วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เปิดผลวิจัย ‘แฟรนไชส์ไทย’ หามาตรฐานคุณภาพเทียบสากล


เปิดผลวิจัย ‘แฟรนไชส์ไทย’ หามาตรฐานคุณภาพเทียบสากล
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 18 สิงหาคม 2551 16:23 น.
ล่าสุด บริษัท อินเตอร์เทค จำกัด ได้นำเสนอการวิจัยลักษณะพื้นฐานทางธุรกิจของแฟรนไชส์ในประเทศไทย เพื่อพัฒนามาตรฐานของอุตสาหกรรมแฟรนไชส์ ไทย ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เพื่อจัดทำมาตรฐานคุณภาพแฟรนไชส์แห่งชาติระดับสากล ทั้งนี้ผลการวิจัยมีความน่าสนใจดังนี้

ในส่วนแรกผลวิจัยได้นำเสนอภาพโดยรวมของธุรกิจแฟรนไชส์ของประเทศไทยว่า

1. มีลักษณะพื้นฐานที่แสดงถึงความพร้อมในการขยายธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ เช่น มีรูปแบบการจัดร้านที่เป็นลักษณะเดียวกัน

2. มีการจัดการด้านการตลาดการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สร้างจุดเด่นในธุรกิจ การสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจ รวมทั้งการจัดทำระบบแฟรนไชส์มีความมั่นใจต่อตัวระบบเชื่อมั่นว่า ธุรกิจสามารถเติบโตต่อเนื่องได้จริง

3. มองว่าเป้าหมายโครงการการพัฒนาระบบแฟรนไชส์นั้นมีความชัดเจนและมีความเป็นไปได้

โดยชนิดของธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยแบ่งเป็น อาหาร 39.1% บริการ 21.1% การศึกษา 11.5% เครื่องดื่ม 11.5% ค้าปลีก 5.7% ความงาม 2.3% อื่นๆ 8%

ขณะ ที่ระยะเวลาของธุรกิจในการก่อตั้ง (ปี) จากผลสำรวจของศูนย์วิจัยพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์สากล มหาวิทยาลัยศรีปทุม เมื่อปี 2549 ระบุว่า

แฟรนไชส์ในประเทศแม้จะมีการปิดตัวไปในอัตราค่อนข้างสูง แต่ยังมีธุรกิจที่ดำเนินอยู่ได้ ค่าเฉลี่ยมีอายุทำการมากกว่า 5 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จต่อระบบธุรกิจด้านนี้ และน่าจะเป็นเกณฑ์ด้านหนึ่งในการประเมินระบบแฟรนไชส์ที่เหมาะสมต่อการลงทุน ทั้งนี้อายุของธุรกิจก็มีผลหรือมีความสัมพันธ์ต่อจำนวนสาขาด้วย เพราะธุรกิจมีการเติบโตในระบบแฟรนไชส์มีโอกาสที่จะขยายสาขาได้มากขึ้น

ส่วนจำนวนสาขานั้น ปัจจุบันพบว่าแฟรนไชส์ไทยมีจำนวนสาขามากกว่า 12 สาขาขึ้นไป และ 77.9% มีร้านต้นแบบที่สมบูรณ์ เพราะเป็นความจำเป็นของธุรกิจที่จะต้องมีร้านที่แสดงถึงธุรกิจและกระบวนการ ต่างๆ ที่ชัดเจน แต่ยังขาดความเป็นรูปแบบมาตรฐานเดียวกันและมีความแตกต่างของรูปแบบร้านแต่ละ สาขา

ด้านความสามารถในการสร้างผลกำไรของธุรกิจพบว่า ยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาประมาณ 3 แสนบาทต่อเดือน ขณะที่อัตราผลกำไรนั้นได้แบ่งการวัดเป็นด้าน เช่น อัตรากำไรขั้นต่ำ อัตราเปอร์เซ็นต์ค่าใช้จ่าย อัตรากำไรสุทธิและมูลค่ากำไรเฉลี่ยต่อเดือน

ซึ่งพบว่าธุรกิจส่วนใหญ่มีผลกำไรเพียงพอที่จะขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยมีลักษณะอัตราด้านการทำกำไรของธุรกิจดังนี้ อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ที่ 40-50%

ส่วนยอดเงินกำไรต่อสาขา ในส่วนของธุรกิจแฟรนไชส์นั้นจะเน้นในเรื่องผลตอบแทนของแฟรนไชซีที่คุ้มค่า เพียงพอต่อการลงทุนและมักจะมองตัวเลขกำไรที่เป็นเม็ดเงินต่อเดือนที่เพียงพอ ต่อการดำเนินธุรกิจ โดยคาดการณ์แล้วจะต้องมีเงินกำไรต่อสาขาไม่น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน

จากการสำรวจพบว่ามีกำไรเฉลี่ยที่ 112,162.78 บาทต่อเดือนซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจที่น่าลงทุน ทั้งนี้ธุรกิจส่วนใหญ่จะมีกำไรระหว่าง 500,000 ถึง 70,000 บาทต่อเดือน

นอกจากนี้ ในส่วนของการลงทุนในร้านประมาณเท่าใด (บาท) พบว่า มีการลงทุนต่อสาขามีมูลค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 2.06 ล้านบาทต่อสาขา ทั้งนี้แฟรนไชส์ในไทยได้แบ่งการลงทุนออกเป็น 3 ระดับ คือ 50,000 บาทในธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดเล็ก ระดับกลางอยู่ที่ประมาณ 200,000 – 500,000 บาทต่อสาขาและระดับกลางอยู่ที่ประมาณ 200,000 – 500,000 บาทต่อสาขาและขนาดใหญ่จะมีการลงทุนที่ 1- 2.5 ล้านบาทขึ้นไป

ดัง นั้น ผลการวิจัยจึงสรุปว่าทั้งนี้แสดงให้เห็นแนวโน้มการลงทุนของธุรกิจแฟรนไชส์ใน ประเทศไทยมีแนวโน้มการลงทุนสูงขึ้น โดยสามารถเห็นจากข้อมูลการสำรวจจะมีขนาดลงทุนตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป

ส่วนการเก็บค่าแฟรนไชส์นั้น ปัจจุบันมีการเก็บค่าแฟรนไชส์แรกเข้ามากกว่า 60,000 บาท
แม้ว่าจากค่าเฉลี่ยการเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าของระบบแฟรนไชส์จะมีค่าเฉลี่ย อยู่ที่ 110,662.79 บาท แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละธุรกิจ

ธุรกิจมากกว่า 40% ไม่ได้เก็บค่าแฟรนไชส์แรกเข้าซึ่งเป็นข้อน่าสังเกตในการทำธุรกิจแฟรนไชส์ที่ ขัดแย้งกับกระบวนการตามหลักสากล ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์ขาดการพัฒนาตัวเองเนื่องจากรายได้ที่ เกิดขึ้นไม่คุ้มค่ากับการพัฒนาธุรกิจต่อเนื่อง

ส่วนค่า Royalty Fee หรือค่าบริหารนั้น ผลตรวจสอบด้านข้อมูลการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบริหารพบว่ามีการจัดเก็บเฉลี่ยที่ 2.13% ซึ่งธุรกิจแฟรนไชส์ของประเทศไทยมีสัดส่วนมากกว่า 60% ที่ไม่ได้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการบริหารซึ่งทำให้ระบบธุรกิจขาดเงินหล่อ เลี้ยงการพัฒนาจึงมีปัญหาต่อเนื่อง

ข้อมูลด้านอายุสัญญา (ปี) มากกว่า 3 ปีขึ้นไป มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5 ปี ซึ่งเป็นการให้สัญญาค่อนข้างน้อยเกินไป

อย่าง ไรก็ตามปัจจัยชี้ประสิทธิภาพของธุรกิจแฟรนไชส์ประกอบด้วย 3 ปัจจัยดังนี้ 1. การสร้างกำไรในธุรกิจ (Profitability) การยอมรับในตราสินค้า (Brand) ความพร้อมของรูปแบบร้านค้า (Store Concept)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

บทความ ใหม่ล่าสุด

Superman (It's Not Easy)
















...............................................................................
I can't stand to fly
I'm not that naive
I'm just out to find
The better part of me

I'm more than a bird:I'm more than a plane
More than some pretty face beside a train
It's not easy to be me

Wish that I could cry
Fall upon my knees
Find a way to lie
About a home I'll never see

It may sound absurd:but don't be naive
Even Heroes have the right to bleed
I may be disturbed:but won't you conceed
Even Heroes have the right to dream
It's not easy to be me

Up, up and away:away from me
It's all right:You can all sleep sound tonight
I'm not crazy:or anything:

I can't stand to fly
I'm not that naive
Men weren't meant to ride
With clouds between their knees

I'm only a man in a silly red sheet
Digging for kryptonite on this one way street
Only a man in a funny red sheet
Looking for special things inside of me

It's not easy to be me.


ฉันไม่ได้อยากจะเหาะไปเหาะมาทุกวัน
ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น
ฉันก็แค่อยู่เพื่อค้นหา
ตัวตนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

ฉันเป็นมากกว่านก ฉันเร็วกว่าเครื่องบิน
เป็นมากกว่าหน้าตาหล่อๆ ที่คอยบินตามหยุดรถไฟ
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

ฉันหวังจะได้ร้องไห้เสียบ้าง
ซบหน้าลงกับท่อนแขน
เฝ้าแต่โกหกแก้ตัว
ถึงเรื่องบ้านเกิด ที่ไม่เคยแม้ได้เห็น

อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่โปรดอย่าหัวเราะ
เพราะแม้จะเป็นซูเปอร์แมน แต่ก็เลือดไหลได้เหมือนกัน
ฉันอาจจะพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง แต่โปรดอย่าได้ถือสา
กระทั่งเป็นซูเปอร์แมนก็มีความฝันกับเขาได้เหมือนกัน
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

บินบินไปบนฟ้า หนีไปจากตัวเอง
ไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณๆก็ยังคงหลับฝันดีได้
ฉันไม่ใช่คนบ้านะ

วันๆเอาแต่เหาะไปมา
ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ
ผู้ชายน่ะไม่ได้เกิดมา
เพื่อบินเล่นบนก้อนเมฆหรอกนะ

ฉันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ในผ้าคลุมสีแดงตลกๆ
ขุดหาคริปโตไนท์บนถนนเส้นเดิม
ก็แค่ผู้ชายธรรมดาในชุดสีแดงงี่เง่าๆ
มองหาบางสิ่งพิเศษให้กับตัวเอง

ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นซูเปอร์แมน

The Key (เดอะ คีย์) หนังสือจากสำนักพิมพ์ ต้นไม้

เรียกได้ว่าเป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือ เดอะซีเคร็ต ถ้าคุณเป็นหนอนหนังสือตัวจริง ผมว่าคุณคงจะรู้จักหนังสือเหล่านี้ดี ครั้งแรกที่ผมอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ตนั้น ผมยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของ กฎของแรงดึงดูดที่ว่า ใครมีความคิดเช่นไรก็จะเป็นคนเช่นนั้น ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จหรือกำลังล้มเหลวในชีวิต ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความคิดของเราเอง ผมคงไม่สามารถบรรณยาย ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้หมดสิ้น แต่ด้วยความปราถนาดีจากผมจริงๆที่ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผุ้อื่นบ้าง

ปฏิญญาณของผู้มองแง่ดี

สัญญากับตัวเองว่า

จะเข้มแข็งเสียจนไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนความสงบสุขทางใจของคุณได้
จะพูดถึง สุขภาพดี ความสุข และความรุ่งเรือง แก่ทุคคนที่คุณพบ
จะทำให้เพื่อนทั้งหมดของคุรรู้สึกว่ามีบางสิ่งดีๆในตัวพวกเขา
จะมองที่ด้านสว่างของทุกสิ่งและทำให้การมองแง่ดีของคุณกลายเป็นความจริง
จะคิดแต่เรื่องที่ดีที่สุด ทำงานให้แก่คนดี ให้แก่สิ่งดีที่สุด และคาดหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุด
จะมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้อื่นมากเท่ากับของคุณเอง
จะลืมความผิดพลาดในอดีตและเพียรพยายามไปสู่การบรรลุความสำเร็จของอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
จะดำรงใบหน้าอันร่าเริงตลอดเวลาและทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่คุณพบยิ้ม
จะให้เวลาแก่การปรับปรุงพัฒนาตัวเองมากเสียจนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะวิจารณ์คนอื่นๆ
จะเป็นคนที่ใหญ่กว่าความกังวล สง่างามกว่าความโกรธ แข็งแกร่งกว่าความกลัวและมีความสุขเกินกว่าที่จะอนุญาตให้มีความยุ่งยาก
จะคิดแก่ตัวเองและอ้างสิทธิ์ข้อเท็จจริงแก่โลก ไม่ใช่ด้วยคำพูดดังแต่ด้วยการกระทำที่ยิ่งใหญ่
จะใช้ชีวิตโดยศัทธาว่าโลกทั้งใบอยู่ข้างคุณตราบนานเท่าที่คุณยังเที่ยงตรง ต่อสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในตัวคุณ

หมายเหตุ จาก ปฏิญญาของผู้มองแง่ดี ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1912 หนังสือของ คริสเตียน ดี ลาร์สัน ชื่อ Your Forces and How to Use Them ฉบับย่อของมันใช้กันทุกวันนี้ โดย Optimist Interna tional ซึ่งเป็นกลุ่มคนทั่วโลกที่มุ่งไปที่การทำให้ความแตกต่าง ที่เป็นบวกเกิดขึ้นในโลก

**คัดมาจากหนังสือ เดอะคีย์ จากสำนักพิมพ์ ต้นไม้