วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สิ่งน่ารู้...สำหรับคนหางาน

สิ่งน่ารู้...สำหรับคนหางาน

สิ่งที่ใช้พิจารณาคัดเลือกพนักงาน



หลักการสำคัญในการคัดเลือกของผู้รับสมัครงานคือ \"พยายามหาคนที่เหมาะสมกับงาน\" คือ พยายามเลือกบุคคลที่ดีที่สุดมาร่วมงาน เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ รวมถึงการพิจารณา ความพร้อม เช่น พิจารณาบุคคลเรื่องคุณวุฒิ ความรู้ ความสามารถ

สิ่งที่นายจ้างค้นพบในตัวคุณแล้วต้องการจะจ้างคุณก็คือ

1. ลักษณะความเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่แสดงออกคือ

- คุณเรียนรู้และยอมรับข้อจำกัดของตนเอง

- มีเป้าหมายในการทำงานอย่างชัดเจน

- มีความรับผิดชอบสูง

2. การปรับอารมณ์ ลักษณะที่แสดงออกคือ

- สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีในขณะที่เผชิญกับความขัดแย้งและความไม่พอใจ

- สามารถรักษาและควบคุมให้มีความสมดุลระหว่างอารมณ์และสภาวะทางจิตใจเมื่อเผชิญกับปัญหาส่วนตัว เช่น การเจ็บป่วยของคนในครอบครัว

3. การทำงานเป็นทีม ลักษณะที่แสดงออกคือ

- เคยทำงานในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของทีมทำงานที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม ของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย กิจกรรมของหมู่บ้าน / ชุมชน หรือการทำงานที่ที่ทำงาน

- ให้ความสำคัญแก่ความสำเร็จของกลุ่มก่อนความสำเร็จส่วนตัว

- มีความฉลาดแนบเนียนในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลหรือสมาชิกอื่น ๆ ในทีม

4. การยอมทำงานหนัก ลักษณะที่แสดงออกคือ

- เคยทำงานมาหลายประเภท มีความอดทนต่อสภาพงานหลาย ๆ แบบ

- ผลการเรียนได้คะแนนสูงทั้งที่สติปัญญาปานกลาง

- ประสบการณ์หรือพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เป็นผู้ทำงานหนักได้ เช่น การเรียน ภาคค่ำขณะที่กลางวันทำงานเต็มเวลา

5. ความซื่อตรงและความจริงใจ ลักษณะที่แสดงออกคือ

- สภาพแวดล้อมชีวิตในวัยเด็กกระตุ้นและส่งเสริมให้เติบโตด้วยความมีศีลธรรม

- ยินดีที่จะพูดถึงตนเองทั้งในด้านดีและไม่ดีอย่างตรงไปตรงมา

- เป็นคนรักษาเกียรติยศ ชื่อเสียงของตนเอง

- ข้อสำคัญคือลักษณะท่าทางของคุณต้องเป็นธรรมชาติ คำตอบของคุณต้องอยู่บนพื้นฐานแห่ง ความเป็นจริง อย่าให้ข้อมูลที่เป็นเท็จเป็นอันขาด ถ้าผู้สัมภาษณ์ตั้งข้อสังเกตขึ้น และพยายามค้นหาข้อเท็จจริงแล้วอาจจับเท็จได้และโอกาสที่คุณจะได้ทำงานทำก็หมดไปด้วย

- ตัวอย่างวิธีการในการคัดเลือกผู้สมัครงาน

1. ด้านการศึกษา พิจารณาว่าผู้สมัครงานสำเร็จการศึกษาวิชาใด, ผลการศึกษา, ความ สามารถในการเรียนรู้ เหตุผลทีเลือกเรียนสาขาวิชาที่จบมามีแผนการศึกษาต่อหรือไม่ เคยเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างศึกษาหรือไม่

2. ด้านประสบการณ์และความสำเร็จ คือสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานนอกเหนือจากที่ได้ ศึกษาจากห้องเรียน เพื่อดูว่าในการทำงานที่ผ่านมาได้เคยพยายามใช้ความรู้ความสามารถที่ได้จากการศึกษามาปฏิบัติให้เกิดผลดีกับงานที่ทำเพียงใด พิจารณาดูว่างานใดที่ผู้สมัครงานพึงพอใจมากที่สุด เหตุผลใดจึงสนใจในกิจการนั้นเป็นพิเศษ ให้เล่าประวัติการทำงานและหน้าที่ที่รับผิดชอบ

3. ด้านบุคลิก, อารมณ์ ความเชื่อมั่น และการสร้างความเชื่อถือ บุคลิกลักษณะ รูปร่าง หน้าตา เป็นปัจจัยประกอบโดยเฉพาะงานที่ให้บริการจะมีความสำคัญสูงมาก ความเชื่อมั่นของตนเอง พิจารณาจากความสามารถในการปรับปรุงตนเองให้ตรงกับสถานการณ์ที่แตกต่างได้แค่ไหนเพียงใด มีลักษณะเป็นคนที่มีนิสัยชอบใช้สติปัญญาของตนเองให้เกิดประโยชน์แก่งานหรือชีวิตประจำวันแค่ไหน เพียงใด

ตัวอย่างหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้สมัครงานระดับหัวหน้างาน

1. ความสามารถในการเป็นผู้นำ

2. ความสามารถในการปรับตนให้เข้ากับสถานการณ์

3. ความทะเยอทะยานที่จะดำรงตำแหน่งสูงขึ้นไป

4. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

5. ความประพฤติ นิสัยใจคอ ตลอดจนคุณภาพและมาตรฐานของงานที่ปฏิบัติ

จุดอ่อนที่ทำให้คุณตกงาน มีลักษณะดังต่อไปนี้

1. ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

2. เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป

3. สื่อความไม่เป็น

4. เลื่อนลอย ไม่มีจุดยืน ไม่มีจุดมุ่งหมาย

5. ผลการเรียนอ่อน

6. อายุมาก

7. คุยโอ้อวดแต่ทำอะไรไม่เป็น

8. เรียนในสาขาวิชาที่หางานยาก

9. ไม่ต้องการทำงาน แต่ถูกครอบครัวบังคับ ซึ่งลักษณะเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ทั้งสิ้น เช่น

การขาดความเชื่อมั่นในตนเอง วิธีการแก้ไขก็คือคุณจะต้องคิดว่าสิ่งที่คุณกังวลอยู่นั้นเป็น เพราะความคิดหลอกคุณ ถ้าหากคุณไม่กล้าพบคนแปลกหน้าต้องถามตนเองว่า คุณรู้จักกับใครบ้าง ในละแวกบ้าน คุณมีเพื่อนกี่คนในห้องเรียน คุณมีเพื่อนต่างห้องกี่คน คุณรู้จักอาจารย์ใหม่ๆในโรงเรียน /มหาวิทยาลัยกี่คน แล้วคุณเริ่มพูดคุยสนทนาหรือรู้จักกับบุคคลเหล่านั้นอย่างไร ครั้งแรกคุณอาจรู้สึก เขินหรือประหม่า แล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางให้คุณคิดวิธีที่จะคบกับคนแปลกหน้าได้

การเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้สมัครที่ต้องช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ต้องอุปสรรคต่างๆแล้วก็ผ่านพ้นเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้ จนความรู้สึกนั้นกลายเป็นปมเด่นของ ตนเองจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องพึ่งพาใครบุคคลเหล่านี้เวลาที่ให้ร่วมงานกับใครมักมีปัญหาคือเข้ากัน กับผู้อื่นไม่ค่อยได้ ทำงานไม่ราบรื่น

- การแก้ไขลักษณะแบบนี้คือ คุณจะต้องกลับไปศึกษาถึงประวัติความผิดพลาดของตัวเองว่าเคยผิดพลาดเรื่องอะไรบ้าง ความผิดพลาดนั้นเกิดจากสาเหตุอะไร เกิดจากการที่คุณไม่ ปรึกษาหารือใครเลยหรือไม่ และถ้าผู้ให้คำปรึกษานั้นได้ให้คำปรึกษาแล้วเราทำตามวิธีของคนอื่น บ้างไหม เมื่อคุณยอมเป็นผู้ตามบ้างคุณประโยชน์อะไรบ้าง คุณมีเพื่อนฝูงเพิ่มขึ้นบ้างไหม ซึ่งการ ฝึกตนเองขั้นต้นก็ให้คุณยอมทำตามญาติพี่น้องแล้วก็เพื่อนฝูงบ้าง ต่อไปคุณก็จะค่อยชินเอง เพราะเมื่อคุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงแล้ว คุณก็จะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น คนอื่นจึงชักจูงคุณ ได้ยาก คุณจึงสามารถจะเลือกรับแต่สิ่งที่ดีได้เพื่อตนเอง

อายุมาก คุณต้องคิดว่าคุณมีดีอะไรที่จะไปอวดเขาได้ถึงแม้ว่าคุณจะมีอายุมากกว่าคนอื่นไปบ้าง แต่คุณก็เต็มไปด้วยคุณภาพ



ที่มา : Power By SiamHRM.com



ความสามารถที่นายจ้างต้องการ



ผู้เขียนให้ความสำคัญในเรื่องความสามารถในเชิงพฤติกรรมค่อนข้างมาก เพราะเห็นว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการศึกษา ประสบการณ์ในงานสายอาชีพและคุณสมบัติอื่น ๆ

ความสามารถไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องที่ถูกมองข้ามมาโดยตลอด ดังนั้น จึงมักไม่ค่อยมีระบุไว้ในใบพรรณนาหน้าที่งานในส่วนที่เกี่ยวกับคุณสมบัติ และเน้นการค้นหาความสามารถระหว่างการสัมภาษณ์มากนัก ซึ่งเป็นที่มาและสาเหตุสำคัญของความผิดพลาดในการคัดเลือก

ผู้เขียนได้มีโอกาสตรวจดูประกาศรับสมัครงานอย่างคร่าว ๆ 290 แผ่น และพบว่าเพียงแค่ 45 แผ่น หรือประมาณร้อยละ 16 % เท่านั้นที่มีการระบุความสามารถในการประกาศรับสมัครงาน

สำหรับความสามารถที่พบว่ามีการใช้กันมากที่สุดมีดังนี้

- มนุษยสัมพันธ์

- ความอดทน

- ความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย

- การทำงานภายใต้ความกดดัน

- ความกระตือรือร้น

- ภาวะผู้นำ

- ความคิดสร้างสรรค์



ส่วนความสามารถอื่น ๆ ที่ระบุในประกาศรับสมัครงานมีดังนี้

- รักงานบริการ

- การทำงานเป็นทีม

- การเจรจาต่อรอง

- ความซื่อสัตย์ ความซื่อตรง

- การวิเคราะห์

- การคิดเชิงกลยุทธ์

- การนำเสนอ

- การแก้ปัญหา

- การจูงใจตัวเอง

- การประสานงาน

- ความร่วมมือ

- ความรอบคอบ



การที่ไม่ได้ระบุความสามารถที่ต้องการในใบสมัคร ก็มิได้หมายความว่าสถานประกอบการเหล่านั้นไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่อาจจะเป็นเพราะเนื้อที่จำกัดและมีราคาแพง ประเด็นสำคัญอยู่ที่การค้นหาความสามารถระหว่างการสัมภาษณ์และการคัดเลือก แต่ถ้าไม่ได้ระบุและไม่ได้ค้นหาด้วยแล้ว โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในการคัดเลือกมีสูงมาก

ผู้เขียนคิดว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงในเรื่องเนื้อหาในประกาศรับสมัครงาน ควรระบุความสามารถที่ต้องการ ไว้บ้างเพื่อแสดงให้เห็นความสำคัญและเป็นการช่วยกลั่นกรองผู้สมัครได้ในระดับหนึ่ง

ความสามารถที่นอกเหนือจากที่พบในประกาศรับสมัครงานยังมีอีกมาก ดังเช่นที่จะกล่าวต่อไปนี้

- ความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้สำเร็จ (Commitment)

- การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Continuous Learning)

- การให้ความสนใจกับลูกค้า (Customer Focus)

- การผลักดันให้เกิดผลสำเร็จ (Drive for Results)

- การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี (Collaboration/Team work)

- การปรับตัว (Adaptability)

- การรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น (Sensitivity)

- การกล้าตัดสินใจ (Decisiveness)

- การพัฒนาผู้อื่น (Developing Others)

- การใช้ดุลพินิจ (Judgment)

- ความสามารถในการโน้มน้าวชักจูง (Influence) และอื่น ๆ อีกมาก



ความสามารถเป็นเครื่องช่วยให้ผู้ดำรงตำแหน่งทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่า ปัญหาที่พบอยู่เสมอ ๆ มีอยู่หลายลักษณะ เช่น ทำงานเก่งแต่ขาดภาวะผู้นำ ทำงานสำเร็จแต่ต้องทะเลาะกับผู้อื่นอยู่เสมอ ๆ คิดเก่งทำเก่งแต่นำเสนอไม่เป็น เข้ากับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนร่วมทีมไม่ได้ ท้อถอยหรือยอมแพ้และเปลี่ยนจุดยืนง่าย ๆ พอใจในสภาพที่เป็นอยู่และไม่มีความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาหรือปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น

ไม่รู้จักจูงใจตัวเองแต่ต้องคอยให้ผู้อื่นช่วยกระตุ้น หรือมีเครื่องช่วยกระตุ้นหรือมีรางวัลจูงใจ (ไม่มีไม่ทำ) ไม่กล้าได้กล้าเสียและกล้าตัดสินใจ เป็นต้น

คนที่นายจ้างอยากจะได้ก็คือบุคคลที่เก่งในเรื่องงานและมีความสามารถอื่น ๆ อย่างเพียบพร้อม ความสามารถนี่แหละที่จะช่วยนำความเก่งในเรื่องงานและความรู้ที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ผู้สัมภาษณ์จะต้องเน้นเรื่องความสามารถให้มากขึ้นกว่าเดิม ส่วนผู้สมัครก็จะต้องสำรวจตรวจ-สอบความสามารถและปรับปรุงความสามารถของตัวเอง นอกจากนั้นยังจะต้องพิสูจน์ให้ผู้สัมภาษณ์เห็นระหว่างการสัมภาษณ์และระหว่างการทดลองงาน





การตัดสินใจภายหลังการสัมภาษณ์ ของบริษัทฯ



เหตุผลในการตัดสินใจรับบุคคลเข้าทำงาน ภายหลังการสัมภาษณ์ได้แก่



1. งานรอ ต้องรีบหาคนทำมิฉะนั้นเกิดความเสียหายได้ ในปัจจุบันตลาดแรงงานค่อนข้างขาดแคลนผู้สมัครงานที่เหมาะสมหรือมีจำนวนน้อย ทำให้เกิดการแย่งตัวผู้สมัครงาน ดังนั้นกิจการที่ขาดแคลนคนทำงานถ้าสัมภาษณ์ผู้สมัครที่ถูกใจแล้ว นายจ้างต้องรีบตัดสินใจโดยเร็ว มิฉะนั้นอาจถูก หน่วยงานอื่นที่เปิดรับสมัครแย่งตัวไป

2. ผู้สมัครงานเคยผ่านงาน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานที่ผ่านตรงกับลักษณะงานที่หน่วยงาน เปิดรับ บริษัทก็จะตัดสินใจรับเข้าทำงานทันที เพราะบริษัทไม่ต้องมาเสียเวลาในการสอนงาน

3. เป็นคนเก่ง มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของคนในวงการทั่วไป

4. ผู้สมัครเป็นคนดีและมีแววว่าสอนงานง่าย ถึงแม้ยังไม่เก่งก็ตาม ผู้สมัครที่มีสัมมาคารวะอ่อน น้อม มารยาทดี ไม่ก้าวร้าว เพียงแต่ได้มีโอกาสทดลองทำงานดู บางหน่วยงานก็ตัดสินใจรับเพราะมีแววว่านอนสอนง่าย ส่วนคนที่แสดงความเก่งเกินไปบางหน่วยงานก็อาจไม่ชอบ

5. คาดว่าจะอยู่ทำงานกับบริษัทหลายปี

6. กิริยามารยาทเป็นที่ประทับใจและคาดว่าจะมีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน

7. มีสิ่งบ่งบอกว่าผู้สมัครงานอาจมีส่วนเอื้ออำนวยประโยชน์ให้บริษัทในหลายประการ เช่น ผู้ สมัครงานรู้จักคนมาก รู้แหล่งวัตถุดิบ ฯลฯ เป็นต้น

8. เป็นผู้ที่คนรู้จักแนะนำมาและมั่นใจว่าเป็นคนที่อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้หรือมีพี่น้อง พ่อแม่ ทำงาน อยู่กับบริษัท

9. มีความรู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ดี

10. สามารถไปทำงานต่างจังหวัดเป็นครั้งคราว หรือไปประจำต่างจังหวัดได้



เหตุผลที่บริษัทตัดสินใจปฏิเสธการรับผู้สมัครเข้าทำงาน



1. ประวัติการทำงานไม่ดี เช่น เป็นผู้ที่ขาดความอดทน เลือกงาน เปลี่ยนงานบ่อยโดยไม่มีสาเหตุ (ยกเว้นบริษัทเดิมเลิกกิจการ)

2. มีนิสัยที่ชอบทำงานคนเดียวเข้าร่วมทีมงานไม่ได้

3. ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอในตำแหน่งงานที่สมัคร ไม่รู้เรื่องงานที่สมัครว่างานมีขั้น ตอนอย่างไรบ้าง

4. ผลการปฏิบัติงานในอดีตล้มเหลวมาตลอด

5. กำลังเรียนต่อ และคาดว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาอาจจะลาออก

6. มีโรคประจำตัวที่ขัดกับธุรกิจของบริษัท

7. ไม่สามารถเดินทางไปทำงานยังต่างจังหวัดได้ หรือไม่ค่อยมีอิสระพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับงาน ของบริษัทได้เต็มที่

8. มีบุตรหลาน ญาติหรือสามีทำงานให้กับคู่แข่งขัน ซึ่งอาจเสี่ยงต่อข้อมูลรั่วไหลได้

9. มีแนวโน้มที่ต้องการมาทำงานหาประสบการณ์เพียงปีเดียวหรือ 2 ปีเท่านั้น

10. ชอบแต่งานวิชาการ ไม่ชอบหรือไม่ถนัดงานปฏิบัติ

11. เป็นบุคคลที่เคยมีประวัติอาชญากรรม เคยต้องโทษคดีอาญา ซึ่งอาจมีผลให้บริษัทเสียภาพ พจน์ได้



ทัศนคติที่ดีในการทำงาน มีความสำคัญอย่างไรในการหางาน



ณ วันนี้ยังคงเป็นโอกาสทองของบริษัทต่างๆ ในการคัดเลือกบุคลากรเข้าร่วมงานซึ่งทุกบริษัทก็ล้วนแล้วแต่ต้องการบุคลากรที่มีความเหมาะสมที่สุดสำหรับบริษัทของตนเองทั้งสิ้น และทำอย่างไรจะให้ตัวเราเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ที่ได้รับการคัดเลือก ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน

\"เตรียมพร้อมก่อนทำงาน\" ฉบับนี้เราได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสรรหาบุคลากรของบริษัท บอดี้เชฟ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในการดำเนินธุรกิจทางด้านศูนย์บริการสุขภาพ และความงาม โดยเน้นการลดไขมันเฉพาะส่วน และฟื้นฟูทรวงอก ที่มีศูนย์บริการมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต เซ็นทรัลพระราม 3 เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เซ็นทรัลบางนา เซ็นทรัลลาดพร้าว เดอะมอลล์บางกะปิ เดอะมอลล์บางแค สยามเซ็นเตอร์ ซีคอนสแควร์ และบิ๊กซี นครปฐม ในฉบับนี้ทางบริษัท บอดี้เชฟ จำกัด ได้มาให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังมองหางานทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงของการทำงานด้านบริการ



สำหรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกพนักงานของบริษัท

เนื่องจากรูปแบบของงานที่บริษัทดำเนินการนั้นเป็นธุรกิจการให้บริการเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราให้ความสำคัญในการพิจารณาคือ

- Personality หรือเรื่องของบุคลิกภาพ ผู้สมัครจะต้องมีบุคลิกภาพที่เหมาะสม สามารถให้คำแนะนำลูกค้าได้อย่างเต็มที่

- Sale & Mktg. Talent/Mind/Skill หรือหัวใจในงานบริการงานขายและงานการตลาด เพราะเราถือว่าความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาศูนย์บริการจะต้องได้รับความพึงพอใจสูงสุด

- Positive Attitude พนักงานทุกท่านควรมีทัศนคติที่ดีในการทำงาน จะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ถ้าคุณเข้ามาสมัครตำแหน่งพนักงานขาย เมื่อสัมภาษณ์เราจะดูที่บุคลิกของคุณก่อนว่า คุณมีบุคลิกที่ดีไหม มีความน่าเชื่อถือพอที่ลูกค้าจะซื้อของหรือเปล่า การแต่งตัว ผม หน้าตา คุณทำมาอย่างเรียบร้อยไหมเรื่องการพูดจาว่าในบางตำแหน่งที่ต้องติดต่อกับลูกค้า ก็ต้องดูว่าคุณมีทักษะในการพูดจาโน้มน้าวจิตใจคนหรือเปล่า และมีทักษะในการแก้ปัญหาอย่างไร เรื่องวุฒิการศึกษาหรือสถาบันการศึกษาไม่จำเป็น ถ้าคุณรักงานขาย รักงานบริการ และคุณมีใจรักทางด้านนี้ คุณมีความเป็นเซลล์ มีเลือดของการเป็นพนักงานขาย คุณเรียนจบสถาบันไหนมาเราก็รับได้ สิ่งสำคัญผู้สมัครควรมีความสามารถเฉพาะทาง เช่น ต้องเสริมทักษะความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ และภาษาอังกฤษด้วย

สมัครงานอย่างไรถึงทำให้ไม่ได้งานทำ

จุดนี้มีองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน ได้แก่ เอกสารประกอบการสมัครงานต่างๆ Resume, ประวัติการทำงาน, ช่วงเวลาการทำงาน, ใบผ่านงาน, บุคคลอ้างอิง, ใบรับรองเงินเดือนต่างๆ เหล่านี้ระบุไม่ชัดเจน คลุมเครือหรืออาจจะเป็นบุคลิกภาพไม่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน และไม่มีทักษะความรู้ความสามารถพิเศษด้านภาษาและคอมพิวเตอร์ บางคนเกี่ยงงาน เกี่ยงรายได้ที่ทำการตกลงกันไว้ รายได้อยู่ที่มาตรฐานของเรา เพราะถือว่าเป็นการเริ่มต้น แต่บางทีพนักงานที่มาสมัครอยากจะได้มากกว่าทั้งๆ ที่ว่าคุณยังไม่ได้แสดงให้เราเห็นเลยว่า คุณมีความสามารถขนาดไหน นอกจากนี้ผู้จบการศึกษาใหม่มักเลือกงาน และเรียกร้องสูงกว่าประสบการณ์ และความสามารถที่ให้บริษัท การพิจารณาเงินเดือนสูงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการประเมินผลการปฏิบัติงาน

หวังว่าสิ่งเหล่านี้คงมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังหางานทำเป็นอย่างยิ่ง… ลองพิจารณาดูตัวคุณเองว่ามีจุดด้อยตรงไหนที่ทำให้ไม่ได้รับการคัดเลือกสักที แล้วลองปรับปรุงพัฒนาตัวเองในสิ่งเหล่านั้น คิดว่าไม่นานคุณก็คงเป็นคนหนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกอย่างแน่นอน..



กลวิธีการทำงานร่วมกับ เจ้านาย(ฝรั่ง)



หากคุณต้องทำงานกับเจ้านาย หรือนายจ้างที่เป็นชาวต่างชาติ คุณจะมีวิธีปฏิบัติตัวอย่างไรให้เป็นที่ประทับใจหรือเข้าตาเจ้านายฝรั่งของคุณ??

คำถามนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ แต่ถึงคุณจะไม่ได้ทำงานกับชาวต่างชาติจริงๆ ก็สามารถนำกลวิธี หรือวิธีการที่จะกล่าวต่อไปนี้ไปใช้กับ เจ้านายคนไทยก็ได้เช่นกัน เราลองมาดูกันซิว่าวิธีหรือกลวิธีที่ว่ามีอะไรกันบ้าง

เคล็ดลับในการทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ

1. จะรับปากอะไรก็ตามขอให้แน่ใจว่าเราสามารถทำได้

การที่คุณทำงานกับเจ้านายที่เป็นชาวต่างชาติ ประเด็นสำคัญของการทำงานร่วมกันคือ ผลงานที่ออกมา หลาย ๆ คนไม่กล้าจะปฏิเสธคำสั่งหรือกล้าจะพูดและแสดงความคิดเห็นเมื่องานที่ได้รับมอบหมายมันยากที่จะปฏิบัติให้สำเร็จตามแผนงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของเวลา (เส้นตาย) ขอให้คุณแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างสุภาพและตรงไปตรงมา

อย่าเกรงใจโดยการพยักหน้าและบอกว่า Yes ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึง \"เรากำลังรับฟัง\" หากแต่ชาวต่างชาติเขาจะตีความหมายว่า \"เราเห็นด้วยและตกลง\" ตามนั้น ซึ่งเป็นการ \"รับปาก (Promise)\" สำหรับชาวต่างชาติเมื่อเรารับปากอะไรก็ตามแล้วเราไม่สามารถทำได้ นั่นหมายถึงคุณได้ทำลายความเชื่อถือ (Trust) ในตัวคุณลงโดยไม่รู้ตัว และในคราวต่อไปเราคงต้องใช้ความพยายามมากขึ้นอย่างมหาศาลเพื่อเรียกความเชื่อถือกลับมา เพราะขาดความไว้วางใจกันเสียแล้ว

ดังนั้น หากจะรับปากอะไรก็ตามขอให้แน่ใจว่าเราสามารถทำได้ตามที่รับปากเช่นนั้นจริง ๆ

2. กล้าที่จะถาม เมื่อมีปัญหา

ชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะรู้สึกยินดีเมื่อมอบหมายงานแล้วลูกน้องมีคำถาม เพราะเป็นการแสดงถึงว่าเราให้ความสนใจกับรายละเอียดของงาน และเรายังแสดงออกถึงความต้องการที่จะเข้าใจเพื่อจะได้ทำงานให้สำเร็จลุล่วง

หลาย ๆ คน ไม่ชอบถาม อาจจะกลัวเสียหน้าหรืออายที่จะถาม จงระลึกอยู่เสมอว่าเราอาจจะเสียหน้าบ้าง แต่ว่าดีกว่าสูญเสียความน่าเชื่อถือจากหัวหน้างานหรืออาจจะตกงานได้ง่าย ๆ หากเราเข้าใจผิด เพราะเราจะทำอะไรในคนละเรื่องกับสิ่งที่เขาต้องการก็เป็นได้ ฉะนั้น ต้องกล้าที่จะถามเมื่อไม่เข้าใจหรือมีปัญหา

3. เกิดความผิดพลาดในงาน ต้องรีบบอกเจ้านาย

กรณีที่คุณทำงานแล้วเกิดข้อผิดพลาดแล้วปกปิดเรื่องนั้นไว้ เพราะเกรงว่าจะทำให้ตัวเองถูกตำหนิหรือด้วยเหตุอื่นๆ แต่ว่าความจริงแล้วหากคุณบอกเจ้านายแต่เนิ่น ๆ ความเสียหายที่เกิดขึ้นและโอกาสของการแก้ไขปัญหาก็ง่ายขึ้นกว่าการปล่อยให้เนิ่นนานออกไป

แน่นอนที่สุด คุณอาจจะถูกเจ้านายของคุณโกรธบ้าง แต่แน่ใจได้เลยว่าเขาจะยิ่งโกรธมากขึ้นแน่ ๆ หากปล่อยให้เนิ่นนานออกไป หรือละเลยให้ความเสียหายยิ่งบานปลาย

มีคนเคยกล่าวไว้ในสมรภูมิการรบว่า \"วันใดที่ทหารของคุณเลิกนำปัญหามาปรึกษากับคุณ แสดงว่าคุณไม่ได้เป็นผู้นำของเขาแล้ว เพราะเขาคงคิดว่าคุณไม่สามารถช่วยเขาได้หรือคุณไม่แคร์ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตามถือว่าคุณล้มเหลวในความเป็นผู้นำ\" คำกล่าวนี้น่าจะทำให้คุณกล้าที่จะเผชิญกับปัญหาแต่เนิ่น ๆ แล้วโดนตำหนิบ้างนิดหน่อย ดีกว่าปล่อยให้กลายเป็นเรื่องใหญ่

4. การสื่อสารระหว่างคุณกับเจ้านายต้องชัดเจน

สำหรับคนไทย การพูดตรงไปตรงมามักจะต้องระมัดระวังคำพูดมิให้คำกระทบกระทั่งความรู้สึกของคนอื่น บ่อยครั้งทำให้เราพูดอ้อมค้อมเกินไปและไม่ตรงประเด็น แต่กับเจ้านายหรือชาวต่างชาติการพูดหรือสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาจะทำให้เขาพอใจมาก สัญญาณที่จะได้รับเมื่อเจ้านายคุณไม่เข้าใจคือ \"คุณหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า...(What do you mean by that...?)\" เมื่อเจออย่างนี้ต้องรีบแก้ไข

สำหรับเคล็ดลับหรือวิธีการที่ดีที่สุด คือ คุณต้องลำดับความคิดของคุณก่อน อาจจะเป็นการนั่งลงพร้อมกับกระดาษ แล้วเขียนความคิดของคุณว่าคุณต้องการคุยเรื่องอะไร มีที่มาหรือภูมิหลังว่าอย่างไร เกิดปัญหาอะไรขึ้นอะไรเป็นสาเหตุ มีข้อมูลอะไรสนับสนุน สุดท้ายมีข้อเสนอแนะอะไรสำหรับปัญหานั้นบ้าง และควรจะเสนอแนะหลาย ๆ ทางเลือก รวมทั้งเสนอทางเลือกในความเห็นของคุณ หากจะให้ดีก็ควรวิเคราะห์ต่อเนื่องถึงผลลัพธ์ หากตัดสินใจเลือกทางเลือกนั้นจะเกิดผลกระทบหรือความเสี่ยงอะไรตามมาได้บ้าง

5. รายงานความคืบหน้าของงานเป็นระยะ

เจ้านายหรือหัวหน้างานส่วนใหญ่ต้องการทราบผลความคืบหน้าของงานเป็นระยะๆ เราควรจะรายงานเจ้านายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

ในเรื่องของความถี่และรายละเอียด รูปแบบการสื่อสารก็อาจจะต้องศึกษาเจ้านายของคุณว่าเขาชอบให้รายงานทางโทรศัพท์ คนบางคนต้องรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร คนบางคนต้องรายงานด้วยวาจาทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ ดูตามสไตล์ของแต่ละคนแล้วปรับประยุกต์ใช้

6. บันทึกสิ่งที่คุณทำเป็นลายลักษณ์อักษร

การบันทึกสิ่งที่คุณทำ บันทึกความเข้าใจ (MEMO) บันทึกการประชุม หรือรายละเอียดของงานจะช่วยคุณได้หลายกรณี เช่น ช่วยให้ทุกคนมีความเข้าใจตรงกัน

นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่บันทึกผลงานและความสำเร็จต่างๆ ของเรา เราสามารถนำไปใช้อ้างอิงในอนาคต หรือนำไปใช้เมื่อต้องพิจารณาผลงานของเรา และยังเป็นหลักฐานยืนยันกับหัวหน้างานคนใหม่ เพราะเราในอนาคตหากมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้างาน

ทั้ง 6 ประการที่กล่าวมาข้างต้น น่าจะเป็นแนวที่ดีสำหรับผู้ที่มีเจ้านายเป็นชาวต่างชาติ แต่อย่างว่าละครับ..กลวิธีที่ได้กล่าวไปแล้วไม่เฉพาะเจ้านายที่เป็นชาวต่างชาติ คนไทย หรือคนที่ไหนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานของคุณได้ทั้งหมดนะครับ



ทำอย่างไรดี....เมื่อไม่มีงานทำ



สำหรับผู้ที่ประสบปัญหา...ว่างงาน...ทั้งหลาย อย่ามัวแต่นั่งรอ นอนรอ หรือแม้แต่เดินรอโอกาสของการได้งานจะมาถึงตัวคุณนะจ๊ะ ทั้งนี้และทั้งนั้นคงไม่มีงานวิ่งมาชนคุณเป็นแน่แท้ ในระหว่างที่ยังไม่มีงานทำ คุณควรเตรียมความพร้อมหรือซักซ้อมฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณค่าให้ตนเอง เพื่อให้เกิดการต่อเนื่องในการดำเนินชีวิต สร้างกำลังใจให้กับตนเองไม่ให้เกิดความว้าวุ่น หรือวิตกกังวลมากเกินไป

ควรหางานประเภทอาสาสมัครทำไปก่อน เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ และนอกจากนี้ยังทำให้เรามีความชำนาญ และมีประสบการณ์ขึ้นอีกด้วย การทำเช่นนี้จะช่วยให้เรามีความกระฉับกระเฉงและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และยังได้รับรู้สิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และนายจ้างก็จะมองว่าเราใช้เวลาในช่วงนั้นอย่างมีคุณค่า

มีความมั่นใจในการไปสอบสัมภาษณ์เสมอ อย่าคิดว่าตนเองต่ำต้อย หรือด้อยกว่าผู้อื่น เพราะจะทำให้เราดูเป็นคนหมดราศี และยังเป็นการดูถูกตัวเองอีกด้วย มีความพร้อมที่จะเข้ารับการสอบสัมภาษณ์อยู่ตลอดเวลา

หาความรู้เพิ่มเติม เช่น เรียนพิเศษในวิชาชีพต่าง ๆ เป็นต้นว่า เรียนคอมพิวเตอร์ พิมพ์ดีด หรือภาษาต่างประเทศ นอกจากนี้ก็ควรติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา อย่าทำตนเป็นคนล้าหลังไม่ทันโลก

พยายามติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อน ๆ หรือญาติ ๆ ที่มีงานทำอยู่แล้ว และคอยสอดส่องดูแลว่ามีตำแหน่งที่เหมาะสมกับเราว่างบ้างหรือไม่ เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ที่เรารู้จัก รวมทั้งครูอาจารย์ เพื่อขอคำแนะนำจากเขาเหล่านั้น

มีกำลังใจกล้าแข็ง ไม่ท้อแท้ ต้องพยายามเอาชนะปัญหา พึงระลึกไว้เสมอว่าความพยายามและความอดทนเท่านั้นที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง

วิธีเหล่านี้จะเป็นตัวช่วย และเป็นแนวทางสำหรับนำไปปฏิบัติหรือประยุกต์ก่อนปฏิบัติเพื่อเตรียมความพร้อม เพิ่มมูลค่าของตนเองให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทั้งในสายตาของครอบครัว และนายจ้าง โอกาสในการได้งานทำก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง จริงมั้ย



เสริมสร้าง "บุคลิกภาพ" เพื่อให้ได้งาน



มีหลักฐานเพิ่มขึ้นทุกทีว่า บุคลิกพิเศษถือเป็นสิ่งมีคุณประโยชน์อย่างหนึ่ง ในการเป็นผู้นำ ผู้นำทั้งในอดีตและปัจจุบันส่วนใหญ่มีความโดดเด่นในเรื่องบุคลิกเป็นพิเศษ ไม่ว่า จะเป็น จอห์น เอฟ.เคนเนดี้, มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์, สตีฟ จ็อบส์, แมรี่ เคย์ แอช, เท็ด เทอร์เนอร์, ริชาร์ด แบรนสัน, มาร์กาเรต แธตเชอร์ และบิล คลินตัน

บุคลิกพิเศษที่ทำให้ผู้นำแตกต่างจากผู้อื่น ได้แก่ ความเชื่อมั่นในตัวเอง การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนไป จนถึงอนาคต ความสามารถในการบรรยายถึงวิสัย- ทัศน์ ความมั่นใจในวิสัยทัศน์ของตนเอง และความมุ่งมั่นที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เรามักจะคิดกันว่า บุคลิกพิเศษเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับตัวผู้นำ อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานยืนยันว่า ทุกคนสามารถฝึกฝนตัวเองให้มีบุคลิกพิเศษ และจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ใครๆ ก็คิดว่า เราเป็น \"ผู้นำที่มีบุคลิกพิเศษ\"

ต่อไปนี้เป็นบุคลิกพิเศษบางอย่างที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้

- ทำตัวให้กระฉับกระเฉง เชื่อมั่น และเปี่ยมพลัง ใช้น้ำเสียงที่น่าฟัง ประทับใจ สื่อให้เห็นถึงความมั่นใจในตนเอง พูดกับผู้ที่เราต้องการ พูดโดยตรง สบตากับผู้ที่เราพูดด้วย ใช้ภาษากายที่บ่งบอกว่า คุณเชื่อมั่นในตนเอง พูดจาด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน ไม่ ตะกุกตะกัก ไม่ควรใช้วลีหรือคำที่ไม่มีความจำเป็น บ่อยๆ เช่น เอ่อ...รู้ไหม

- บรรยายถึงเป้าหมายที่ครอบคลุม สร้างวิสัยทัศน์ที่มองไกลไปในอนาคตขึ้น มากำหนดวิธีที่แตกต่างออกไปจากผู้อื่น ในการทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็น จริง สื่อสารถึงวิสัยทัศน์ของตนให้ผู้อื่นได้รับรู้ ขณะเดียวกันวิสัยทัศน์นั้นก็ควรที่จะต้องแปลกใหม่ มีเนื้อหาที่เหมาะสม อย่าลืมว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นจากการมีวิสัยทัศน์ แต่อยู่ที่การทำให้ผู้อื่นยอมรับ ในวิสัยทัศน์นั้น

- สื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้ว่า คุณมีความคาดหวังที่ สูงส่งในตัวบุคคลผู้นั้น และเชื่อมั่นว่าเขามีความสามารถที่จะทำตามความคาดหวังนั้นได้ กำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย ให้กับปัจเจกบุคคล หรือกลุ่มคน และตอกย้ำว่าคุณเชื่อว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ

มีการค้นพบว่า มนุษย์สามารถเรียนรู้บุคลิกพิเศษ ได้ โดยทำตาม 3 ขั้นตอนนี้ ขั้นตอนแรก คุณต้องสร้างรังสีของการมีบุคลิกพิเศษด้วยการมองโลกในแง่ดีเสมอ ใช้ความชื่นชมเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้อื่นเกิดความกระตือรือร้น และสื่อสารกับผู้อื่นโดยใช้ทั้งร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่ถ้อยคำ ขั้นตอนที่ 2 คุณต้องดึง ผู้อื่นเข้ามามีส่วนร่วม ด้วยการสร้างความผูกพันที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นทำตาม ขั้นตอนที่ 3 คุณต้องดึงศักยภาพของผู้ตามออกมา โดยการเข้าให้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขา วิธีการเหล่านี้ดูเหมือนจะใช้ได้ผลดี เพราะที่ผ่านมา นักวิจัยหลายรายประสบความสำเร็จจากการเขียนบท ให้นักศึกษามหาวิทยาลัย \"เล่นบท\" ผู้มีบุคลิกพิเศษนี้มา แล้ว

นักศึกษาจะถูกสอนให้บรรยายถึงเป้าหมายที่ครอบคลุมสื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้ว่าตนมีความคาดหวัง ที่สูงส่งในตัวบุคคลผู้นั้น แสดงตนเองว่า มีความเชื่อมั่นในตัวผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาว่า จะทำตามความ คาดหวังได้ และให้ความสำคัญกับความต้องการ ของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา

นักศึกษาทุกคนจะเรียนรู้วิธีทำตัวเองให้กระฉับกระเฉง เชื่อมั่น เปี่ยมไปด้วยพลัง และฝึกซ้อมการใช้น้ำเสียงที่น่าฟัง น่าประทับใจ พวกเขาได้รับการฝึกให้ใช้ภาษากายที่บ่งบอกความมีบุคลิกพิเศษ อาทิพวกเขาจะก้าวเดินสลับกับการนั่งที่ขอบโต๊ะทำงานโน้มตัวไปหาผู้ใต้บังคับบัญชา สบตาด้วยตลอดเวลา มีท่าทีสบายๆ และแสดงออกทางสีหน้า นักวิจัยเหล่านี้พบว่า นักศึกษาสามารถเรียนรู้วิธีแสดงออกว่ามีบุคลิกภาพ

ยิ่งไปกว่านั้น พบด้วยว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่ ผู้นำมีบุคลิกพิเศษยังมีประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถปรับตัวให้เข้ากับงานสามารถปรับตัวให้เข้ากับผู้นำ และเข้ากับกลุ่มได้ดีกว่าผู้ที่ทำงานกับกลุ่ม ที่ผู้นำไม่มีบุคลิกพิเศษ

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าคน บางคนจะมีบุคลิกพิเศษของการเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ แต่คุณก็สามารถฝึกฝนเพื่อแสดงบุคลิกพิเศษของการเป็นผู้นำได้ เช่นกัน ยิ่งคุณประสบความสำเร็จจากการกระทำเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด ผู้อื่นก็จะมองว่าคุณมีบุคลิกภาพพิเศษของการเป็นผู้นำมากขึ้นเท่า นั้น





ปรับชีวิต จากโรงเรียน และมหาวิทยาลัย สู่ชีวิตการทำงาน



เรื่องนี้เป็นเรื่องของการปรับตนเอง เข้าสู่ระบบการทำงาน ของนักศึกษาที่จบแล้วและได้งานทำใหม่ ๆ การสมัครงานให้ได้งานทำก็ยากอยู่แล้ว และเมื่อได้งานทำ แต่คุณไม่สามารถดำรงอยู่ในตำแหน่งงานนั้นได้ ต้องเริ่มหางานกันใหม่อีก คงไม่ดีแน่ เพราะการหางานใน ทศวรรษนี้ยาก เต็มที่ แถมบางบริษัทฯ ยังมีนโยบายลดพนักงานอีกเพียบ เกือบทุกประเทศ ผมเลยนำแนวทางนี้มาให้เพื่อนสมาชิก และทีมงานอ่านดู วิธีการปรับตัวคงไม่ยากมากนัก ลองมาอ่านกันดูนะครับ ว่า ต้องทำอะไรบ้าง ถึงจะปรับตัวเข้ากับทีมงานและ วัฒนะธรรมองค์กรได้ และเพื่อให้เราพ้นการทดลองงาน เพราะเราโชคดีที่มีโอกาสทำงานแล้ว มาอ่านดูกันเลยดีกว่า

1.การแต่งกาย กล่าวคือ เมื่อเราเข้าไปทำงาน บริษัทฯ หรือองค์กร ส่วนใหญ่มักจะมีแบบฟอร์ม พนักงาน หรือรูปแบบในการแต่งกายมาทำงาน เราคงต้องอยู่สายกลาง คือ แต่งตัวเรียบร้อยแบบสากล และสีสุภาพ แต่ถามผมว่าอย่างไร คงต้องใช้การสังเกตเข้าช่วยนะครับ และถ้าเป็นไปได้อย่าแต่งชุดนักศึกษาไปทำงาน เพราะคุณไม่ใช่นักศึกษาฝึกงานอีกต่อไปแล้ว

2.การมีสัมมาคารวะ รู้จักกาละเทศะ และใช้คำพูดที่เหมาะสม กล่าวคือ ต้องรู้ว่า ใครอาวุโส ใครเป็นหัวหน้างาน ใครคือเพื่อนร่วมงาน และรู้จักใช้คำพูดคำถาม หรือคำลงท้ายให้เหมาะสมกับ บุคคลที่เราพูดคุยด้วย รวมทั้งการทักทาย และพูดคุยในสถานที่ทำงาน การใช้โทรศัพท์ด้วย

3. ความรักในงานและสนใจที่จะเรียนรู้ กล่าวคือ การทำงานต้องมีใจรัก และการเรียนรู้ รวมทั้งต้องมีความอดทน และพร้อมที่จะรับคำตำหนิ การมีใจรัก คงเหมือนความรักทุกอย่าง ที่เรารัก ส่วนการเรียนรู้มีหลายวิธี แล้วแต่ว่าเราจะเลือกวิธีใด ง่าย ๆ คือ สอบถาม แต่ก็ไม่ควรถามทุกเรื่อง ควรใช้การสังเกต การลงมือทำ และต้องมีความระมัดระวังในงานนั้น ๆ ให้ผิดพลาดน้อยที่สุด และต้องมีความอดทน เพราะเมื่อเกิดข้อผิดพลาด เราอาจถูกตำหนิ หรือได้คำแนะนำใด ๆ ก็ตามต้องรู้จัดอดทนฟังเสียก่อนว่า คำพูดนั้น สอนอะไรเราพราะการทำงานต้องมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าผู้นั้นจะทำงานมานานแค่ไหนก็ตาม

4. การมีน้ำใจไมตรี กล่าวคือ แม้เราจะเป็นเด็กใหม่ แต่เราก็สามารถแสดงน้ำใจได้ เช่น การช่วยเหลืองานเล็กๆ น้อย ๆ , งานอะไรเราก็ทำได้ โดยไม่เลือกว่างานนั้นจะเลอะเทอะ หรือดูเป็นงานที่ไม่มีเกียรติ ที่มักจะถูกมองข้าม หรือไม่มีใครชอบทำ แม้แต่กระทั้งงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับแม่บ้าน หรือพ่อบ้าน หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย อย่าดูแคลนคนพวกนี้เด็ดขาด เพราะผู้บริหารมีกาแฟ น้ำเย็น หรืออาหารว่าง ก็กลุ่มคนพวกนี้คอยให้บริการอยู่ ส่วนพนักงานรักษาความปลอดภัย คือคนที่คอยดูแล รถยนต์ หรือทรัพย์สินของบริษัทฯ เขายอมมีความสำคัญพอ ๆ กับหน้าที่การงานของเราเช่นกัน

5. การรู้จักปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัทฯ อย่างเคร่งครัด กล่าวคือ ต้องศึกษาระเบียบบริษัทฯ ให้รู้ ให้เข้าใจอย่างดี และต้องติดตามประกาศ หรือข่าวสารของบริษัทฯ อยู่เสมอ รวมทั้งการใช้ และรักษาทรัพย์สินของบริษัทฯ ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี

6. การรักษาความลับของบริษัทฯ ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม กล่าวคือ เราเป็นพนักงาน มีหน้าที่รับผิดชอบ เราต้องรู้ว่า ข้อมูลใด สามารถพูดได้ และข้อมูลใดพูดไม่ได้ ซึ่งไม่ควรพูดต่อบุคคลภายนอกบริษัทฯ

7. หากรู้เห็นสิ่งผิดปรกติ หรือทราบข้อมูลใด ๆ ที่มีผลเสียต่อบริษัทฯ ก็ควรนำมาปรึกษาหัวหน้างาน หรือแจ้งข่าวต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางป้องกันปัญหาที่จะตามมาด้วย

8. การสนับสนุนสินค้าของบริษัทฯ กล่าวคือ บริษัทฯ ที่เราทำงานด้วย ขายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ใด ที่เราต้องซื้อใช้เป็นประจำ หรือสามารถอุดหนุนได้ เราก็ซื้อใช้ให้การสนับสนุนด้วย หรือแนะนำเพื่อน ๆ ให้ใช้สินค้าของบริษัทฯ ด้วย เพราะถ้าบริษัทฯ มีกำไร เราก็มีโอกาสได้เงินเดือนขึ้นเช่นกัน

9. ควรปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ ตามวัตถุประสงค์ขององค์กร ตามระยะเวลา และให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมั้งให้ความร่วมมือในกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัทฯ เป็นอย่างดี

10. ไม่เป็นผู้ปล่อยข่าวลือสร้างความเสียหายต่อบริษัทฯ หรือสร้างความเสียหายใด ๆ ต่อบริษัทฯ รวมทั้งมีทัศนคติในแง่ลบกับบริษัทฯ ครับ เพื่อนสมาชิก และทีมงาน คงเคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย

ข้อมูลข่าวจาก : Power By SiamHRM.com / ผู้ลงประกาศ : สจจ.ลพบุรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

บทความ ใหม่ล่าสุด

Superman (It's Not Easy)
















...............................................................................
I can't stand to fly
I'm not that naive
I'm just out to find
The better part of me

I'm more than a bird:I'm more than a plane
More than some pretty face beside a train
It's not easy to be me

Wish that I could cry
Fall upon my knees
Find a way to lie
About a home I'll never see

It may sound absurd:but don't be naive
Even Heroes have the right to bleed
I may be disturbed:but won't you conceed
Even Heroes have the right to dream
It's not easy to be me

Up, up and away:away from me
It's all right:You can all sleep sound tonight
I'm not crazy:or anything:

I can't stand to fly
I'm not that naive
Men weren't meant to ride
With clouds between their knees

I'm only a man in a silly red sheet
Digging for kryptonite on this one way street
Only a man in a funny red sheet
Looking for special things inside of me

It's not easy to be me.


ฉันไม่ได้อยากจะเหาะไปเหาะมาทุกวัน
ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น
ฉันก็แค่อยู่เพื่อค้นหา
ตัวตนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

ฉันเป็นมากกว่านก ฉันเร็วกว่าเครื่องบิน
เป็นมากกว่าหน้าตาหล่อๆ ที่คอยบินตามหยุดรถไฟ
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

ฉันหวังจะได้ร้องไห้เสียบ้าง
ซบหน้าลงกับท่อนแขน
เฝ้าแต่โกหกแก้ตัว
ถึงเรื่องบ้านเกิด ที่ไม่เคยแม้ได้เห็น

อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่โปรดอย่าหัวเราะ
เพราะแม้จะเป็นซูเปอร์แมน แต่ก็เลือดไหลได้เหมือนกัน
ฉันอาจจะพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง แต่โปรดอย่าได้ถือสา
กระทั่งเป็นซูเปอร์แมนก็มีความฝันกับเขาได้เหมือนกัน
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

บินบินไปบนฟ้า หนีไปจากตัวเอง
ไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณๆก็ยังคงหลับฝันดีได้
ฉันไม่ใช่คนบ้านะ

วันๆเอาแต่เหาะไปมา
ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ
ผู้ชายน่ะไม่ได้เกิดมา
เพื่อบินเล่นบนก้อนเมฆหรอกนะ

ฉันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ในผ้าคลุมสีแดงตลกๆ
ขุดหาคริปโตไนท์บนถนนเส้นเดิม
ก็แค่ผู้ชายธรรมดาในชุดสีแดงงี่เง่าๆ
มองหาบางสิ่งพิเศษให้กับตัวเอง

ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นซูเปอร์แมน

The Key (เดอะ คีย์) หนังสือจากสำนักพิมพ์ ต้นไม้

เรียกได้ว่าเป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือ เดอะซีเคร็ต ถ้าคุณเป็นหนอนหนังสือตัวจริง ผมว่าคุณคงจะรู้จักหนังสือเหล่านี้ดี ครั้งแรกที่ผมอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ตนั้น ผมยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของ กฎของแรงดึงดูดที่ว่า ใครมีความคิดเช่นไรก็จะเป็นคนเช่นนั้น ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จหรือกำลังล้มเหลวในชีวิต ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความคิดของเราเอง ผมคงไม่สามารถบรรณยาย ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้หมดสิ้น แต่ด้วยความปราถนาดีจากผมจริงๆที่ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผุ้อื่นบ้าง

ปฏิญญาณของผู้มองแง่ดี

สัญญากับตัวเองว่า

จะเข้มแข็งเสียจนไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนความสงบสุขทางใจของคุณได้
จะพูดถึง สุขภาพดี ความสุข และความรุ่งเรือง แก่ทุคคนที่คุณพบ
จะทำให้เพื่อนทั้งหมดของคุรรู้สึกว่ามีบางสิ่งดีๆในตัวพวกเขา
จะมองที่ด้านสว่างของทุกสิ่งและทำให้การมองแง่ดีของคุณกลายเป็นความจริง
จะคิดแต่เรื่องที่ดีที่สุด ทำงานให้แก่คนดี ให้แก่สิ่งดีที่สุด และคาดหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุด
จะมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้อื่นมากเท่ากับของคุณเอง
จะลืมความผิดพลาดในอดีตและเพียรพยายามไปสู่การบรรลุความสำเร็จของอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
จะดำรงใบหน้าอันร่าเริงตลอดเวลาและทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่คุณพบยิ้ม
จะให้เวลาแก่การปรับปรุงพัฒนาตัวเองมากเสียจนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะวิจารณ์คนอื่นๆ
จะเป็นคนที่ใหญ่กว่าความกังวล สง่างามกว่าความโกรธ แข็งแกร่งกว่าความกลัวและมีความสุขเกินกว่าที่จะอนุญาตให้มีความยุ่งยาก
จะคิดแก่ตัวเองและอ้างสิทธิ์ข้อเท็จจริงแก่โลก ไม่ใช่ด้วยคำพูดดังแต่ด้วยการกระทำที่ยิ่งใหญ่
จะใช้ชีวิตโดยศัทธาว่าโลกทั้งใบอยู่ข้างคุณตราบนานเท่าที่คุณยังเที่ยงตรง ต่อสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในตัวคุณ

หมายเหตุ จาก ปฏิญญาของผู้มองแง่ดี ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1912 หนังสือของ คริสเตียน ดี ลาร์สัน ชื่อ Your Forces and How to Use Them ฉบับย่อของมันใช้กันทุกวันนี้ โดย Optimist Interna tional ซึ่งเป็นกลุ่มคนทั่วโลกที่มุ่งไปที่การทำให้ความแตกต่าง ที่เป็นบวกเกิดขึ้นในโลก

**คัดมาจากหนังสือ เดอะคีย์ จากสำนักพิมพ์ ต้นไม้