ปลากัด หรือที่ชาวต่างประเทศรู้จักเป็นอย่างดีในชื่อภาษาอังกฤษว่า Fighting Fish
นั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens Regan เป็นปลาเพื้อนเมืองของประเทศไทย เราพบพร่กระจายทั่วไปทุกภาคของประเทศ บริเวณผิวน้ำอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำไม่ว่าจะเป็นหนอง บึง แอ่งน้ำ ลำคลอง ฯลฯ รวมทั้งอ่างเก็บน้ำในบริเวณที่มีระดับน้ำตื้นๆ น้ำค่อนข้างใส น้ำนิ่งหรือไหลเอื่อยๆ มีพันธุ์ไม้น้ำขึ้นประปราย สำหรับในต่างประเทศมีที่ มาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา และจีน เป็นต้น....
...@ชนิดพันธุ์ปลา@...
ปลากัดลูกทุ่ง - ส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงไว้กัดแข่ง แต่กัดสู้ปลาลูกหม้อไม่ได้ นิยมเลี้ยงไว้ดูเล่น เป็นปลาที่หาง่ายตามทุ่งนา
ปลาลูกหม้อ - มีลักษณะใหญ่กว่าปลากัดป่า กัดเก่งกว่า นิยมเพาะให้มีสีเดี่ยว เช่น น้ำเงิน แดง ม่วง น้ำตาล ฯลฯ
ปลากัดลูกผสม - เป็นปลาที่ผสมระหว่าง ปลากัดป่ากับปลากัดหม้อ ลำตัวมีหลายสี กัดเก่งมีความว่องไวแต่กัดสู้ปลากัดลูกหม้อไม่ได้เพราะมีความอดทนน้อยกว่า
ปลากัดจีน - เป็นปลาพันธุ์สวยงามสำหรับเลี้ยงไว้ดูเล่น มีครีบยาวเป็นพวง มีหลากหลายสี
ปลากัดเขมร - เป็นปลาที่มีสีสันสวยงามเช่นเดียวกับ ปลากัดจีนเป็นสินค้าส่งออกนอกประเทศเป็นอันดับต้นๆ เพราะมีคุณสมบัตรในเชิงต่อสู้เพื่อความตื่นเต้นให้กับผู้เลี้ยงอีกด้วย
...@อุปกรณ์@...
1.สถานที่เพาะเลี้ยง - ถ้าเพื่อการเพาะพันธุ์ควรมีเนื้อที่พอสมควร
- ถ้าเพื่อความเพลิดเพลินใช้ โหลหรือตู้ปลาก็สวยไม่แพ้กัน
2.อาหารปลา - ลูกน้ำ,ตัวไร,ไรแดง
- สำหรับลูกปลา ควรจะเป็นไข่แดงต้มสุกบดละเอียด
3.กระชอนตักปลา - ควรใช้แบบกรวย จะได้ไม่ทำให้ปลาบาดเจ็บ
4.พันธุ์ไม้น้ำ - ใช้ในการเพาะพันธุ์ปลาสำคัญมากเพราะปลาตัวผู้จะได้ก่อหวอด
- เช่น ใบตองแห้ง,ใบหูกวาง,สาหร่ายหางกระรอก,จอก,สาหร่ายพุงชะโด
...@ขั้นตอนการผสมพันธุ์@...
( อย่างง่ายได้ผล แน๊..แน่ )
1. เมื่อได้พ่อและแม่ปลาที่พร้อมผสมพันธุ์ อายุราวๆ 4-5 เดือน ถ้าจะให้ดีควรมีอายุ 5-6 เดือนขึ้นไป เพราะว่าปลาที่มีอายุน้อย จะมีขนาดตัวเล็ก จึงให้ปริมาณไข่ได้น้อยกว่าปลาที่มีอายุมาก
2. นำปลาตัวผู้และตัวเมีย มาวางเทียบคู่กัน ควรเป็นที่ๆเงียบพอสมควร เพื่อให้ปลามองกันได้อย่าง อิสระไม่ตกใจบ่อย ทำให้การเทียบคู่ผสมนั้นได้ผลไม่เต็มที่เท่าที่ควร การมองเห็นอย่างชัดเจนนี่เอง
ทำให้ลูกปลาที่ออกมา มีลักษณะและสีสันคล้ายกับปลาตัวผู้ทุกประการ ส่วนระยะเวลาในการเทียบนั้น
** ผมแนะนำให้ว่า ควรมีระยะเวลาประมาณ 15 วัน เพราะเมื่อปลาตัวเมียมีไข่ที่สุกเต็มที่ และสมบูรณ์
ทำให้ลูกปลาที่ออกมาแข็งแรง และมีโอกาสรอดมากกว่า และที่สำคัญคือ อาหาร ควรให้ปลาตัวเมีย อย่างสม่ำเสมอ ไข่จะได้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ( *แล้วอย่าลืมปลาตัวผู้ด้วยนะครับ ไม่งั้น หิวแย่* )
3. และเมื่อได้เวลา การผสมพันธุ์วางไข่ ก็นำปลาทั้งคู่มาใส่รวมกันในภาชนะที่เตรียมไว้ ไม่ควรใช้ภาชนะที่มีขนาดใหญ่เกินไป ที่ควรใช้ก็มี โหลแก้ว กะละมังพลาสติก อ่างดิน ยันกระทั่งอ่างซีเมนต์ แต่ไม่ควรมีขนาดเกิน 1 ตารางเมตร ส่วนระดับน้ำก็ไม่ควรสูงเกิน 6 นิ้ว ราวๆ 3-4 นิ้ว ก็เป็นอันใช้ได้
4. ควรหาแผ่นอะไรปิดซะหน่อย ( ก็เค้าจะทำธุระกัน ) ไม่งั้นมันจะตใจ และกินไข่ของมันเองจนหมด ทิ้งไว้เต็มที่ประมาณ 2 วัน จึงแยกเอาตัวเมียออกมาให้อาหาร ก่อนที่จะเป็นเหยื่อของพ่อปลา ซะ....
5. ให้พ่อปลาดูแลลูกปลา ประมาณ 2 วัน ช่วงนี้ไม่ต้องให้พ่อปลากินอาหาร และรักษาปลาตัวเมียซะด้วย น้ำผสมเกลือ เพื่อให้หางและครีบ งอกออกมาใหม่ ส่วนลูกปลาก็ทำการอนุบาลลูกปลากันต่อไป.......
...@การอนุบาลลูกปลา@...
1. ลูกปลากัดที่ฟักออกจากไข่ใหม่ๆ จะเกาะอยู่ที่หวอดแลังไม่ต้องการอาหาร
เพราะมีถุงอาหารติดตัวมาด้วย ลูกปลาจะใช้ถุงอาหารนี้ระยะประมาณ 3-4 วัน ระยะนี้จึงไม่ต้องให้อาหาร สำหรับภาชนะที่เหมาะสมที่จะใช้อนุบาลลูกปลาวัยอ่อนที่ดีที่สุด ก็ในภาชนะที่ใช้ผสมพันธุ์นั่นแหละ แต่ถ้าเล็กเกินไป ควรย้ายไปใส่ในภาชนะที่ใหญ่กว่า เพราะถ้าภาชนะเล็กเกินไป จะทำให้ลูกปลาแคระไม่โต........
2. ระยะแรกของการให้อาหาร ควรให้ไข่แดงต้มสุก โดยนำไข่แดงต้มสุก ละลายในน้ำกรองผ่านกระชอนตาถี่ซึ่งมีลักษณะคล้ายน้ำนมหยดกระจายให้ทั่วให้ แค่วันละ 1 ครั้งเป็นเวลา 3-5 วันแล้วจึงเปลี่ยนเป็นไรน้ำและไรแดงที่ขนาดเล็ก
3. เมื่อลูกปลามีอายุ 1 เดือน ผู้เลี้ยงก็สามารถแยกเพศปลาได้แล้ว เพื่อที่จะคัดปลาที่จะนำไปเป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ต่อไป......
...@โรคปลา@...
สำหรับโรคที่มักพบในปลาเลี้ยงทั่วๆ ไปก็ได้แก่
1.โรคจุดขาว - จะเห็นเป็นจุดขาวๆบริเวณตัวปลาและติดต่อกันได้ด้วยการรักษา 1.ใช้เมททีลีน บลู หยดลงในน้ำจำนวน 5 หยด / น้ำ 4.5 ลิตร ทำซ้ำเป็นเวลา 1-2 วัน
2.ใช้ยาแอนตีไบโอติค 50 มิลิกรัม / น้ำ 4.5 ลิตร
3.ใช้มาลาไคร์กรีน โดยใช้สารละลายยา 1-2 ซีซี. / น้ำ 1 ลิตร นำปลามาแช่ 3 วันจึงเปลี่ยนน้ำ 2.โรคสนิม - โรคนี้จะมีละอองสีเหลืองคล้ายกำมะหยี่ เกาะตามผิวหนัง ลำตัวและเหงือกของปลา จนทั่วตัว
ต่างกับโรคจุดขาวคือ มีสีเหลืองเล็กและเข้มกว่า
การรักษา 1.ใช้เกลือแกงเข้มข้น 1% แช่ปลาไว้นาน 24 ช.ม. ควรทำซ้ำทุก 2 วัน
2.ใช้เมททีลีน บูล อัตตรา 10 หยด / น้ำ 4.5 ลิตร ประมาณ 2 สัปดาห์
3.ใช้ยาเหลือง (Acriflavine) 4 มิลิลิตร / น้ำ 4.5 ลิตร และทำซ้ำจากครั้งแรก 1 สัปดาห์
4.ยา Antibiotic ใช้เหมือนกับโรคจุดขาว
3.โรคเชื้อรา - โรคนี้เกิดต่อเมื่อปลาได้รับบาดเจ็บหรืออ่อนแอ ปลาจะมีลักษณะผิวเป็นปุยสีขาว คล้ายสำลีตามลำตัว หรืออาจมีเส้นราเกิดขึ้น ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันที ราจะกระจายและทำอันตรายเนื้อเยื่อของปลาและอาจถึงตายได้
การรักษา 1.ใช้ "มาลาไคท์ กรีน" เข้มข้น 60 ppm. หรือ 1:15,000 และนำปลาแช่ 30 นาที ถ้าไม่หายก็ทำซ้ำอีก
2.ใช้เกลือแกง ค่อยๆใส่ลงในน้ำ ปลาจะทนความเข้มข้นได้ 0.5 % โดยเติมสารละลายเกลือ 1 ช้อนชา / น้ำ 4.5 ลิตร ทุก 2-3 ช.ม. จนครบ 5 ช้อนพอดี จึงหยุดเพิ่มความเข้มข้นของเกลือแกง ในน้ำนี้ ใช้เวลา 1-2 วัน
4.โรคราที่ปาก - โรคนี้เกิดจากแบคทีเรียบริเวณปากและกระจายไปอย่างรวดเร็ว
ลักษณะเป็นเส้นสีขาวและดำรอบริมฝีปาก ทำให้ปลาไม่ยอมกินอาหาร เนื่องจากปลาเจ็บปาก และเป็นไข้
การรักษา 1.ใช้ยาเพนนิซิลิน 100,000 หน่วย / น้ำ 4.5 ลิตร
2.ใช้ยา Antibiotic ทีใช้กับโรคจุดขาวก็ใช้ได้
3.ใช้ยาเพนนิซิลิน ยานี้จะไม่เป็นอันตรายต่อปลาและสะดวกต่อการใช้ ถ้ายังไม่หายให้เพิ่มอัตตราการใช้เป็น 200,000 หน่วย / น้ำ 4.5 ลิตร ปลาจะหายภายในไม่กี่วัน
5.โรคครีบเปื่อยหางเปื่อย - โรคนี้จะแสดงอาการได้ชัด คือเห็นว่าครีบและหางขาดและอาจลามถึงโคน ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณโคนหาง
การรักษา 1.โดยให้ปลาได้รับ acration ร่วมกับการใช้ยาเพนนิซิลิน 15,000 หน่วย / น้ำ 1 แกลลอน
6.โรคท้องมาร - โรคนี้เนื่องมาจากเชื้อไวรัส ปลาที่เป็นโรคท้องมารเกล็ดจะชี้ตั้งขึ้น
ส่วนท้องจะบวมเนื่องจากมีของเหลวภายในช่องท้อง
การรักษา 1.ใช้ Chloromycetin ใส่ในน้ำ 50-100 mg. / น้ำ 4.5 ลิตร
2.ใช้ Para-chlorophenoxetholเข้มข้น 1.20 มิลลิลิตร / น้ำ 4.5 ลิตร ค่อยๆใส่จนถึง24 ช.ม.
3.โดยการเจาะลำตัวปลาบริเวณเหนือช่วงเปิด แต่การรัษาโดยวิธีนี้ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ อย่าให้ถูกอวัยวะ ภายในเป็นอันขาด
7.โรคตาโปน - เกิดจากแบคทีเรีย หรือหลังจากการได้รับบาดแผลเป็นรอยถลอกบริเวณใกล้ๆ นัยน์ตา ตาจะปูดปวมขึ้นมาและโปนกว่า ปกติมาก
การรักษา 1.โดยการจับปลาไปแช่ไว้ในน้ำที่มีใบหูกวาง 2-3 วัน อาการตาปูดก็จะหายไป
อนื่งยางของใบหูกวางที่ละลายอยู่ในน้ำจะช่วยรักษาแผลต่างๆ ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
8.โรคเชื้อแบคทีเรีย - โรคนี้มีอาการปรากฏคือ มีอาการท้องบวมและมีของเหลวในช่องท้องมาก แต่ไม่มีอาการเกล็ดตั้งขึ้น
การรักษา 1.แช่ไว้ในยาปฏิชีวนะ เช่น ออกซิเทตราไซคลินหรือคลอแรมฟินิคัล ที่มีความเข้มข้น 10-20 ส่วนในล้านส่วนและต้องเปลี่ยน น้ำยาแช่ใหม่ทุกวันและเติมยาให้มีความเข้มข้นเท่าเดิมทุกครั้ง โดยแช่ติดต่อกัน 3-5 วัน
9.โรคกระเพาะลม - โรคนี้จะทำให้ปลาเสียการทรงตัว ปลาที่มีการทรงตัวไม่ดีอาจจะท้องหงายขึ้นลอยตามผิวน้ำ หรือจมอยู่ที่พื้นราบ
การรักษา สำหรับโรคนี้ไม่สามารถทำการรักษาได้ ตายสถานเดียวครับ...!
10.โรคสีลำตัวซีด - โรคนี้เกิดจากมีสัตว์เซลล์เดียวมาเกาะ ทำให้ปลามีการขับเมือกออกจากตัวมากผิดปรกติ ปลาจะมีสีซีด
การรักษา 1.เช่นเดียวกับการรักษาโรคจุดขาว
11.โรคปรสิต (พยาธิใบไม้และหนอนสมอ) - มักพบตามตัว เหงือก ครีบ มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายสั้นๆ ส่วนหนอนสมอ จะเห็นเป็นเส้นด้ายสั้นเกาะอยู่ตามผิวตัว ทำให้ปลาแคระแกรนและอาจตายในที่สุด
การรักษา 1.ใช้ด่างทับทิมละลายในน้ำให้มีความเข้มข้น 2 ppm. / น้ำ 1 ลิตร
2.ใช้กรดน้ำส้มเข้มข้น 1 : 500 แช่ปลานาน 20 วืนาที และจะทำซ้ำหลังจากนั้น 3 วันก็ได้
3.ใช้ฟอร์มาลิน 20 หยด / น้ำ 4.5 ลิตร แช่ปลานาน 5-10 นาที
12.โรคปลาตัวสั่น - โรคนี้มีสาเหตุไม่แน่นอนเนื่องจากน้ำที่เลี้ยงสกปรกเกินไปหรือเกิดจากในน้ำ มีสารพิษ เช่น คลอรีนมากเกินไปก็ได้ ดังนั้นปลาจึงมีอาการตัวสั่น
การรักษา 1.ต้องรีบเปลี่ยนน้ำที่มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเจริญเติบโตให้ใหม่
...@การสังเกตุโรคปลา@...
การสังเกตุโรคปลามีแนวทางง่ายๆดังนี้ คือ
1.การเคลื่อนไหว - ว่ายน้ำหมุนไปรอบๆ อาจเป็นตามแนวดิ่งหรือแนวราบ ว่ายกระตุก ช้าบ้างเร็วบ้าง
อาการผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุการรบกวนของปรสิต หรือบาดแผลบริเวณลำตัว
2.การเปลี่ยนแปลงสี - ปลาที่มีสีซีดมักเป็นปลาที่ขาดความสมบูรณ์ ไม่แข็งแรง มีสาเหตูจากโรคหรือปรสิต
มีสารพิษในน้ำ เช่น คลอรีนมากไป รวมทั้งกรเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและแสงสว่าง
3.การเปลี่ยนนิสัยการกินอาหาร - มักเป็นเฉพาะปลาที่เปลี่ยนแปลงการกินอาหาร ทำให้ปลากินอาหารได้น้อย
หรือการย่อยไม่ปรกติ ทำให้บริเวณท้องจมลึก
4.การเจริญเติบโต - สำหรับปลาที่มีการเจริญเติบโตช้าหรือเร็วผิดปกติ
อาจทำให้เกิดโรคง่ายกว่าปลาที่เจริญเติบโตตามปกติ
5.การเปลี่ยนแปลงลักษณะอื่นๆ - เมื่อสังเกตุเห็นปลามีอาการเซื่องซึมไม่กินอาหาร ควรใส่เกลือ 0.5-1.0%
หรือใส่ฟอร์มาลิน 25-40 ส่วนในล้านส่วน นาน 24 ชั่วโมง เพื่อฆ่าปรสิตภายนอกก่อน
ทำเป็นอาชีพเสริมอีกอย่างหนึ่งได้นะครับ
ขอบคุณที่มาของบทความดีๆ
http://krunum.igetweb.com/index.php?mo=3&art=100341
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น