วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

'ของดีราคาถูกใครๆ ก็บินได้' สไตล์ ทัศพล แบเลเว็ลด์

ความคิดฝันที่หลายคนมองว่า การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมนั้น วันนี้ได้กลายเป็นอดีต และไม่มีใครปฏิเสธคำพูดที่ว่า "ใครๆ ก็บินได้ "หรือ "Everyone can fly" ซึ่งเป็นสโลแกนติดอยู่ทั่วเครือข่ายธุรกิจ และบนลำตัวเครื่องบินทุกลำของ "ไทยแอร์เอเชีย" สายการบินต้นทุนต่ำ(low cost airline) สายแรกของไทย ที่ใช้กลยุทธ์ "ราคาถูก" เป็นลูกเล่นทางการตลาด


ระยะเวลาไม่ถึง 5 ปี "ทัศพล แบเลเว็ลด์" หรือ "โจ"หนุ่มลูกครึ่งไทย-ฮอลแลนด์ วัย 41 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ) บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ไม่เพียงทำให้ไทยแอร์เอเชีย กลายเป็นสายการบินที่มีต้นทุนการดำเนินงานต่ำที่สุดในโลกรองจาก แอร์เอเชียของมาเลเซีย แต่ยังทำให้สิ่งที่อยู่ในความคิดฝันของคนไทยเกิดเป็นจริงอีกด้วย


เป้าหมายของโจ จึงไม่ใช่แค่การแย่งชิงผู้โดยสารคนไทยที่เดินทางด้วยเครื่องบินปีละประมาณ 5-6 ล้านคน แต่เขามองไปที่คนไทยอีก 60 ล้านคนที่ไม่เคยคิดว่า ชาตินี้จะได้ขึ้นเครื่องบิน ด้วยการเปลี่ยนความคิดพวกเขาใหม่ ซึ่งวันนี้ก็สัมฤทธิผล "คนที่ไม่คิดจะเดินทาง ก็ได้เดินทาง คนที่ไม่เคยคิดว่าจะไปเที่ยว ต่างประเทศแบบเช้าไปเย็นกลับก็หันมาเดินทางเพิ่มมากขึ้น "


ตัวเลขครึ่งปีนี้เขาขนผู้โดยสารไปแล้ว 2.1 ล้านคนขณะที่ทั้งปีคาดหวังไว้ที่ 4.6 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 25% ด้วยจำนวนเครื่องบิน 14 ลำเท่าเดิมแต่เปลี่ยนเป็นเครื่องบินใหม่ เอ 320


โจ เล่าว่า บริการสายการบินโลว์คอสต์ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีคนคิดทำมาหลายสิบปีแล้ว หัวใจสำคัญอยู่ที่การบริหารต้นทุนเพื่อทำให้ "ราคาถูก"ตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันนี้เขาไม่เพียงยึดความเป็นโลว์คอสต์ไว้แต่ต้องทำต่อเนื่อง ตื่นเช้าแต่ละวันยังต้องคิดว่าวันนี้จะทำยังไงให้พนักงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือจะลดค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วนได้อีกอย่างไร "เราดูแลเรื่องต้นทุนมาตั้งแต่เริ่มแรกไขมันในบริษัทจึงแทบจะไม่มีเลย ส่วนด้านบริหารจากระดับซีอีโอลงไป 4 ขั้นถึงเด็กยกกระเป๋า ไม่มีผู้ช่วยผู้จัดการ มีแต่เลขาฯแผนก ทุกคนต้องทำงานเป็นหลายอย่างที่เราเรียกกันว่า multi- tasking และเป็นองค์กรที่ Young & Dynamic ยังมีแรงเหลือเฟือที่จะทำงาน"


โจถือเป็นนักธุรกิจคลื่นลูกใหม่ที่มีความโดดเด่นในเรื่อง "แนวคิดนอกกรอบ" พื้นฐานเป็นเด็กซนและเกเร เรียนจบมัธยมจากโรงเรียนเบญจมินทร์ ย่านนวมินทร์ สมัยเด็กเคยหนีโรงเรียนหลายครั้งก็แต่ไม่เนียนจึงถูกจับได้ทุกครั้ง เด็กๆเป็นนักบาสเกตบอล และไปจบปริญญาตรีด้านการตลาด มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เอแบค)และปริญญาโทด้านการตลาดจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ทำงานหาเงินเองตั้งแต่อยู่ ม. 5-6 ด้วยการรับจ้างแปล subtitle หนัง พออยู่ปี 2 ที่เอแบค ก็ไปเป็นเซลส์ขายคอมพิวเตอร์ เครื่องแฟกซ์ เครื่องถ่ายเอกสาร ได้เงินเดือน 1,500 บาทและคอมมิสชันอีก 3,500 บาท"ได้ประสบการณ์ตอนนั้นคืองานขายของทำยาก แต่ก็ไม่อายเพราะไม่ได้ไปขอเงินใคร และยังได้รู้จักได้พบเห็นคนหลากหลายแบบและโลกนี้ไม่สวยหรูอย่างที่เราคิดไว้"


เริ่มต้นทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตที่บริษัท อดัมส์(ประเทศไทย)ฯ เกือบ 4 ปีหลังจากนั้นไปเป็นผู้จัดการประจำประเทศไทยและอินโดจีน บริษัท มอนซานโต้ฯ 4 ปีเศษ และกรรมการผู้จัดการบริษัท วอร์เนอร์ มิวสิค(ประเทศไทย) จำกัด 5 ปี ที่นี่เขาได้รู้จักกับโทนี่ เฟอร์นานเดส ผู้ก่อตั้ง แอร์เอเชีย อดีตรองประธานประจำภูมิภาคอาเซียน วอร์เนอร์ มิวสิค กรุ๊ป ซึ่งชักชวนกันร่วมก่อตั้ง ไทยแอร์เอเชีย ตั้งแต่ปลายปี 2546


ตลอดระยะเวลา 4 ปีนับแต่ก่อตั้งเขาไม่เพียงเผชิญกับการแข่งขันทางธุรกิจที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนแต่ยังถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ในฐานะบริษัทร่วมทุนของอดีตนายกฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่สุดท้ายก็หาเงินซื้อหุ้นออกมาได้ทั้งหมด 100%


"ทำธุรกิจไม่เครียดแต่ตอนที่เครียดคือช่วงหาเงินมาซื้อหุ้นไทยแอร์เอเชีย เพราะต้องทำทุกอย่างพร้อมๆกันทั้งเจรจาต่อรองราคา เวลาก็กระชั้น การเมืองก็ตีทุกวัน แต่พอซื้อหุ้นเสร็จก็ยังไม่วายถูกว่าเป็น นอมินี ก็ต้องรบต่อไปอีก 6 เดือนแต่สุดท้ายก็หลุดมาได้ วันนี้เลยจุดเครียดมาแล้ว อะไรเข้ามาก็ไม่กลัวแล้วแม้จะยังมีหนี้อยู่ 1,000 ล้านก็ตาม "


เมื่อถามถึงเคล็ดลับความสำเร็จในวันนี้โจกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มสดใส "ของดี ราคาถูก มีจริงที่ไทยแอร์เอเชีย" ด้วยบริการ Fly 5 star at the 1 star price "


อย่างไรก็ตาม ก้าวมาถึงวันนี้ แม้จะบรรลุความสำเร็จในเรื่องการสร้างรายได้และบริษัทแข็งแรงแต่ก็ยังไม่แข็งแรงที่สุด เพราะยังไม่ได้บินไปอีกหลายเมืองในอาเซียน โมเดลธุรกิจในระยะยาวที่เขาตั้งเป้าหมายไว้ คือปี 2553 ที่เขาจะสร้างฝูงบินขนาด 30 ลำ บินได้ครอบคลุมทุกเมืองที่คนรู้จักในเอเชีย มีพนักงานเพิ่มจาก 1,400 คนวันนี้เป็น 3,000 คน และบริษัทเข้าไปจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทย"ถึงตอนนั้นตัวผมก็คงจะสามารถขยายไปทำในธุรกิจในส่วนอื่นได้ พนักงานก็อยู่กันอย่างมั่นคง ทุกคนมีหุ้นในบริษัท แต่ถ้าผมยังต้องทำธุรกิจสายการบินอยู่แสดงว่ายังไม่บรรลุสู่เป้าหมาย แต่ถ้าเกิดวันนี้ผมขยับไปทำโรงแรม ไปทำธุรกิจอื่นได้ก็ถือว่าตรงนี้โอเคแล้ว"


แม้จะเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่แต่โจก็ยังยึดหลักคิดในการทำงาน" โง่ไว้ก่อนแล้วค่อยฉลาดที่หลัง" อธิบายให้ฟังสั้นๆว่า ไม่มีใครเกิดมาฉลาด ทุกอย่างต้องเรียนรู้ และต้องทำงาน เพื่อให้ได้วิชามาวิชาหนึ่งพอไปทำงานอีกที่หนึ่งก็ได้อีกวิชาหนึ่งมา ถือเป็นการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีขีดจำกัด ก็เหมือนกับการที่เขาพยายามหาสิ่งใหม่ๆ ทำตลอดเวลา


ส่วนต้นแบบในการทำงาน โจกล่าวว่า ไม่มีใครเป็นต้นแบบแต่นำข้อดีของแต่ละคนมาใช้ เพราะเชื่อว่าไม่มีใครเกิดมาแล้วสมบูรณ์แบบจึงใช้เป็นต้นแบบไม่ได้ และพยายามเรียนรู้จากการอ่านหนังสือ " ถ้าจะให้จำก็ต้องเป็นครูคนแรก เป็นที่ทำงานที่แรก ซึ่งสอนเราทุกอย่างก็ถือว่าเป็นครูที่ดีที่สุด"


และเมื่อวันนี้เขากลายเป็นต้นแบบเสียเอง จึงฝากข้อคิดและคำแนะนำฝากซีอีโอรุ่นใหม่ ว่า อันดับแรกอย่าเปลี่ยนงานบ่อย แต่ควรเรียนรู้ทุกอย่าง เก็บความรู้ทุกเม็ดให้ได้มากที่สุด อันดับที่สอง ต้องสนใจเรื่องการเงินจะได้ไม่คิดเสียดายโอกาสในภายหลัง และ อันดับที่สาม ต้องมั่นอ่านหนังสือ หาความรู้เพิ่มเติมทั้งในส่วนที่ทำอยู่และหนังสือต่างประเทศเพื่อเรียนรู้ว่าโลกพัฒนาไปถึงไหนกันแล้ว สิ่งเหล่านี้จะกลับมาให้เราได้ใช้ประโยชน์เองในท้ายที่สุด


เมื่อถามถึงจุดแข็งของไทยแอร์เอเชียวันนี้ โจเผยว่า ทำอะไรก็ต้องมุ่งเป็นเบอร์หนึ่ง เช่นเดียวกับชีวิตที่ผ่านมาพยายามทำสิ่งที่ดูแลให้ขึ้นเป็นที่หนึ่งให้ได้ เริ่มจากการวางแผนธุรกิจ ในระยะ 10 ปีจากนี้ไปจะไปอยู่ตรงไหน แล้ววางแผนปฏิบัติการถอยหลังมาว่าปีที่ 1 ต้องทำอะไร ปีที่ 2 ต้องทำอะไร "อย่างวันนี้การเปิดเที่ยวบินทั้งในประเทศและนอกประเทศต้องทำควบคู่กันไป เพื่อว่าในประเทศมีปัญหานักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังใช้บริการ บวกกับการทำแบรนดิ้งให้แข็งแรง"


เขายกตัวอย่างสาเหตุที่ไทยแอร์เอเชียต้องไปโฆษณาในทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และเป็นสปอนเซอร์ทีมแข่งรถในฟอร์มูล่า วัน เพราะช่วยทำให้แบรนดิ้งไทยแอร์เอเชียแข็งแรง และยังช่วยทำให้วันนี้กลายเป็นแบรนด์ระดับ Top 50 ของโลก


เมื่อถามถึงปรัชญาในการทำงาน โจยอมรับว่า ทั้งตัวเองและโทนี่ ไม่ต่างจากเด็กซนทั่วไปแต่ไม่เกเร จึงไม่ได้ยึดปรัชญาอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ที่จดจำไว้เสมอคือ "ฝันไว้ก่อน ส่วนจะทำได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที เพราะคนเราเกิดมาแล้วไม่มีความฝันจะมีชีวิตไปทำไม"


สิ่งท้าทายของเขาจากนี้ไป เขาฝัน "อยากเป็นนักบิน ตั้งใจว่า ปีหน้าจะไปเรียนขับเครื่องบิน ส่วนทางด้านธุรกิจเขาฝันที่จะได้เห็นมาร์เก็ตแคป ไทยแอร์เอเชีย อยู่ใน อันดับ Top 10 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ "








ถือเป็นนักดูหนังตัวยง โดยเฉพาะเวลาเครียด ครองสถิติเสาร์-อาทิตย์ต้องดูหนังใหม่ให้ได้ 5 เรื่อง ถ้าดูไม่ครบก็ต้องตามเก็บด้วย DVD ที่หามาดูเอง อีกเรื่องที่ถือเป็นความชอบคืออ่านหนังสือพิมพ์ หนังสือประเภทสอนเคล็ดลับทั้งไทยและเทศเพื่ออัพเดต และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติม ส่วนกีฬาโปรด คือ ขี่จักรยาน เช้า 20 กม. เย็นอีก 20 กม. ให้เหตุผลว่า ช่วยบริหารหัวใจจะได้แข็งแรงไม่หลงรักใครง่ายๆ จ้า..า..า..า..า

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2349 17 ส.ค. - 20 ส.ค. 2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

บทความ ใหม่ล่าสุด

Superman (It's Not Easy)
















...............................................................................
I can't stand to fly
I'm not that naive
I'm just out to find
The better part of me

I'm more than a bird:I'm more than a plane
More than some pretty face beside a train
It's not easy to be me

Wish that I could cry
Fall upon my knees
Find a way to lie
About a home I'll never see

It may sound absurd:but don't be naive
Even Heroes have the right to bleed
I may be disturbed:but won't you conceed
Even Heroes have the right to dream
It's not easy to be me

Up, up and away:away from me
It's all right:You can all sleep sound tonight
I'm not crazy:or anything:

I can't stand to fly
I'm not that naive
Men weren't meant to ride
With clouds between their knees

I'm only a man in a silly red sheet
Digging for kryptonite on this one way street
Only a man in a funny red sheet
Looking for special things inside of me

It's not easy to be me.


ฉันไม่ได้อยากจะเหาะไปเหาะมาทุกวัน
ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น
ฉันก็แค่อยู่เพื่อค้นหา
ตัวตนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

ฉันเป็นมากกว่านก ฉันเร็วกว่าเครื่องบิน
เป็นมากกว่าหน้าตาหล่อๆ ที่คอยบินตามหยุดรถไฟ
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

ฉันหวังจะได้ร้องไห้เสียบ้าง
ซบหน้าลงกับท่อนแขน
เฝ้าแต่โกหกแก้ตัว
ถึงเรื่องบ้านเกิด ที่ไม่เคยแม้ได้เห็น

อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่โปรดอย่าหัวเราะ
เพราะแม้จะเป็นซูเปอร์แมน แต่ก็เลือดไหลได้เหมือนกัน
ฉันอาจจะพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง แต่โปรดอย่าได้ถือสา
กระทั่งเป็นซูเปอร์แมนก็มีความฝันกับเขาได้เหมือนกัน
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

บินบินไปบนฟ้า หนีไปจากตัวเอง
ไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณๆก็ยังคงหลับฝันดีได้
ฉันไม่ใช่คนบ้านะ

วันๆเอาแต่เหาะไปมา
ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ
ผู้ชายน่ะไม่ได้เกิดมา
เพื่อบินเล่นบนก้อนเมฆหรอกนะ

ฉันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ในผ้าคลุมสีแดงตลกๆ
ขุดหาคริปโตไนท์บนถนนเส้นเดิม
ก็แค่ผู้ชายธรรมดาในชุดสีแดงงี่เง่าๆ
มองหาบางสิ่งพิเศษให้กับตัวเอง

ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นซูเปอร์แมน

The Key (เดอะ คีย์) หนังสือจากสำนักพิมพ์ ต้นไม้

เรียกได้ว่าเป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือ เดอะซีเคร็ต ถ้าคุณเป็นหนอนหนังสือตัวจริง ผมว่าคุณคงจะรู้จักหนังสือเหล่านี้ดี ครั้งแรกที่ผมอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ตนั้น ผมยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของ กฎของแรงดึงดูดที่ว่า ใครมีความคิดเช่นไรก็จะเป็นคนเช่นนั้น ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จหรือกำลังล้มเหลวในชีวิต ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความคิดของเราเอง ผมคงไม่สามารถบรรณยาย ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้หมดสิ้น แต่ด้วยความปราถนาดีจากผมจริงๆที่ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผุ้อื่นบ้าง

ปฏิญญาณของผู้มองแง่ดี

สัญญากับตัวเองว่า

จะเข้มแข็งเสียจนไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนความสงบสุขทางใจของคุณได้
จะพูดถึง สุขภาพดี ความสุข และความรุ่งเรือง แก่ทุคคนที่คุณพบ
จะทำให้เพื่อนทั้งหมดของคุรรู้สึกว่ามีบางสิ่งดีๆในตัวพวกเขา
จะมองที่ด้านสว่างของทุกสิ่งและทำให้การมองแง่ดีของคุณกลายเป็นความจริง
จะคิดแต่เรื่องที่ดีที่สุด ทำงานให้แก่คนดี ให้แก่สิ่งดีที่สุด และคาดหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุด
จะมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้อื่นมากเท่ากับของคุณเอง
จะลืมความผิดพลาดในอดีตและเพียรพยายามไปสู่การบรรลุความสำเร็จของอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
จะดำรงใบหน้าอันร่าเริงตลอดเวลาและทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่คุณพบยิ้ม
จะให้เวลาแก่การปรับปรุงพัฒนาตัวเองมากเสียจนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะวิจารณ์คนอื่นๆ
จะเป็นคนที่ใหญ่กว่าความกังวล สง่างามกว่าความโกรธ แข็งแกร่งกว่าความกลัวและมีความสุขเกินกว่าที่จะอนุญาตให้มีความยุ่งยาก
จะคิดแก่ตัวเองและอ้างสิทธิ์ข้อเท็จจริงแก่โลก ไม่ใช่ด้วยคำพูดดังแต่ด้วยการกระทำที่ยิ่งใหญ่
จะใช้ชีวิตโดยศัทธาว่าโลกทั้งใบอยู่ข้างคุณตราบนานเท่าที่คุณยังเที่ยงตรง ต่อสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในตัวคุณ

หมายเหตุ จาก ปฏิญญาของผู้มองแง่ดี ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1912 หนังสือของ คริสเตียน ดี ลาร์สัน ชื่อ Your Forces and How to Use Them ฉบับย่อของมันใช้กันทุกวันนี้ โดย Optimist Interna tional ซึ่งเป็นกลุ่มคนทั่วโลกที่มุ่งไปที่การทำให้ความแตกต่าง ที่เป็นบวกเกิดขึ้นในโลก

**คัดมาจากหนังสือ เดอะคีย์ จากสำนักพิมพ์ ต้นไม้