัทธาว่าโลกทั้งใบอยู่ข้างคุณตราบนานเท่าที่คุณยังเที่ยงตรง ต่อสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในตัวคุณ

หมายเหตุ จาก ปฏิญญาของผู้มองแง่ดี ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1912 หนังสือของ คริสเตียน ดี ลาร์สัน ชื่อ Your Forces and How to Use Them ฉบับย่อของมันใช้กันทุกวันนี้ โดย Optimist Interna tional ซึ่งเป็นกลุ่มคนทั่วโลกที่มุ่งไปที่การทำให้ความแตกต่าง ที่เป็นบวกเกิดขึ้นในโลก

**คัดมาจากหนังสือ เดอะคีย์ จากสำนักพิมพ์ ต้นไม้