
หุ้นเป็นสินทรัพย์การลงทุนระยะยาว
ใน ภาวะที่ตลาดหุ้นตกเอา ๆ ดังที่ตลาดหุ้นไทยที่ในครึ่งแรกของปี 2551 นี้ปรับตัวลดลงมาประมาณ 10.4% คงจะทำให้นักลงทุนรายย่อย หรือประชาชนทั่วไปกลัวหรือเข็ดขยาดกับตลาดหุ้นกัน สิ่งที่อยากจะแสดงให้เห็นในวันนี้คือ ให้เห็นว่าในระยะยาวหุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนได้ และเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อได้ ทั้งนี้จากตารางข้างล่างนี้แสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนในช่วงระยะเวลา 1 ปี (เฉลี่ยร้อยละ 21.5) 3 ปี (เฉลี่ยร้อยละ 9.9) และค่าผลตอบแทน 5 ปี (เฉลี่ยร้อยละ 22.9) ต่างให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ยกเว้นการลงทุนทางเลือก (การลงทุนในนิติบุคคลเอกชน ซึ่งมีความเสี่ยงที่มากกว่ารวมไปถึงประเด็นเรื่องสภาพคล่อง) แต่ความผันผวนที่ระดับ 29.5% (หมายถึงว่าการที่จะเบี่ยงเบนไปจากค่าเฉลี่ย +/-29.7% ในปีหนึ่งปีใดก็อาจเกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน) เป็นไปตามหลักการที่ว่าผลตอบแทนการลงทุนที่สูงก็มีความเสี่ยง
ตลาดหุ้นไทยที่ในครึ่งแรกของปีนี้ปรับตัวลดลง 10.43% จากต้นปีเกิดจากหลาย ๆ ปัจจัย และถ้าหากจะเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นที่สำคัญ ๆ จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่โดยเฉพาะตลาดของเอเชียที่เคยเติบโตสูงต่างมี ปัญหาและขยายติดลบกันแทบทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นจีนที่เคยเติบโตสูงที่สุดมาหลายปีและในปี 2550 ที่ผ่านมาเติบโตได้สูงถึง 96.7% ในครึ่งแรกของปีดัชนีของตลาดหุ้นโดยรวมติดลบ 48.0% ส่วนเวียดนามตลาดหุ้นในครึ่งแรกของปีนี้ปรับตัวลดลง 56.9% ญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำของเอเชียเองดัชนีตลาดหุ้นก็ปรับตัวลดลง 11.9%
ดังนั้นในกระแสโลกาภิวัตน์ตลาดหุ้นของไทยเองก็ไม่สามารถต้านต่อสิ่งที่เกิด ขึ้นในตลาดทุนทั่วโลกที่กล่าวได้ว่ามีปัจจัยลบค่อนข้างมากและความไม่แน่นอน ทางการเมืองเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ปัจจัยที่น่าจะมีผลมากกว่า คือปัจจัยภายนอก ได้แก่ ปัญหาการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การปรับตัวสูงของอัตราเงินเฟ้อ และล่าสุดคือความกลัวต่อเศรษฐกิจเวียดนามที่อาจจะเกิดปัญหาทางการเงิน ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นได้นำไปสู่การเคลื่อนย้ายการลงทุนออกจากตลาดหุ้นของ เอเชีย ที่มีเงินทุนไหลออกจากเกาหลีใต้มากที่สุดด้วยมูลค่า 23,177 ล้านเหรียญสรอ. ตามมาด้วยประเทศญี่ปุ่น 11,604 ล้านเหรียญ ส่วนของประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 5 ด้วยมูลค่า 2,023 ล้านเหรียญสรอ.
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผันผวนระยะสั้นที่เป็นลักษณะปกติหุ้น ดังนั้นในการลงทุนในหุ้นจึงควรเป็นการหวังผลตอบแทนระยะยาว และควรจะถือเป็นโอกาสที่จะลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่ยังสามารถใช้สิทธิ ในการนำไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีประจำปี ซึ่งจากการสำรวจผลการดำเนินงานของบริษัทจัดการกองทุนทั่วโลก พบว่า ความสำเร็จของการสร้างผลตอบแทนการลงทุนนั้นขึ้นอยู่กับการจัดสรรการลงทุนสูง ถึง 91.5% ในขณะที่การเลือกตัวหุ้นนั้นจะมีผลต่อความสำเร็จเพียง 4.6% และการเลือกเวลาซื้อขายจะมีส่วนช่วย 1.8% และยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อยู่อีก 2.1% จึงฝากไว้เป็นข้อคิดว่าหุ้นนั้นเหมาะสมที่จะดูผลตอบแทนระยะยาว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น